ผู้เขียน หัวข้อ: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ  (อ่าน 29922 ครั้ง)

ออฟไลน์ Abzolute

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,934
  • สวัสดีคนรักรถยนต์
พอดีไม่ทราบเลยว่ามันมักเกิดจากอะไร และคืออะไรครับ

ออฟไลน์ johnlee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,603
    • อีเมล์
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 13:08:33 »
ผมตอบไม่ตรงคำถาม

ถ้ารถเก่าๆ น้ำดันคือ แรงอัดจากลูกสูบ รั่วพ่นเข้ามาในระบบน้ำ

ส่วนมากรั่วทางปะเก็นฝาสูบ

บางทีอาจจะฝาสูบร้าว แตก

บางทีเสื้อสูบผุ รั่ว

สรุปว่า ถ้าลมจากระบบจุดระเบิด รั่วมาถึงระบบไหลเวียนน้ำ  ลมนั้นจะดันไปที่หม้อน้ำ พ่นใส่ถังพัก  และไม่ดูดกลับ

ทำให้ระบบน้ำหาย ลดลง ต้องคอยเติม

รถเก่าๆส่วนมาก ถ้าฝาโก่ง ไสฝาสูบเสริมปะเก็นให้หนาทดแทนเดิมเพื่อรักษากำลังอัดครับ

รถใหม่ๆน่าจะบกพร่องชิ้นส่วนละ เพราะตัดเรื่องสนิมไปได้เลย
หรืออาจจะการออกแบบ น็อตเล็กเกินไป รั้งฝาสูบไม่อยู่ ฝาสูบบางไป แรงอัดสูงไป ปะเก็นฝาสูบด้อยคุณภาพ  เป็นได้หลายอย่างครับ
2535-2555 Nissan Big-m z16
2555-2561 Nissan Big-m Td27 + Bd25
2555- 2566 -Nissan Almera N17
2561- present -Isuzu D-max spacecab SLX 3.0
2566 - present Honda Jazz ge v a/t

ออฟไลน์ meeuwarn

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 938
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 14:34:26 »
เกิดจากพยายามให้ประหยัดน้ำมันจนเกินไป แล้วยังอยากแรง และจะเอามลพิษต่ำๆด้วย

ดีเซลเก่าๆ ไม่แรง ไม่มีโบ กินน้ำมัน ควันดำ ใช้ได้เป็นล้านโล

ออฟไลน์ 5thAvenue

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,434
  • Hi!!!!
    • อีเมล์
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 14:43:19 »
ผมตอบไม่ตรงคำถาม

ถ้ารถเก่าๆ น้ำดันคือ แรงอัดจากลูกสูบ รั่วพ่นเข้ามาในระบบน้ำ

ส่วนมากรั่วทางปะเก็นฝาสูบ

บางทีอาจจะฝาสูบร้าว แตก

บางทีเสื้อสูบผุ รั่ว

สรุปว่า ถ้าลมจากระบบจุดระเบิด รั่วมาถึงระบบไหลเวียนน้ำ  ลมนั้นจะดันไปที่หม้อน้ำ พ่นใส่ถังพัก  และไม่ดูดกลับ

ทำให้ระบบน้ำหาย ลดลง ต้องคอยเติม

รถเก่าๆส่วนมาก ถ้าฝาโก่ง ไสฝาสูบเสริมปะเก็นให้หนาทดแทนเดิมเพื่อรักษากำลังอัดครับ

รถใหม่ๆน่าจะบกพร่องชิ้นส่วนละ เพราะตัดเรื่องสนิมไปได้เลย
หรืออาจจะการออกแบบ น็อตเล็กเกินไป รั้งฝาสูบไม่อยู่ ฝาสูบบางไป แรงอัดสูงไป ปะเก็นฝาสูบด้อยคุณภาพ  เป็นได้หลายอย่างครับ

+1 สำหรับอาการน้ำดันในรถทั่วไป

ออฟไลน์ apinui

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,947
    • อีเมล์
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 14:58:24 »
ตามที่คุณ johnlee อธิบายเลยครับ

ในกรณี CX5 ดีเซล เกิดจากฝาสูบและประเก็นเสื่อมสภาพไว โดยเฉลี่ยที่ 8หมื่น ถึง 1.2แสนโล

แนวทางแก้ที่มาสด้าได้ทำให้กับรถที่มีปัญหาคือเปลี่ยนฝาสูบและชุดประเก็นใหม่ แต่ .....

ลูกค้าหลายรายไม่ยอมให้เปิดฝาสูบ ทำให้การแก้ปัญหาหลายๆคัน เกิดการแก้ไม่จบ .....

