มีคนตอบไว้ในนี้แล้ว สรุปง่ายๆ คือ
ไม่อุดegr ออกตัวช้ากว่า ตีนต้นแรงน้อยกว่า แต่ประหยัดกว่า
วาล์วไอเสียเย็นกว่า บ่าวาวล์ไอเสียสึกช้ากว่า เครื่องทนกว่า ความร้อนสะสมน้อยกว่า
แต่ต้องใช้น้ำมัน น้ำมันเครื่อง ยูโร5 ขึ้นไป เขม่าสะสมน้อย ถึงกม.ถอดล้าง
ส่วนการอุด กินน้ำมันมากกว่า แต่แรงขึ้นช่วงความเร็วต่ำ
วาล์วไอเสียร้อนกว่า ทนน้อยกว่า เขม่าสะสมในเครื่องมากกว่า ปล่อยมลพิษมากกว่าเยอะ
คนที่เจอไอเสียตอนจอดในบ้าน รับพิษไปเต็มๆสะสมในร่างกาย
ที่มาโชว์ว่า ดำ มันคือตัว egr พอปิดก็บอกว่าสะอาด
มันแน่นอนอยู่แล้วพอปิดไม่มีไอเสียเข้าไปผ่านegr
แต่ผนังสูบ บ่าวาล์ว มีเขม่าสะสมอยู่มากกว่าถ้าอุด
egr สะอาดแต่เครื่องสกปรกเหมือนเดิมก่อนที่น้ำมันเผาไหม้ออกมาเป็นไอเสีย เกิดจากจุดระเบิดในเครื่อง(หัวกระบอกสูบ)
แล้วปล่อยไอเสียออกมา
ถ้าไม่อยากให้เครื่องสกปรกใช้น้ำมันเครื่องดีๆ ตามมาตรฐานที่ระบุ
เพราะตัวนี้คือตัวชะล้างสิ่งสกปรกของเครื่องยนต์คิดง่ายๆ บ้านเราบ.รถจอมประหยัดถ้าไม่จำเป็นไม่ติดมาให้หรอก
ขนาดบางอย่างจำเป็นมันยังตัดออกเลยแล้วคนที่บอกว่า
อุดไปเลยไอเสียเยอะขึ้นชั่งมันเครื่องสะอาดไว้ก่อนแรงไว้ก่อน
หรือพวกที่ชอบตัดแคส คิดตื้นๆว่า คนภายนอกนานๆได้ดมที
แต่คนขับกับครอบครัวดมทุกวัน
สุดท้ายกรรมตามทันแน่นอนไม่ต้องรอนานไม่เกิน 5ปีรู้ผล
NOx ไม่สามารถดูดซับโดยต้นไม่ได้ ต้นไม้ดูดซับได้แค่ CO2
NOX ถือว่าเป็นสารพิษส่วน CO2 เป็นแค่ก๊าซเสียน้ำมันยูโร5 NOX น้อยกว่ายูโร4
ส่วนน้ำมันยูโร6 NOX ต่ำกว่ายูโร5 เท่าตัว
ถ้าตอนตรวจสภาพเข้มจริง รถที่อุดตรวจไม่ผ่านแน่นอน
หลักการคือCO2 มันไม่สามารถเผาไหม้ได้ O2 เผาไหม้ได้
ลองนึกถึงขวดหนึ่งใบที่มีอากาศเต็ม การที่จะทำให้ส่วนผสมน้ำมันพอดีกับอากาศ
ต้องใช้น้ำมันในปริมาณที่เยอะ (A/F น้ำมันต่ออากาศ)
ในขณะที่ถ้ามีCO2ส่วนนึงในขวด จะมีอากาศน้อยทำให้ ใช้น้ำมันน้อยลง
CO2 ไปแทนที่ช่องว่างของอากาศ ทำให้ปริมาตรกระบอกสูบลดลง
(เหมือน ccกระบอกสูบน้อยลง ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น)
อัตราส่วนของน้ำมันต่ออากาศที่เผาไหม้แล้วให้พลังงานสูงสุด
มีอยู่ค่านึงซึ่งecu จะพยามทำให้ได้ค่านี้ตลอด
มีคนสงสัยว่าแบบนี้กำลังที่ก็ได้น้อยลงสิ ถูกแล้ว เพราะความจุอากาศในกระบอกสูบลดลง
แต่ตอนที่คุณขับรถด้วยความเร็ว 40 km/h
ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเท่ากับตอนที่ขับ 100km/h
NOx คือก๊าซไอเสียที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้
ที่ร้อนเกินไปโดยความร้อนที่มากเกินไปนั้นจะทำให้เกิดการแตกตัวของไนโตรเจนในอากาศ
และไปรวมตัวกันใหม่กับออกซิเจนในสภาพของ NOx
EGR = Exhaust Gas Recirculation
ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อทำการ ลด NOx หลักการง่ายๆคือ
ลดความร้อนของการเผาไหม้ลงครับหลักการทำงาน EGR สำหรับเครื่องยนต์ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ในเครื่องยนต์ใช้ หัวเทียนจุดระเบิด หรือเบนซิน
EGR นำไอเสียกลับมาในห้องเผาไหม้อีกรอบ อัตราส่วน 5-15 %
จากไอเสียที่เผาไหม้ได้ ไม่ใช้วนกลับทั้งหมดเอาแค่บางส่วน ขึ้นอยู่กับจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ในขณะนั้น
โดยไอเสียมาแทนที่ไอดี ทำให้ห้องเผาไหม้สูญเสียปริมาตรไปส่วนหนึ่ง
