1. ราคาจับต้องได้ 500,000-3,000,000 แล้วแต่รุ่นแล้วแต่ยี่ห้อ เช่น B secment ราคาไม่เกิน 750,000
- เทรนด์คนซื้อมีผลนะครับ ถ้าคนซื้อไม่เอา คงยาก
2. ระยะทางต่อการชาร์ทไฟเต็ม 1 ครั้งไม่น้อยกว่า 300 km
- สภาพเรายังไม่เหมาะกับชาร์จแล้ววิ่งยาวนะครับ เสี่ยงกินข้าวลิง ควรรอให้สถานีชาร์จมีมากกว่านี้ และชาร์จได้เร็วกว่านี้มากๆ ก่อน ครับ ถึงจะน่าใช่พวกที่เป็นแบบ เสียบปลั๊กแบตล้วน
รถไฟฟ้าที่เหมาะกับเราคือพวก ใช้น้ำมันปั่นไฟฟ้าไปขับมอเตอร์นี่ละครับ เหมาะกับเราสุดแล้วในความเห็นผม อย่างน้อยอีก 5 - 10 ปี
3. ระยะเวลาในการชาร์ทไฟที่ไม่นาน
- ทั้งระบบผลิตไฟ จ่ายไฟ ชาร์จไฟ ต้องดีกว่าปัจจับันนะครับ ถ้าจะให้ดี ควรเป็น Supercharger ที่ชาร์จได้ 1250 กม. ภายใน 5 นาที หรืออย่างน้อยๆ 7-800 กม. ต่อ 5 นาทีครับ ไม่งั้นผมไม่อยากจะนึกสภาพช่วงเวลาเร่งด่วนหรือเทศกาลที่คนแห่กันเข้าปั๊มชาร์จไฟ แล้วเกิดการออขึ้นตามสถานีจ่ายไฟ
4. แบตเตอรี่ราคาไม่แพงเปลี่ยนแล้วเจ้าของไม่คิดมาก
- มีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ นะครับ แต่ที่ควรกังวลคือการกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพแล้ว
5. สถานี (ปั้ม) ที่ใช้ในการชาร์ทไฟมีทั่วถึง
- ค่อยๆ ขยายกันไปครับ ปั๊มชาร์จเยอะ กำลังผลิตไฟไม่พอก็ค่าเท่าเดิม
6. ไม่มีปัญหาเรื่องลุยน้ำรอระบายใน กทม
- เข้าใจว่าระบบพวกนี้มันซีลแน่นหนาประมาณนึงแล้วนะครับ ลุยแปปๆ ไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าแช่ยาวๆ ก็ไม่ควร ไฟรั่วไม่กลัวเท่าไหร่ กลัวการกัดกร่อนเสื่อมสภาพมากกว่าครับ
คิดว่าเมื่อไหร่จะถึงยุครถไฟฟ้าจริง ๆ ครับ 10 ปี หรือ 20 ปี หรือมากกว่านั้น
- ลงว่าอย่างน้อยๆ 20 ปี ครับ
ปล. ปัจจุบัน Supercharger ของ Tesla ก็ไม่ฟรีแล้วนะครับ