อาการนี้ส่วนใหญ่พบในรุ่นก่อน MC ครับ

ออฟไลน์ coolcarrera

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 518
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 16:01:16 »
ใช่เพราะกระบวนการ dpf regen โดยฉีดน้ำมันดีเซลไปเผาให้ dpf ร้อนเพื่อทำลายเขม่าหรือเปล่าครับ
แล้วพอมันฉีดไป แต่เผาไม่หมด น้ำมันดีเซลนั้นไปไหน ก็ไหลลงอ่างน้ำมันเครื่องไปปนกับน้ำมันเครื่อง (สังเกตก้านวัดมี min -- max --- และจุด x) ทำให้สภาพการหล่อลื่นและการปกป้องของน้ำมันเครื่องนั้นเสียไป
พอน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณสมบัติ ก็เลยพังแบบนั้นหรือเปล่า?

คำถามคือ ทำไมเป็นแบบนั้น แล้ว dpf ค่ายอื่น regen กันยังไง
E3, D15 Carb, 2E
F22B VTEC, J30A VTEC
1TR, 1NZ
D4CB
1GD, R18

ออฟไลน์ Tien.W

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,230
    • อีเมล์
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 16:12:19 »
ใช่เพราะกระบวนการ dpf regen โดยฉีดน้ำมันดีเซลไปเผาให้ dpf ร้อนเพื่อทำลายเขม่าหรือเปล่าครับ
แล้วพอมันฉีดไป แต่เผาไม่หมด น้ำมันดีเซลนั้นไปไหน ก็ไหลลงอ่างน้ำมันเครื่องไปปนกับน้ำมันเครื่อง (สังเกตก้านวัดมี min -- max --- และจุด x) ทำให้สภาพการหล่อลื่นและการปกป้องของน้ำมันเครื่องนั้นเสียไป
พอน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณสมบัติ ก็เลยพังแบบนั้นหรือเปล่า?

คำถามคือ ทำไมเป็นแบบนั้น แล้ว dpf ค่ายอื่น regen กันยังไง

เท่าที่มีข้อมูล สาเหตุมาจากเรื่องนี้นะครับ

ไล่กลับไปว่า มาสด้า ไม่แจ้งลูกค้าว่า ต้อง burn ยังไง ต้องขับเร็วบ้าง หรือยังไง ปัญหาที่ตามมาคือ รถกำลัง burn แต่ลูกค้า ดับเครื่องซะงั้น น้ำมันเชื้อเพลิงก็ไหลลงอ่าง น้ำมันเครื่องหมดสภาพ น้ำมันเครื่องเกิน ลูกค้าก็ไม่รู้อีก รอครบหมื่นกม.ไปเช็ค ก็สึกหรอไปเยอะแล้วครับ

ไม่รวมว่า ใช้งานนานๆ ลูกค้าวิ่งแต่ในเมือง ขับช้า ระบบไม่ burn ความร้อนสะสมสูง ส่งผลย้อนกลับมาที่เครื่องอีกครับ

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 16:22:56 »
ใช่เพราะกระบวนการ dpf regen โดยฉีดน้ำมันดีเซลไปเผาให้ dpf ร้อนเพื่อทำลายเขม่าหรือเปล่าครับ
แล้วพอมันฉีดไป แต่เผาไม่หมด น้ำมันดีเซลนั้นไปไหน ก็ไหลลงอ่างน้ำมันเครื่องไปปนกับน้ำมันเครื่อง (สังเกตก้านวัดมี min -- max --- และจุด x) ทำให้สภาพการหล่อลื่นและการปกป้องของน้ำมันเครื่องนั้นเสียไป
พอน้ำมันเครื่องเสื่อมคุณสมบัติ ก็เลยพังแบบนั้นหรือเปล่า?

คำถามคือ ทำไมเป็นแบบนั้น แล้ว dpf ค่ายอื่น regen กันยังไง

เท่าที่มีข้อมูล สาเหตุมาจากเรื่องนี้นะครับ

ไล่กลับไปว่า มาสด้า ไม่แจ้งลูกค้าว่า ต้อง burn ยังไง ต้องขับเร็วบ้าง หรือยังไง ปัญหาที่ตามมาคือ รถกำลัง burn แต่ลูกค้า ดับเครื่องซะงั้น น้ำมันเชื้อเพลิงก็ไหลลงอ่าง น้ำมันเครื่องหมดสภาพ น้ำมันเครื่องเกิน ลูกค้าก็ไม่รู้อีก รอครบหมื่นกม.ไปเช็ค ก็สึกหรอไปเยอะแล้วครับ

