ผู้เขียน หัวข้อ: === มาวิเคราะห์กันครับว่ารถไฟฟ้า (EV) ในไทยจะได้ใช้เมื่อไหร่ ===  (อ่าน 6676 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ryu

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 101
มาวิเคราะห์กันครับว่าในบ้านเรา รถไฟฟ้าจะใช้งานได้จริง ๆ เมื่อไหร่ คำว่าใช้งานได้จริงประกอบไปด้วย
1. ราคาจับต้องได้ 500,000-3,000,000 แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น B secment ราคาไม่เกิน 750,000
2. ระยะทางต่อการชาร์ทไฟเต็ม 1 ครั้งไม่น้อยกว่า 300 km
3. ระยะเวลาในการชาร์ทไฟที่ไม่นาน
4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก
5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง
6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม

คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงยุครถไฟฟ้าจริง ๆ ครับ 10 ปี หรือ 20 ปี หรือมากกว่านั้น

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,151
ตอนนี้ REEV น่าใช้กว่าครับ เพราะถึงจะยังใช้น้ำมัน แต่ตีคร่าวๆ ใช้น้อยลง 50% ในอนาคตอาจจะประหยัดได้มากถึง 75-80% แล้วแบตก็ลูกเล็ก ไม่ได้ราคาหลายแสนแบบ EV

ในอนาคตอันไกลโพ้นถ้าแบ็ตถูกลงได้ 50-80% ในความจุเท่าเดิม รถไฟฟ้ามันถึงจะบูมจริงๆ จังๆ

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,997
ผมว่าไม่น่าจะนานเกินรอ 5 ปี(หวังครับ)
ผมว่า แบตไม่นา่จะถูกลง แต่คงมีการแข่งขันมากขึ้น
เช่น มีการทำเลียนแบบ เหมือนแบตโทรศัพท์ครับ เลือกได้ตามงบประมาณ และแพร่หลาย

ออฟไลน์ carpenter

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 295
    • อีเมล์
ผมขอตอบอ้างอิงจากเยอรมัน ที่จะให้รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป หมดไปในปี 2030

ไทยก็คงหลังจากเยอรมันอีกแน่นอน

ตอนนี้ 2017

ผมว่า 20 ปีพอดีแหละ 555 เป็น 2037 ตามหลังเยอรมัน 7 ปี

ออฟไลน์ Sacrifice

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 591

1. ราคาจับต้องได้ 500,000-3,000,000 แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น B secment ราคาไม่เกิน 750,000
-> อันนี้คงอีกนาน 10 ปีขึ้น ถูกสุดตอนนี้ 1 ล้าน ไม่รวมรถเล็กอย่าง FOMM คงอีกนานกว่าราคาจะลงมา ต่ำกว่าล้าน

2. ระยะทางต่อการชาร์ทไฟเต็ม 1 ครั้งไม่น้อยกว่า 300 km
-> รถนำเข้าหลายรุ่นก็ทำได้อยู่แล้ว

3. ระยะเวลาในการชาร์ทไฟที่ไม่นาน
-> ตอนนี้ก็ซัก 8 ชั่วโมงถึงเต็ม ผมว่าก็ ok แล้วนะ จอดรถทิ้งไว้คืนนึง ก็เต็ม

4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก
-> อีก 5 ปี ขั้นต่ำ

5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง
-> 8 ปี ขึ้น

6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม
-> i8 ลุยน้ำท่วมสบายๆ

ส่วนตัวคิดว่าเป็นของเล่นคนรวยไปอีกอย่างน้อย 10 ปี เหมือนรถ hybrid ผ่านมา 10 กว่าปี ยังไม่มีราคาถูกๆ 5-6 แสนเลย

ออฟไลน์ CarameLon

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,393
1. ราคาจับต้องได้ > อีก 10 ปี ก็ยังไม่น่าจะเป็นได้ที่จะแพร่หลายในไทย
2. ระยะทางต่อการชาร์ท > Tesla ทำได้แล้ว
3. ระยะเวลาในการชาร์ท > ถึงเป็นแบรนด์พรีเมียม ผมยังก็ว่าเสียเวลาชาร์ตนานอยู่ครับ
4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก > รถไฟฟ้ามันต้องแพร่หลายก่อน แข่งขันสูง ราคาลด ให้อีก 10 ขึ้นไป
5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง > ลองดูยุค E20 E85 มาใหม่ๆ กว่าจะเริ่มเจอในปั้มบ่อยๆ นานไหม รถไฟฟ้าคูณสองเท่า ให้ไว้ที่อีก 20 ปีขึ้นไป
6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม > ไม่มีใครเอารถไฟฟ้าไปลุยน้ำ ถึงค่ายจะการันตีไว้ก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ซื้อฟอร์จูนเนอร์ไว้อีกคันที่บ้านอยู่ดี