จึงส่งผลให้ความร้อนในห้องเผาไหม้ลดลง น้ำมันจ่ายน้อยลงเนื่องจากไอดีเข้าไปในห้องเผาไหม้ได้ลดลงนั่นเอง ไม่ได้กินน้ำมันขึ้น
ตามที่หลายๆคนเข้าใจหรือ โฆษณาหลอกลวง
การมี EGR ทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้น จากสาเหตุดังต่อไปนี้
ลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์ไปกับการกีดขวางของปีกผีเสื้อเนื่องจากมีไอเสียเข้าไปปะปนอยู่กับไอดี เมื่อเราเร่งเครื่องยนต์นั้น
ลิ้นปีกผีเสื้อต้องเปิดมากขึ้น เพื่อให้ได้กำลังที่ต้องการ
ทำให้อากาศที่ไหลเข้าเครื่องนั้นถูกปีกผีเสื้อกีดขวางไว้ลดลง
ส่งผลให้แรงดันของอากาศเพิ่มขึ้น ช่วยให้เผาไหม้ดีขึ้น
ลดการสูญเสียกำลังจากการถ่ายเทความร้อนที่สูงเกินไปการมีไอเสียปะปนเข้าไปในห้องเผาไหม้ ทำให้ NOx ลดลง
ส่งผลให้ความร้อนสูงเกินของห้องเผาไหม้ลดลง
ผนังของห้องเผาไหม้เย็นลง ลดเขม่าเกาะ สึกหรอน้อยลง
พลังงานความร้อนส่วนเกิน ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานกลได้คุ้มค่าน้ำมันกว่า
EGR ไม่ทำงานในบางเงื่อนไขของการขับขี่ ดังนี้ 1.ถ้าเหยียบมิด คันเร่งติดเหล็กรถ เร่งเครื่องเต็มที่
EGRไม่ทำงาน เพราะไปลดกำลังสูงสุดที่รถทำได้ ณ รอบเครื่องและช่วงเวลานั้นๆ
2.เครื่องทำงานรอบเดินเบา(Idle) EGRไม่ทำงานเช่นกัน
เพราะทำให้รอบเดินเบาเดินไม่เรียบครับ
ประโยชน์อีกข้อหนึ่งของEGR คือ ทำให้บ่าวาล์วไอเสียทนขึ้นมาก
ยิ่งขับด้วยความเร็วคงที่ยิ่งทน เพราะEGRระบายความร้อนของวาล์วไอเสียได้ดี
ทำให้วาล์วไม่ร้อนจนเกินไป สึกหรอน้องลง
การทำงานของ EGR ทำให้เกิดการอุดตันสำหรับเครื่องที่ใช้งานนานๆ
ฉะนั้นต้องถอดมาล้าง ทำความสะอาด2.เครื่องยนต์ที่ใช้ ระบบอัดระเบิด หรือดีเซล
ทำงานคล้ายๆกัน เเครื่องยนต์ดีเซลในปัจจุบัน ใช้ระบบอัดอากาศคือ
เทอร์โบชาร์จเจอร์ (Turbocharger) ทำให้ไอดีหรืออากาศที่เข้าไปในเครื่องนั้น
มีมากเกินพอสำหรับการเผาไหม้ ปริมาณของก๊าซไอเสียที่ย้อนกลับไปห้องเผาไหม้
จึงมีปริมาณที่มากกว่าเครื่องเบนซินประมาณ 65% ซึ่งทำให้ความร้อนของห้องเผาไหม้ลดลง
NOx จึงลดลงด้วยเหตุผลเดียวกัน และนั่นเลยส่งผลกระทบทำให้กำลังของเครื่องยนต์
ที่ได้ ณ รอบเครื่องและช่วงเวลานั้นๆลดลง เช่นเดียวกัน
EGR หยุดการทำงานเมื่อเร่งเครื่องยนต์(เหยียบมิด)
ทำให้กำลังสูงสุดหลังการอุดEGRนั้น ไม่ต่างแต่อย่างใดการทำงานของ EGR ในเครื่องยนต์ดีเซลนั้นทำให้เกิดเขม่าในไอเสีย
มาตรฐานตั้งแต่ EURO IV ขึ้นไปรถกระบะบังคับให้ติด Diesel Particulate Filter
หรือ DPF เป็นตัวดักจับเขม่า เพื่อให้ค่าไอเสียอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด
ในไทยเลื่อนการบังคับใช้มาตรฐานนี้ เนื่องจากขั้นตอนในการเสนอพระราชกฤษฎีกา
แต่ปัจจุบันรถยนต์ที่ออกรุ่นใหม่ตั้งแต่ปี 1 มกราคม 2555 ได้ผ่านมาตรฐานนี้หมดแล้ว
EGR ในเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ลด NOx ลงประมาณ 40%
ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
ในเครื่องยนต์ฉีดตรง อยู่ที่ประมาณ 2%
ในเครื่องยนต์ดีเซล ลด NOx ลงประมาณ 50%
การที่เหยียบคันเร่ง แล้วควันดำพุ่งนั้น
เกิดจากเทอร์โบชาร์จเจอร์นั้นจ่ายบูสต์อากาศไม่ทัน กับปริมาณน้ำมันที่จ่ายลงไปในห้องเผาไหม้
ทำให้เกิดการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=26062.0