ไม่รวมว่า ใช้งานนานๆ ลูกค้าวิ่งแต่ในเมือง ขับช้า ระบบไม่ burn ความร้อนสะสมสูง ส่งผลย้อนกลับมาที่เครื่องอีกครับ

ตามนั้นครับ ในคู่มือก็มีบอกว่าถ้าระดับน้ำมันสูงขึ้นถึงตัว x ก็ให้นำไปเปลี่ยนถ่าย แต่อาจจะไม่ได้เช็คกันนะ

เรื่อง regen DPF มันเป็นแบบนี้หมดแหละครับ



http://eurofitautocentres.co.uk/diagnostics/dpf-regeneration/

ส่วนเรื่องที่ฟ้องร้องกันก็เกี่ยวกับเรื่องน้ำมันเครืองนี่แหละครับ

https://www.matichon.co.th/news/794765

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 16:24:53 »
เคยตอบไว้ทีแล้ว


ส่วนตัว ผมคิดว่าปัจจัยที่เกิด มันไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยเดียวหรอกครับ
คน กทม. เจอรถติด เขม่าตัน .... ก็เจอ ทั้งๆที่เติมพรีเมียม
คน ตจว. หาน้ำมันดีๆเติมไม่ได้ เติมพวก euro ต่ำประจำ ถึงจะวิ่งยาว ก็มีปัญหา
บางคน ไปเชื่อพวกกล่องคันเร่ง(ตอนแรกๆในคลับ เห็นเยอะนะ) รถมันจ่ายน้ำมันผิดจากที่คิด ก็มีปัญหา(บางคันตีเนียนนะ เราจำได้)
บางคน สตาร์ทแล้วก็ออก ไม่รออุ่นเครื่อง 2 เป็นรถที่อุ่นเครื่องนานกว่าเก๋งเบนซิน(นานกว่า jazz ที่ผมใช้มากกก) บางคนรีบ เครื่องเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ก่อนใช้บ่อยๆ ก็เยอะ
บางคน ไปอัด ... ก็เหมือนกระบะปลาหมึกละครับ แต่กระบะมันปล่อยออกมา มาสด้าอยู่ข้างใน .... ถ้าไม่ปรับพฤติกรรม รถคันนี้ก็ไม่เหมาะ
น้ำมัน ส่วนนึง การใช้งานส่วนนึง สภาพอากาศ การจราจรส่วนนึง ... ที่ทำให้ mazda 2  อาจจะไม่เหมาะกับใครหลายๆคนครับ
เมื่อหลายอย่างมารวมกัน มันก็เกิดขึ้นนั่นละ...รถมันเรื่องเยอะ รถมันอินดี้ครับ .... ถ้ารับได้ก็รับ(แบบผม555)
ถ้าเอาสบายใจ ไปจ่ายเงินกับค่ายอื่นเถอะครับ

เห็นด้วยครับ มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว เพราะหลายอย่างทำให้เกิดเขม่าได้

อีกอันนึง
อย่าไปรวมปัญหา CX5 กับ 2 นะครับ ถึงจะดีเซลเหมือนกัน
รู้สึกว่าคนละแบบ CX5 เหมือนจะอีกแบบ(ผมไม่ได้ตามคลับ cx5) ส่วน 2 ก็อีกแบบนะ
ถ้าแก้ปัญหา cx5 ได้ ก็ใช่ว่า 2 จบ ... กลับกันก็เช่นกันครับ
แต่แอบแปลกใจ cx5 ได้ยืดระยะประกันดูอาการต่อ แต่ 2 ออกแถลงการว่าปกติหนะ...

เท่าที่อ่านดูน่าจะเกี่ยวกับการ regen DPF แล้วน้ำมันดีเซลเข้าไปในอ่าง น้ำมันเครื่องหมดสภาพ ลูกเบี้ยวสึกเป็นรอย กระเดื่องสึก (มันมี VVL ด้วย) แกนเทอร์โบไป ไม่ใช่เกิดจากเขม่าโดยตรงแบบกรณีของ 2

 
กระทู้เรื่องนี้ผมว่าหลายคนมาช่วยแนะนำวิธีลดโอกาสการเกิดปัญหามาให้แล้วนะครับ แต่หลายคน (อีกเช่นกัน) ที่พยายามจะเลี่ยงโดยโทษแต่ตัวเครื่องยนต์