 8) 8) 8) 8) 8) ยากส์
TOYOTA WISH SPORT 2.0>>>CRV-2.4L 4WD GEN3>>>TOYOTA Camry 2.4 2010>>>BMW 520 ตาเหยี่ยว>>>BMW X3 2011 >>>BMW 520D 2010 >>>BMW 525D ก่อน LCI >>>BMW 116i M-sport >>>BMW X1 2.0 S-drive 2016 >>>Mercedes GLA200 >>>Mercedes C Class C350e >>> BMW330e+BMWS1000R

ออฟไลน์ tui

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 142
    • อีเมล์
ปีหน้าก็เริ่มขายกันแล้ว

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,027
    • อีเมล์
ผมว่า เกิดยากครับ รถ EV เพราะสุดท้าย คนจะไม่นิยม ...

พอขายแรกๆ ก็เห่อ เป็นของธรรมดาครับ แต่รู้ไหม พอมีใช้จริงๆทุกคนจะบ่น และเลิกใช้ และจะไม่คิดซื้อใช้อีก ....

ถามว่าทำไมหรอ ...

เอาปัจจัยแรกก่อน ... พื้นฐานเลย

-การเติมเชื่อเพลิง หรือการชาจ

รถใช้น้ำมัน เราเติมน้ำมันกัน เฉลี่ย 2-5 นาที ไม่เกินนี้ สำหรับการเติมน้ำมันแบบหมดถังไปเต็มถัง ... แล้ว EV ล่ะ .... กี่ชั่วโมง ที่ผมดู เทสล่า  ซุปเปอร์ชาจ ของเค้า ถ้าชาจจากหมด ไปเต็ม ใช้เวลา ประมาณ 2.30 ช.ม. เลยทีเดียว .... คุณคิดว่า คุณนั่งรอได้ขนาดนั้นหรอ ....

เทสล่า วิ่งได้ ต่อการชาจ 1 ครั้งคือประมาณ 400 กิโล +- .... แต่รถน้ำมัน เต็มถัง เฉลี่ย 600-700 กิโล และ ใช้เวลาในการเติมพลังงานเพียง 5 นาที ซึ่งเทสล่า ต้องนั่งรอ ถึง 2 ช.ม. ....

คุณลองคิดดูสิ ... ถ้าเราขับรถกลับบ้าน และ แบ็ตจะหมด ..แต่มีเหตุจำเป็นต้องใช้รถต่ออีก เราจะเสียเวลานั่งชาจมัน สัก 2 ช.ม. ไหมล่ะ ...

นั่นล่ะครับ จุดจบของมัน ......

ออฟไลน์ VORA

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 383
ผมว่าไม่ตำ่กว่า 10 ปีแน่นอน...ใช้ I phone modelได้นะ
I phone เริ่มใช้แรกๆ เป็นของเล่นคนรวย และ indy เท่านั้น
ตอนนี้ผ่านมา 10 ปี เด็กมัธยมต้น ชนชั้นกลางมีถือทุกคน

ถ้าให้ราคาลดลง  การใช้งานวิ่งได้ไกล  สถานีชาร์ต มีทุกที่ใครๆก็มีใช้
เหมือนขับ altis civic ..........13 ปีแล้วกัน

ออฟไลน์ SLuang

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,815
ผมว่า มอเตอร์โชว์ปีหน้า (2018) จะมีมาโชว์ตัวไม่น้อยกว่า 2 ค่าย  แถมระบุชื่อเลย
1 นิสสัน
2 เทสลา

แต่ขายจริง ผมว่าไม่เกิน 3 ปีต่อจากนี้ แต่จะมีกี่ค่ายก็ว่ากันไป เดี๋ยวนี้ ทุกเทคโนโลยีถูกพัฒนาและทดสอบเร็วกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัวเลย
ใครช้าก็ปล่อยให้ค่ายอื่นโกยยอดไปก่อน

ดูอย่างพี่โต เสียตลาด ปล่อยให้ HR-V ขายไปไม่รู้กี่พันกี่หมื่นคันแล้ว
รถยนต์นั่งคันต่อไปของผมต้อง ไฟฟ้าเท่านั้น