เครื่องยนต์เขาพยายามพัฒนาไปในทางของ Euro 5,6 คงเพื่อจะขายในยุโรปได้ด้วย ไม่ต้องออกแบบแยกแต่ละโซนประเทศ ทีนี้น้ำมันบ้านเราก็มีทั้งดีและห่วย แม้จะบอกว่าตัวเอง Euro 3-4 เหมือนชาวบ้านเขา แต่ความสะอาดมันไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น ประกอบกับ Mazda 2 คนใช้ในเมืองกันเยอะ รถติดมากก็งานเข้าเพิ่มอีก อันนี้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ

น้ำมันที่โดนปัญหากันน้อยสุดก็พวกแบรนด์ต่างประเทศ ส่วนแบรนด์ไทยเจ้านึงก็ดีมาก เติมดีเซลยุโรปยังไม่มีปัญหาเลย (รถที่มีระบบเผาเขม่า DPF เติมดีเซล vs พรีเมี่ยมใหม่ Euro 5 นี่รู้สึกได้ด้วยตัวเองเลย) ในขณะที่ไทยอีกแบรนด์ (ซึ่งก็น่าจะรู้กันอยู่) มีแต่ค่ายรถส่ายหน้า ทีนี้ก็เลือกเติมกันสิครับ

ผมไม่ค้านหรอก การซื้อรถราคาราวๆ นี้แล้วต้องเน้นเติมดีเซล Premium คนไทยคงรับไม่ได้ Mazda TH เองก็คงต้องประกาศอะไรสักอย่างให้ชัดเจนกว่านี้ แทนที่จะหวังแต่ยอดขายแล้วผลักความเดือดร้อนไปลงเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการรับลูกค้าด่ากันไป



เห็นด้วยครับ รถยุโรปเป็นกันเยอะครับ SA เค้ามัักบอกให้ลูกค้าเติมดีเซลพรีเมี่ยมกันครับ

ไม่ต้องเอาอะไรมากครับ ในบอร์ดนี้ยังเคยมีเลยครับ

ขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทหลายวันเลยครับ พอดีติดธุระด่วนไม่ได้เปิดคอมเลยครับ

รายละเอียดหลังจากที่ได้เข้าไปคุยกับผู้จัดการศูนย์หัวหมากและคุณ Thomas ตำแหน่ง Automotive Director ของ Volvo

ทาง คุณ Thomas ได้อธิบายขั้นตอนการทำงานของเครื่องดีเซลของ Volvo ให้ผมฟังทั้งระบบ รวมถึงตัวกรองอนุภาคที่อยู่บริเวณท่อไอเสีย (The Diesel Particulate Filter- DPF)

และได้ยกเคสตัวอย่างของรถรุ่นนี้ที่ ประเทศเพื่อนบ้านเรา โดยรถมีอาการควันขาวเหมือนกันกับผม ทางคุณ Thomas ได้เช็คน้ำมันที่เติม พบว่ามีค่ากำมะถันสูงกว่าปกติ

และน้ำมันที่ ประเทศเพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะแถวชายแดน มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่รถ Volvo ระบุให้ใช้ ส่งผลให้ตัวกรองอนุภาคอากาศ (DPF) ตรวจจับสิ่งปนเปื้อนในน้ำมันได้มากกว่าน้ำมันโดยปกติทั่วไป

เมื่อ ตัว DPF กักเก็บสิ่งปนเปื้อนจนถึงปริมาณที่กำหนด ส่งผลให้แรงดันระหว่างทางเข้าและทางออกใน DPF ต่างกัน เซนเซอร์ก็สั่งการให้มีการฉีดน้ำมันเข้าไปเพื่อเผาไหม้พวกตะกอนหรือสิ่งปน เปื้อนในตัวกรองอนุภาคนี้จนกระทั่งหมด ส่งผลให้เกิดควันสีขาวออกมาอย่างที่ผมเห็น แต่ถ้าน้ำมันมีคุณภาพตามที่ Volvo ระบุให้ใช้ได้ ควันขาวจะน้อยมากหรืออาจแทบมองไม่เห็น

ซึ่ง ทางคุณThomasได้อธิบายเพิ่มว่า เมื่อไหร่กระบวนการเผาไหม้ใน DPF ถึงจะเิกิด โดยปกติแล้วจะเกิดทุกๆ 900 km. ซึ่งระยะอาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่ที่ลักษณะการขับขี่และระยะเวลาที่ใช้รถในแต่ละครั้ง

เช่น คนที่ใช้รถในเมือง ที่มีสภาพจราจรหนาแน่นอย่างเดียวอาจจะเกิดกระบวนการเผาไหม้ได้เร็วกว่า ซึ่งกระบวนการเผาไหม้นี้แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 7 นาที ที่ความเร็วมากกว่า 90 กิโลเมตรขึ้นไป โดยขณะที่เกิดกระบวนการเผาไหม้นี้ จะไม่มีข้อความหรือสัญลักษณ์เตือนใดๆที่จะบอกให้ผู้ขับขี่ทราบเลยว่ากระบวน การเผาไหม้ใน DPF ได้ทำงานแล้ว ยกเว้นบางคน ที่อาจจะรู้สึกถึงกำลังเครื่องยนต์ที่อาจจะดร็อปลงบ้างเล็กน้อย

เฉพาะ รถที่ส่วนใหญ่ใช้งานในเมืองหรือสภาพการจราจลติดขัด ใช้ความเร็วไม่มาก (ซึ่งคุณThomas ยกตัวอย่างว่า บริเวณสุขุมวิท) จะทำให้กระบวนการเผาไหม้ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อตัว DPF เต็ม จะมีข้อความเตือนว่าตัวFilterเต็ม ให้ดูในคู่มือการใช้รถ ขึ้นโชว์ที่หน้าจอข้อความบนหน้าปัท

พอเปิดดูในคู่มือคำแนะนำ เมื่อมีข้อความขึ้นเตือนว่าFilterเต็ม การแก้ไขคือให้ขับรถบนไฮเวย์ที่ความเร็วมากกว่า 90 km/h เพื่อเริ่มกระบวนการเผาไหม้ใน DPF คู่มือบอกอย่างนี้จริงๆครับ

นี่คือสิ่งที่คุณ Thomas อธิบายให้ผมฟัง....

ส่วนรถของผมอาการเกิดขึ้นตอนใช้งานไปประมาณ 700 กว่ากิโล จึงเกิดอาการควันขาวขึ้น ซึ่งทางคุณ Thomas ก็ให้เหตุผลว่าน้ำมันที่ผมได้เติมไปนั้นน่าจะไม่ได้ตามมาตรฐานของปั้มอย่าง ที่ควรจะเป็น ซึ่งเหตุผลก็อย่างที่ได้กล่าวไป

แต่เพื่อความมั่นใจ คุณThomasได้ดูดน้ำมันจากรถของผมไปจำนวน 5 ลิตร เพื่อส่งไปตรวจที่แล็ปของ Volvo ที่สวีเดน ซึ่งคุณThomasบอกว่า ที่สวีเดนนั้นมีแล็ปเฉพาะที่เอาไว้ตรวจน้ำมันจากทุกประเทศที่มีรถ Volvo จำหน่าย ซึ่งกว่าจะทราบผลก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครับ ซึ่งผลตรวจนี้จะถูกส่งไปยังปตท.ด้วยครับ

ทั้งทางคุณThomas และผู้จัดการศูนย์ ได้ให้ความมั่นใจกับผมว่า อาการที่เกิดจากรถของผมเป็นอาการปกติของรถดีเซลคอมมอลเรลที่สามารถผ่าน มาตรฐานไอเสียขั้นสูง เพื่อลดปริมาณไอเสียที่จะปล่อยออกมาจากท่อไอเสียซึ่งไม่ใช่ Volvo ยี่ห้อเดียวที่มีตัวกรองไอเสียนี้ รถดีเซลยุโรปเกือบทั้งหมดก็มีFilterแบบนี้อยู่ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามการออกแบบของรถแต่ละยี่ห้อ

และยังให้ความมั่น ใจกับผมว่า อาการควันขาวและกลิ่นเห็นมไหม้เหล่านี้จะหมดไป ถ้าผมใช้น้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งในที่นี้ทางคุณThomasได้แนะนำให้ผมลองใช้ Shell ครับ

ทางVolvo สรุปว่า อาการควันขาวและกลิ่นไหม้ที่ผมเจอนั้น น่าจะเกิดจากการที่ผมเติมน้ำมันที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน และทางVolvoสวีเดนและ Volvoประเทศไทย ได้รับทราบปัญหาที่เกิดกับรถของผมแล้ว และให้ความมั่นใจว่าผมสามารถใช้งานรถได้ตามปกติและปลอดภัย

ก่อนจบ การพูดคุยผมได้ขอให้ทาง Volvo ออกเอกสารรับรองปัญหาที่เกิดกับรถผม ว่าจะไม่เกิดอันตราย ถ้าผมนำรถไปใช้ ซึ่งทางคุณผู้จัดการก็รับปากว่าจะออกเอกสารให้ครับ