ออฟไลน์ earrt

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 740
น้ำมันล้นโลก

ยากที่ไฟฟ้าจะเกิดในเร็ววันนี้ครับ

ผลประโยชน์ทั้งนั้น

เป็น10ปีแหงๆ

ออฟไลน์ Mr. RO

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 183
    • อีเมล์
มันมีตัวแปรเยอะนะครับ
คือ สภาวะตลาดรถยนต์โลกและจีน, การพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับแบตเตอรี่, การส่งเสริมของรัฐบาลในแต่ละประเทศ
สำหรับผม ผมมองว่า ช่วงรอยต่อระหว่าง รถยนต์เครื่องสันดาป (ICE) กับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่รักษ์โลกคือประหยัดและมีมลพิษน้อยและส่งเสริมการพัฒนา EV สมบรูณ์แบบ คือ EV Range Extender แบบแนว E-power ของ Nissan เพราะตามที่เข้าใจมันคือรถ EV จริงแต่พลังงานจากแบตเตอรี่มาจากการใช้เครื่องยนต์ชาร์ต เข้าไป ซึ่งมันจะได้ประมาณ 30 กิโลเมตรต่อลิตรขึ้นแน่นอน เพราะไม่ได้มีระบบที่สุญเสียพลังงานเยอะเหมือนระบบของรถ ICE คือ EV ไม่มีระบบส่งกำลัง พวก เพลา เกียร์ ที่ระบบพวกนั้นมีส่วนที่สุญเสียพลังงานมากพอควรแถมมีน้ำหนักต้องแบบเยอะ ด้วย
 ในมุมผมถ้ารัฐบาลไทยอยากส่งเสริมรถๆไฟฟ้าจริง ผมเห็นว่ามี 2 แนวที่ควรปฎิบัติ ซึ่งถ้ามองจากการสนับสนุนของการส่งเสริมที่เพิ่งออกไป ก็ควรจะต้องมีการปรับรายละเอียดตัวเลขออกไปจากที่เขาเขียนออกมา
สำหรับมุมการส่งส่งเสริม
1. ส่งเสริมตามมาตรการภาษีคล้ายที่รัฐบาลออกมา เพียงแต่ว่าควรมองว่าควรส่งเสริมรถที่เป็น EV ให้มีการลดภาษีให้มากก็ถูกแล้ว และควรส่งเสริมการลดการปล่อยมลพิษ ควบคู่กับการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพด้วย นั้นคือ ให้  ระยะทางของรถที่วิ่งได้ต่อน้ำหนักบรรทุกที่เท่าๆกับ เทียบกับพลังงานที่ต้องใช้ไปเป็นเท่าไร  ซึ่งในมุมผม ถ้าเทียบ EV Range Extender เทียบกับ รถยนต์ Hybrid แล้ว EV Range Extender ทำได้ดีกว่า และที่สำคัญ Range Extender ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาที่ใช้ในการชาร์ตแบตนานๆ ถ้าต้องขาร์ตให้เต็มเพื่อจะวิ่งได้ไกล และถ้าส่งเสริมให้มีการสร้าง Range Extender แบบที่มี แบตเตอรรี่ที่ไม่ใหญ่มาก แต่สามารถเสียบปลั๊กได้ด้วย หรือ Plugin EV Range Extender แต่อาจวิ่งได้ด้วยไฟฟ้า pure ๆ สัก 30-60 km ได้ และมีเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเพื่อปั่นเข้าไปชาร์ตไฟขนาด 600-1200 ซีซี  ขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของรถยนต์ และทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 25-40 km/litre และอาจมีการปล่อยมลพิษ เชน CO2 น้อยๆเช่นต่ำกว่า 50 g/km  แบบนี้จะทั้งรักษ์โลกและส่งเสริมการเร่งตัวการพัฒนารถ EV มากกว่าไหม เพราะ รถตาม spec ที่ว่าขนาดแบตเตอรี่ก็จะไม่ใหญ่มาก ขนาด 5-15 KWh ก็น่าจะได้ซึ่งถ้าสมมติมีการใช้เยอะเช่นระดับแสนหน่วยต่อปี ผมว่าราคาแบตเตอรี่คงน่าจะอยู่ระหว่าง 60K-200K ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ซึ่งถ้าสื่อสารกับผู้บริโภค น่าเข้าใจได้ว่าถ้าซื้อรถ EV Range Extender ที่อาจมีปัญหาการซ่อมบำรุงจากขาดช่างผู้ชำนาญการในช่วงแรก และราคาเริ่มต้นที่ซื้อรถอาจสูงนิดหน่อย แต่ระยะยาวค่าใช้จ่ายในระยะยาวคือ ค่าแบตเตอรรี่ที่ดูเหมือนเยอะ แต่สมมติว่า อายุการใช้แบตเตอรี่คือ เทียบกับการใช้งานรถ 5-10 ปี หรือระยะทางการใช้งานรถ 200,000-400,000 km ต่อการเปลี่ยนแบตใหม่ 1 ชุด แต่ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันที่หายไปกว่า 50% และไม่เสียค่าใช้จ่ายน้ำมันหล่อลื่นๆต่างๆมากที่มีเยอะในระบบรถ ICE  ดังนั้นในมุมผมการส่งเสริมของรัฐผมว่าการที่บอกว่ารถดังเติมมาปรับเป็น hybrid และรถภาษีเพิ่ม อีก 50% อาจเยอะเกินไป จริงอาจแค่ 30-40% ก็พอที่ลดลงมา และเหลือช่องว่างให้มาส่งเสริม รถแบบอื่นๆ หรือ รถไฟฟ้า ที่สามารถวิ่งได้โดยมีการปล่อยมลพืษที่น้อยกว่า แต่ยังมีการปล่อยมลพิษออกมาด้วยเหมือนกันด้วย
2. การส่งเสริมอุตสาหกรรม รถยนต์ อนาคตน่าจะมีแนวโน้มไปยัง รถยนต์ที่มีชิ้นส่วนลดลงมากๆอย่างเช่นรถไฟฟ้า ซึ่งควรหาทางส่งเสริมให้ SME ที่มีความสามารถมีนวตกรรม มีโอกาส ในการแข่งขัน ไม่ได้ต้องอยู่ในมือต่างชาติรายใหญ่ ถ้าเราอยากส่งเสริมอุตสาหกรรม ่งรถยนต์จริง ถึงแม่้ทุกวันนี้เราจะไม่มีรถยนต์แห่งชาติเป็นของเราเอง แต่เราสามารถส่งเสริมอุตสาหกรรม รถยนต์ของเรา โดยใช้แนวคิด
รถยนต์ DIY (Do It by Yourself) แต่แนวคิดผมยอมรับว่ามีปัญหาในไทยแน่นอน เพราะปัญหา ที่ภาครัฐไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้มีประสิทธิภาพ แต่สมมติในอนาคตแก้ปัญหาได้แล้วนะครับ (ฝันไว้นะครับ แต่อาจเป็นฝันกลางวัน)  ภาครัฐ ให้มีหน่วยงานร่วมกับเอกชน ตั้ง standard กลางในการผลิตหรือที่เป็น platform และ interface มาตรฐานว่ารถใน 1 คนอย่างน้อยทีสุดต้องมี spec และ Interface มาตรฐานอย่างไร เพื่อให้ผู้ผลิตรายเล็กๆ สามารถผลิตชิ้นส่วนตามที่ตนถนัด เพียงแต่ผลิตให้มี Interface และมีขนาดสัดส่วนตาม spec ตามที่กำหนด   ต่อไป คนก็จะสามารถเลือกได้เองว่าต้องการรถของตนเป็นอย่างไร และสามารถ upgrade รถเช่น ตอนแรกไม่ค่อยมีเงินเยอะ อาจเลือกว่าใช้แบบ Range Extender และมีแบตลูกเล็ก แต่ต่อไปมีเงินเยอะ อาจเลือกแบตที่ความจุสูงขึ้นที่รอบรับใน Model ของ platform ที่ตนเองใช้ เพื่อจะได้ใช้รถใน Mode ที่วิ่งด้วยไฟฟ้า pure ยาวนานขึ้นนะครับ
นอกจากนั้นรัฐก็ต้องกำหนดกฎว่า รถ DIY ต้องผ่านการตรวจสอบก่อนจะจดทะเบียนได้ และ DIY อาจมี มาตรฐานในการตรวจสอบและจดทะเบียน อย่างน้อย 2 ระดับคือ 
1. แบบชาวบ้าน ประกอบเอง แบบนี้อาจมีกำหนด spec ว่ารถที่จะวิ่งได้ต้องวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 100 km/h และความเร็วสูงสุดไม่เกิน 120-130 km/h และ lock ไว้ว่าจะใช้ความเร็วสูงสุดได้ต่อเนื่องไม่เกิน 1-2 นาที และใน 1 ชม จะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้ไม่เกิน 5-10 นาที เป้นต้น และอาจมีข้อกำหนดอื่นๆอีกเพื่อความปลอดภัย
2. DIY โดยศูนย์หรือโชว์รูม ที่รัฐได้ให้ใบอนุญาติ ก็อาจกำหนก Spec ให้สูงขึ้นกว่าแบบ ชาวบ้าน แต่อย่างไรข้อกำหนดในการใช้งานที่จะใช้งานได้ก็จะไม่เท่ากับ รถประกอบจากโรงงานเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนนให้มากขึ้น