และช่วงเย็นที่ ผ่านมา หลังจากที่ได้โทรศัพท์คุยกับผู้จัดการศูนย์ ว่าผมจะไปรับรถมาลองใช้ในวันพรุ่งนี้ ทางผู้จัดการยังให้ความมั่นใจว่า ถ้าเปลี่ยนน้ำมันที่เติมอาการเหล่านี้จะหายไป แต่ถ้ายังมีอาการเกิดขึ้นอีก ให้นำรถมาจอดทิ้งไว้ที่ศูนย์ได้เลย

พร้อมกันนี้ Volvo ได้เติมน้ำมัน Shell Power Diesel ให้ผมเต็มถัง เพื่อให้ลองนำไปใช้งานเพื่อให้เห็นว่าจะไม่เกิดปัญหาควันขาวและกลิ่นไหม้อีก อันนี้ขอขอบคุณทาง Volvo มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ในระหว่างนี้ทางผมก็ จะลองใช้งานรถในสภาพการใช้งานปกติและจะเติมเฉพาะน้ำมันตามที่คุณ Thomas ได้แนะนำมา ซึ่งผมจะทำการเก็บใบเสร็จการเติมน้ำมัน พร้อมทั้งถ่ายรูปไมล์รถที่ใช้งานคู่กัน ไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง พร้อมทั้งตรียมกล้องวิดีโอติดไว้บนรถตลอดเวลา

ถ้าในกรณีที่เกิดปัญหา เหมือนเดิมอีก ก็จะได้มีวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน จนกว่าจะได้รับแจ้งเรื่องผลตรวจสอบคุณภาพน้ำมันจากแล็ปVolvoที่สวีเดน อีกไม่เกิน 2 เดือนคงได้ทราบกันว่า ปัญหาที่แท้จริงนั้นเกิดจากอะไรครับ

ผมจะขออนุญาตรายงานการใช้งานเป็นระยะ และทุกครั้งที่มีการเติมน้ำมันครับ
2 เดือนต่อจากนี้ไปคงต้องวิ่งหาแต่Shellละครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยแนะนำ ให้กำลังใจ และติดตามปัญหามาโดยตลอดนะครับ

และ สุดท้ายขอขอบคุณทาง Volvo Thailand, ผู้จัดการศูนย์ Volvo หัวหมาก, คุณ Thomas และเจ้าหน้าที่Volvoทุกท่าน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นความสำคัญและใส่ใจปัญหาของลูกค้า และเห็นว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 17:41:30 »
เคยตอบไว้ทีแล้ว


ส่วนตัว ผมคิดว่าปัจจัยที่เกิด มันไม่ได้เกิดมาจากปัจจัยเดียวหรอกครับ
คน กทม. เจอรถติด เขม่าตัน .... ก็เจอ ทั้งๆที่เติมพรีเมียม
คน ตจว. หาน้ำมันดีๆเติมไม่ได้ เติมพวก euro ต่ำประจำ ถึงจะวิ่งยาว ก็มีปัญหา
บางคน ไปเชื่อพวกกล่องคันเร่ง(ตอนแรกๆในคลับ เห็นเยอะนะ) รถมันจ่ายน้ำมันผิดจากที่คิด ก็มีปัญหา(บางคันตีเนียนนะ เราจำได้)
บางคน สตาร์ทแล้วก็ออก ไม่รออุ่นเครื่อง 2 เป็นรถที่อุ่นเครื่องนานกว่าเก๋งเบนซิน(นานกว่า jazz ที่ผมใช้มากกก) บางคนรีบ เครื่องเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ก่อนใช้บ่อยๆ ก็เยอะ
บางคน ไปอัด ... ก็เหมือนกระบะปลาหมึกละครับ แต่กระบะมันปล่อยออกมา มาสด้าอยู่ข้างใน .... ถ้าไม่ปรับพฤติกรรม รถคันนี้ก็ไม่เหมาะ
น้ำมัน ส่วนนึง การใช้งานส่วนนึง สภาพอากาศ การจราจรส่วนนึง ... ที่ทำให้ mazda 2  อาจจะไม่เหมาะกับใครหลายๆคนครับ
เมื่อหลายอย่างมารวมกัน มันก็เกิดขึ้นนั่นละ...รถมันเรื่องเยอะ รถมันอินดี้ครับ .... ถ้ารับได้ก็รับ(แบบผม555)
ถ้าเอาสบายใจ ไปจ่ายเงินกับค่ายอื่นเถอะครับ