แต่ก่อนจะอนุญาตการให้รถประกอบเองออกวิ่งได้รัฐต้องออกมาตรการบางอย่างเพิ่มเพื่อความปลอดภัยและบริหารจัดการดูแลตรวจสอบการใช้งานรถบนถนนก่อนด้วย นั้นคือ ต้องให้รถทุกคันติด อุปกรณ์หรือ chip ระบุตำแหน่ง (GPS) และอาจรวบไปถึงการตรวจสอบการปล่อยมลพิษหรือ สามารถมองเห็นกล้องที่ติดรถแต่ละคันได้ด้วยก่อน chip ที่ว่า เพื่อดูข้อมูลของรถเท่านั้นจากส่วนกลาง ไม่ใช่เพื่อควบคุมนะครับ และเพื่อเป็นประโยชน์ ในการตรวจสอบการทำผิดจราจร หรือ ช่วยติดตามการอาชญกรรม นะครับ

ส่วนตัวถ้ารัฐส่งเสริม Range Extender อย่างที่ผมบอกนะ ผมว่าใน 3-4 ปี น่าจะได้เห็นรถ Range Extender ในราคา 600,000-1,500,000 ให้มากกว่า 7-10 models ในตลาดแน่นอน 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 06, 2017, 15:20:40 โดย Mr. RO »

ออฟไลน์ punn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,607
  • may the force lead your way ...
ผมว่า เกิดยากครับ รถ EV เพราะสุดท้าย คนจะไม่นิยม ...

พอขายแรกๆ ก็เห่อ เป็นของธรรมดาครับ แต่รู้ไหม พอมีใช้จริงๆทุกคนจะบ่น และเลิกใช้ และจะไม่คิดซื้อใช้อีก ....

ถามว่าทำไมหรอ ...

เอาปัจจัยแรกก่อน ... พื้นฐานเลย

-การเติมเชื่อเพลิง หรือการชาจ

รถใช้น้ำมัน เราเติมน้ำมันกัน เฉลี่ย 2-5 นาที ไม่เกินนี้ สำหรับการเติมน้ำมันแบบหมดถังไปเต็มถัง ... แล้ว EV ล่ะ .... กี่ชั่วโมง ที่ผมดู เทสล่า  ซุปเปอร์ชาจ ของเค้า ถ้าชาจจากหมด ไปเต็ม ใช้เวลา ประมาณ 2.30 ช.ม. เลยทีเดียว .... คุณคิดว่า คุณนั่งรอได้ขนาดนั้นหรอ ....

เทสล่า วิ่งได้ ต่อการชาจ 1 ครั้งคือประมาณ 400 กิโล +- .... แต่รถน้ำมัน เต็มถัง เฉลี่ย 600-700 กิโล และ ใช้เวลาในการเติมพลังงานเพียง 5 นาที ซึ่งเทสล่า ต้องนั่งรอ ถึง 2 ช.ม. ....

คุณลองคิดดูสิ ... ถ้าเราขับรถกลับบ้าน และ แบ็ตจะหมด ..แต่มีเหตุจำเป็นต้องใช้รถต่ออีก เราจะเสียเวลานั่งชาจมัน สัก 2 ช.ม. ไหมล่ะ ...

นั่นล่ะครับ จุดจบของมัน ......

เหตุผลนี้นี่น่าสนใจครับ เพราะเวลาใช้จริงเจอแน่ๆ
ตราบใดยังมีมนุษย์ป้า มนุษย์ลุง มนุษย์ลืม มนุษย์เผลอ พอด่วนๆจะใช้ยังไง ถ้าเติมไฟช้าขนาดนั้น  :-\

ยิ่งตอนนี้ยังมี shale gas ที่ทำให้น้ำมันล้นโลกอีก
ค่าคุ้มทุนของ shale gas อยู่ราวๆ 60-70 $ ตีราคาในไทยคงอยู่ราวๆ 25-30 บาท/ลิตร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 06, 2017, 15:10:10 โดย punn »
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ

ออฟไลน์ HHHsung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,377
ความจริงมันมีแค่เรื่องเดียวครับ ที่ทำให้ยังเกิดไม่ได้ คือตัวแบตเตอรี่ครับ

ถ้าอนาคต แบตเตอรี่ราคาถูก และมีความจุต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ที่จขกท. ว่ามา แก้ปัญหาได้ทุกข้อ

1. ราคาจับต้องได้ 500,000-3,000,000 แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น B secment ราคาไม่เกิน 750,000

ปัจจุบันต้นทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ราคาแบต

2. ระยะทางต่อการชาร์ทไฟเต็ม 1 ครั้งไม่น้อยกว่า 300 km

ความจุต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ก็จะวิ่งได้ไกลขึ้น

3. ระยะเวลาในการชาร์ทไฟที่ไม่นาน

แบ่งการชาร์จในแต่ละระดับเซล ก้สามารถทำให้ชาร์จได้เร็วขึ้น

4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก

ราคาแบตตรงๆ

5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง

ก็ตาม อุปสงค์ อุปทาน ครับ ถ้ารถเยอะ สถานีมันก็เยอะเองครับ

6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม

จริงๆ ระบบควบคุมกับส่งกำลัง มันกันน้ำอยู่แล้วครับ ไม่มีปัญหา

ออฟไลน์ locomotive

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 791
50 ปีครับ

ออฟไลน์ zman

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 45
ผมว่าไม่ตำ่กว่า 10 ปีแน่นอน...ใช้ I phone modelได้นะ
I phone เริ่มใช้แรกๆ เป็นของเล่นคนรวย และ indy เท่านั้น
ตอนนี้ผ่านมา 10 ปี เด็กมัธยมต้น ชนชั้นกลางมีถือทุกคน

ถ้าให้ราคาลดลง  การใช้งานวิ่งได้ไกล  สถานีชาร์ต มีทุกที่ใครๆก็มีใช้
เหมือนขับ altis civic ..........13 ปีแล้วกัน

ผมเห็นด้วยครับ  จริงๆ  มองแนวโน้มบริษัทรถยนต์หลาย ๆ ค่าย ถึงขนาดทุ่มสุดตัวกับ รถ EV   ผมเองก็คนหนึ่งที่ใช้ iPhone ตั้งแต่ ปี 2007 ตัวแรก ซื้อที่อเมริกา และ นั่งศึกษา เจลเบรคเอง ในวันนั้นหลายคนก็ว่า เดี๋ยวมันจะแฮงค์ จอแตกจะแพง  เครื่องใหญ่ ( สมัยนั้นมือถือนิยมแข็งกันเล็ก แข่งกันหรู )  , ใช้ยาก , app มีน้อยบังคับใช้ของ apple เองเท่านั้น  และ อีกมากมาย ในขณะที่ BB เริ่มเฟื่องฟู   ..... 

แค่ 10 ปี วันนี้ยอด Data มากกว่ายอดโทรและ SMS มือถือค่ายไหนบ้างไม่เป็น Smart phone . ผมว่าถ้ารถยนต์ทุกค่ายเอาจริงเอาจัง ราคาลงมาเล่นได้ง่ายขึ้น  แบตเตอร์รี่ และ การชาร์จ มีเทคโนโลยี่ที่ดีขึ้น ถึงวันนั้นมันอาจจะไม่เร็วนัก เพราะ Value และ อายุการใช้งานของรถมันมากกว่า มือถือ  แต่ผมเชื่อว่ามันมาแน่ครับ.   

ออฟไลน์ TrentXWB

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 831
  • เมาไม่ขับ ง่วงไม่ขับ
1. ราคาจับต้องได้ 500,000-3,000,000 แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น B secment ราคาไม่เกิน 750,000

- เทรนด์คนซื้อมีผลนะครับ ถ้าคนซื้อไม่เอา คงยาก

2. ระยะทางต่อการชาร์ทไฟเต็ม 1 ครั้งไม่น้อยกว่า 300 km

- สภาพเรายังไม่เหมาะกับชาร์จแล้ววิ่งยาวนะครับ เสี่ยงกินข้าวลิง ควรรอให้สถานีชาร์จมีมากกว่านี้ และชาร์จได้เร็วกว่านี้มากๆ ก่อน ครับ ถึงจะน่าใช่พวกที่เป็นแบบ เสียบปลั๊กแบตล้วน
รถไฟฟ้าที่เหมาะกับเราคือพวก ใช้น้ำมันปั่นไฟฟ้าไปขับมอเตอร์นี่ละครับ เหมาะกับเราสุดแล้วในความเห็นผม อย่างน้อยอีก 5 - 10 ปี