เห็นด้วยครับ มันไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว เพราะหลายอย่างทำให้เกิดเขม่าได้

อีกอันนึง
อย่าไปรวมปัญหา CX5 กับ 2 นะครับ ถึงจะดีเซลเหมือนกัน
รู้สึกว่าคนละแบบ CX5 เหมือนจะอีกแบบ(ผมไม่ได้ตามคลับ cx5) ส่วน 2 ก็อีกแบบนะ
ถ้าแก้ปัญหา cx5 ได้ ก็ใช่ว่า 2 จบ ... กลับกันก็เช่นกันครับ
แต่แอบแปลกใจ cx5 ได้ยืดระยะประกันดูอาการต่อ แต่ 2 ออกแถลงการว่าปกติหนะ...

เท่าที่อ่านดูน่าจะเกี่ยวกับการ regen DPF แล้วน้ำมันดีเซลเข้าไปในอ่าง น้ำมันเครื่องหมดสภาพ ลูกเบี้ยวสึกเป็นรอย กระเดื่องสึก (มันมี VVL ด้วย) แกนเทอร์โบไป ไม่ใช่เกิดจากเขม่าโดยตรงแบบกรณีของ 2

 
กระทู้เรื่องนี้ผมว่าหลายคนมาช่วยแนะนำวิธีลดโอกาสการเกิดปัญหามาให้แล้วนะครับ แต่หลายคน (อีกเช่นกัน) ที่พยายามจะเลี่ยงโดยโทษแต่ตัวเครื่องยนต์

เครื่องยนต์เขาพยายามพัฒนาไปในทางของ Euro 5,6 คงเพื่อจะขายในยุโรปได้ด้วย ไม่ต้องออกแบบแยกแต่ละโซนประเทศ ทีนี้น้ำมันบ้านเราก็มีทั้งดีและห่วย แม้จะบอกว่าตัวเอง Euro 3-4 เหมือนชาวบ้านเขา แต่ความสะอาดมันไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น ประกอบกับ Mazda 2 คนใช้ในเมืองกันเยอะ รถติดมากก็งานเข้าเพิ่มอีก อันนี้เลี่ยงไม่ได้จริงๆ

น้ำมันที่โดนปัญหากันน้อยสุดก็พวกแบรนด์ต่างประเทศ ส่วนแบรนด์ไทยเจ้านึงก็ดีมาก เติมดีเซลยุโรปยังไม่มีปัญหาเลย (รถที่มีระบบเผาเขม่า DPF เติมดีเซล vs พรีเมี่ยมใหม่ Euro 5 นี่รู้สึกได้ด้วยตัวเองเลย) ในขณะที่ไทยอีกแบรนด์ (ซึ่งก็น่าจะรู้กันอยู่) มีแต่ค่ายรถส่ายหน้า ทีนี้ก็เลือกเติมกันสิครับ

ผมไม่ค้านหรอก การซื้อรถราคาราวๆ นี้แล้วต้องเน้นเติมดีเซล Premium คนไทยคงรับไม่ได้ Mazda TH เองก็คงต้องประกาศอะไรสักอย่างให้ชัดเจนกว่านี้ แทนที่จะหวังแต่ยอดขายแล้วผลักความเดือดร้อนไปลงเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการรับลูกค้าด่ากันไป



เห็นด้วยครับ รถยุโรปเป็นกันเยอะครับ SA เค้ามัักบอกให้ลูกค้าเติมดีเซลพรีเมี่ยมกันครับ

ไม่ต้องเอาอะไรมากครับ ในบอร์ดนี้ยังเคยมีเลยครับ

ขออภัยที่ไม่ได้อัพเดทหลายวันเลยครับ พอดีติดธุระด่วนไม่ได้เปิดคอมเลยครับ

รายละเอียดหลังจากที่ได้เข้าไปคุยกับผู้จัดการศูนย์หัวหมากและคุณ Thomas ตำแหน่ง Automotive Director ของ Volvo

ทาง คุณ Thomas ได้อธิบายขั้นตอนการทำงานของเครื่องดีเซลของ Volvo ให้ผมฟังทั้งระบบ รวมถึงตัวกรองอนุภาคที่อยู่บริเวณท่อไอเสีย (The Diesel Particulate Filter- DPF)

และได้ยกเคสตัวอย่างของรถรุ่นนี้ที่ ประเทศเพื่อนบ้านเรา โดยรถมีอาการควันขาวเหมือนกันกับผม ทางคุณ Thomas ได้เช็คน้ำมันที่เติม พบว่ามีค่ากำมะถันสูงกว่าปกติ