3. ระยะเวลาในการชาร์ทไฟที่ไม่นาน

- ทั้งระบบผลิตไฟ จ่ายไฟ ชาร์จไฟ ต้องดีกว่าปัจจับันนะครับ ถ้าจะให้ดี ควรเป็น Supercharger ที่ชาร์จได้ 1250 กม. ภายใน 5 นาที หรืออย่างน้อยๆ 7-800 กม. ต่อ 5 นาทีครับ ไม่งั้นผมไม่อยากจะนึกสภาพช่วงเวลาเร่งด่วนหรือเทศกาลที่คนแห่กันเข้าปั๊มชาร์จไฟ แล้วเกิดการออขึ้นตามสถานีจ่ายไฟ

4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก

- มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ นะครับ แต่ที่ควรกังวลคือการกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพแล้ว

5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง

- ค่อยๆ ขยายกันไปครับ ปั๊มชาร์จเยอะ กำลังผลิตไฟไม่พอก็ค่าเท่าเดิม

6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม

- เข้าใจว่าระบบพวกนี้มันซีลแน่นหนาประมาณนึงแล้วนะครับ ลุยแปปๆ ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าแช่ยาวๆ ก็ไม่ควร ไฟรั่วไม่กลัวเท่าไหร่ กลัวการกัดกร่อนเสื่อมสภาพมากกว่าครับ

คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงยุครถไฟฟ้าจริง ๆ ครับ 10 ปี หรือ 20 ปี หรือมากกว่านั้น
- ลงว่าอย่างน้อยๆ 20 ปี ครับ  ;D

ปล. ปัจจุบัน Supercharger ของ Tesla ก็ไม่ฟรีแล้วนะครับ

ออฟไลน์ lay

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,274
ผมว่ารอดูอีกสัก2-3ปี  ทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น ค่อยว่ากันอีกทีครับ 

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,495
ถ้าแบบ mass จริงๆ คงมี 10 ปีครับ

แต่ละยี่ห้อ คงไม่กล้าขยับหมด ต้องเหลือแบบเดิมๆไว้บ้าง

ออฟไลน์ psrisant

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 74
    • อีเมล์
ขอมาเสริมครับ ลองพิมพ์คำว่า tesla norway ในyoutubeแล้วลองวิเคราะห์กันครับว่าประเทศที่เค้าส่งเสริมรถไฟฟ้าเค้าวางระบบกันยังไงครับ

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,591
    • อีเมล์
ลองนึกถึงสมัยก่อนเปลี่ยนจากรถมาเป็นรถน้ำมันดู นะครับ
สมัยก่อนมีแต่ม้า รถก็แพงปั๊มก็ไม่มี
แต่พอมีmodel T และ ปั๊ม กระจายทั่วถึงก็หมดยุครถม้าทันที
นั่นมันเมื่อ100กว่าปี แต่ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปมาก
อีกหน่อย รถไฟฟ้าถูกลง เช่น tesla model3ราคาแค่ล้านเดียวเอง และถ้าวางระบบชาร์จทั่วถึง รวมไปถึงแบตที่ชาร์จได้เร็วขึ้นเท่าไหร่
รถที่ใช้น้ำมันคงกลายเป็นรถม้าในสายตาของรถไฟฟ้าโดยปริยาย

สรุปคือ 5ปี เห็นมากขึ้น เฉพาะกลุ่มคนมีเงินซื้อรถหลายคัน hybrid เต็มบ้าเต็มเมือง
10ปี รถไฟฟ้า 20-30%น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลก

ออฟไลน์ Dark Overlord

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,803
  • Hail to the darkside
เห็นด้วยกับหลายท่านข้างบนครับ
แนวโน้ม curve ของการเปลี่ยนแปลงมันเร็วขึ้นนะครับ
ไม่ใช่ 100 ปี 50 ปี 30 ปี อย่างแน่นอนล่ะ
รัฐบาลที่ดูช้าๆ น่ะ ช้าเพราะแค่ยังไม่เข้ามาจับเต็มตัวเท่านั้น
เวลาทำจริงๆ เคาะแป้ปเดียว ประกาศตู้ม แต่ละฝ่ายหงายหลัง กลับตัวแทบไม่ทัน
แต่แน่นอน เขาต้องมีการนั่งคุยกับค่ายรถหลังฉากมาก่อนอยู่แล้ว

แล้วสังเกตุดูตอนนี้รัฐบาลมุ่งหน้าหานโยบายที่ต้องการเงินให้เข้ามามากขึ้น เพราะ
เงินไม่มี เศรษฐกิจถอยลงไปเรื่อยๆ การหนุนให้ค่ายรถโหมเงินลงทุนด้านรถไฟฟ้า-ไฮบริด
ตามนโยบายตลาดโลก เราจะได้รับประโยชน์เต็มๆ เพราะเขา,ต่างประเทศ, เขาไปกันแล้ว
เงินทุนวิจัยอะไรต่างๆ ของค่ายรถ มันก็ไปทางนี้หมด ถ้าเมืองไทยไม่เอาด้วย ก็เท่ากับเสียโอกาศ
ไม่ใช่อะไร เพราะตอนนี้ตลาดรถบ้านเรามันก็ดิ่งลงด้วย ไม่ใช่อินโด ฉันขายดีของฉัน ฉันไม่แคร์

ผมว่าตัวเลขน่าจะภายใน 8-12 ปี ที่รถไฟฟ้า-ไฮบริดจะมาเต็มที่
โดยที่เราต้องจ่ายค่าเทคโนโลยีเพิ่มในการซื้อรถสักคันนี่แหล่ะ ถ้าอยากได้รถใหญ่หน่อย
ไม่งั้นก็จะได้แค่รถเล็กๆ เครื่องสันดาปล้วนแบบพวก eco car ไปเลย
ค่ายไหนไม่พร้อม ก็จะขายแค่รถเล็ก eco car ส่วนค่ายที่พร้อมจะบีบให้ใช้ Hybrid, ไฟฟ้า
เต็มที่รึเปล่า ไม่แน่อาจจะ

ออฟไลน์ 2k

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,752
น่าจะยากครับเพราะพื้นเพของผู้บริโภคไม่เหมือนกัน  :-X ต่างประเทศรายได้ต่อหัวสูงการซื้อรถไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่คนไทยถ้าไม่รวยจริงๆในชีวิตหนึ่งซ์้อรถไม่เกินสามคันจนตาย ต่างประทศเน้นประสิทธิภาพและสมรรถนะแต่คนไทยเน้นอะไหล่เทียบถูกๆซ่อมง่ายๆความปลอดภัยไม่ต้องทุกวันนี้ยังไม่อยากรับอะไรอย่างอื่นนอกจากอัลติสหน้าหมูอยู่เลย  ::) ต่างประเทศเน้นสิ่งแวดล้อมเป็นหลักรัฐบาลสนับสนุนมีการตั้งสถานีเติมไฟทั่วประเทศชนิดก้าวกระโดดไกล ของไทยเน้นเงินในกระเป๋าตัวเองเป็นหลักสิ่งแวดล้อมช่างหัวมันทุกวันนี้ยังเทสารพิษลงแม่น้ำลงทะเลอยู่เลย การสนับสนุนจากภาครัฐอย่าหวังเอาแค่สถานีเติมจังหวัดละแห่งในสิบปียังทำไม่ได้เลยมั้ง  :-X จากที่คนข้างบนว่าในปี2030เยอรมันจะไม่ให้มีรถสันดาปบนท้องถนนอีกแล้วแต่ผมกล้าพูดว่าประเทศไทยจะยังคงใช้รถสันดาปต่อไปเรื่อยๆจนกว่าสุดๆจริงๆที่ไม่มีรถสันดาปจายอีกแล้วถึงจะหันมาใช้กัน.....หรือถ้าโตโยต้าแหวกแนวลากยาวเครื่องสันดาปขายเฉพาะตลาดไทยเท่านั้นคนไทยก็จะอยู่คู่รถสันดาปไปจนวันโลกแตก  ::)
หมาเฝ้าบ้านแจกฟรีจ้า www.dogfindhome.com


ออฟไลน์ J_Serie5

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,206
Full EV คงอีกนานเพราะติดเรื่องราคาและรัฐไม่สนับสนุนแบบจริงจัง แต่ถ้าเอาแบบสามารถใช้ได้แพร่หลาย ราคาเอื้อมถึงและเหมาะกับการใช้งานในไทยคือ PHEV ครับ ซึ่งผมเคยเสนอ Project ให้รัฐแล้วโดนกลุ่มไดโนเสาร์ block ครับ (อัตราสิ้นเปลือง 0.5-0.7/km)  :-\