และน้ำมันที่ ประเทศเพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะแถวชายแดน มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่รถ Volvo ระบุให้ใช้ ส่งผลให้ตัวกรองอนุภาคอากาศ (DPF) ตรวจจับสิ่งปนเปื้อนในน้ำมันได้มากกว่าน้ำมันโดยปกติทั่วไป

เมื่อ ตัว DPF กักเก็บสิ่งปนเปื้อนจนถึงปริมาณที่กำหนด ส่งผลให้แรงดันระหว่างทางเข้าและทางออกใน DPF ต่างกัน เซนเซอร์ก็สั่งการให้มีการฉีดน้ำมันเข้าไปเพื่อเผาไหม้พวกตะกอนหรือสิ่งปน เปื้อนในตัวกรองอนุภาคนี้จนกระทั่งหมด ส่งผลให้เกิดควันสีขาวออกมาอย่างที่ผมเห็น แต่ถ้าน้ำมันมีคุณภาพตามที่ Volvo ระบุให้ใช้ได้ ควันขาวจะน้อยมากหรืออาจแทบมองไม่เห็น

ซึ่ง ทางคุณThomasได้อธิบายเพิ่มว่า เมื่อไหร่กระบวนการเผาไหม้ใน DPF ถึงจะเิกิด โดยปกติแล้วจะเกิดทุกๆ 900 km. ซึ่งระยะอาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่ที่ลักษณะการขับขี่และระยะเวลาที่ใช้รถในแต่ละครั้ง

เช่น คนที่ใช้รถในเมือง ที่มีสภาพจราจรหนาแน่นอย่างเดียวอาจจะเกิดกระบวนการเผาไหม้ได้เร็วกว่า ซึ่งกระบวนการเผาไหม้นี้แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 7 นาที ที่ความเร็วมากกว่า 90 กิโลเมตรขึ้นไป โดยขณะที่เกิดกระบวนการเผาไหม้นี้ จะไม่มีข้อความหรือสัญลักษณ์เตือนใดๆที่จะบอกให้ผู้ขับขี่ทราบเลยว่ากระบวน การเผาไหม้ใน DPF ได้ทำงานแล้ว ยกเว้นบางคน ที่อาจจะรู้สึกถึงกำลังเครื่องยนต์ที่อาจจะดร็อปลงบ้างเล็กน้อย

เฉพาะ รถที่ส่วนใหญ่ใช้งานในเมืองหรือสภาพการจราจลติดขัด ใช้ความเร็วไม่มาก (ซึ่งคุณThomas ยกตัวอย่างว่า บริเวณสุขุมวิท) จะทำให้กระบวนการเผาไหม้ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อตัว DPF เต็ม จะมีข้อความเตือนว่าตัวFilterเต็ม ให้ดูในคู่มือการใช้รถ ขึ้นโชว์ที่หน้าจอข้อความบนหน้าปัท

พอเปิดดูในคู่มือคำแนะนำ เมื่อมีข้อความขึ้นเตือนว่าFilterเต็ม การแก้ไขคือให้ขับรถบนไฮเวย์ที่ความเร็วมากกว่า 90 km/h เพื่อเริ่มกระบวนการเผาไหม้ใน DPF คู่มือบอกอย่างนี้จริงๆครับ

นี่คือสิ่งที่คุณ Thomas อธิบายให้ผมฟัง....

ส่วนรถของผมอาการเกิดขึ้นตอนใช้งานไปประมาณ 700 กว่ากิโล จึงเกิดอาการควันขาวขึ้น ซึ่งทางคุณ Thomas ก็ให้เหตุผลว่าน้ำมันที่ผมได้เติมไปนั้นน่าจะไม่ได้ตามมาตรฐานของปั้มอย่าง ที่ควรจะเป็น ซึ่งเหตุผลก็อย่างที่ได้กล่าวไป

แต่เพื่อความมั่นใจ คุณThomasได้ดูดน้ำมันจากรถของผมไปจำนวน 5 ลิตร เพื่อส่งไปตรวจที่แล็ปของ Volvo ที่สวีเดน ซึ่งคุณThomasบอกว่า ที่สวีเดนนั้นมีแล็ปเฉพาะที่เอาไว้ตรวจน้ำมันจากทุกประเทศที่มีรถ Volvo จำหน่าย ซึ่งกว่าจะทราบผลก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครับ ซึ่งผลตรวจนี้จะถูกส่งไปยังปตท.ด้วยครับ

ทั้งทางคุณThomas และผู้จัดการศูนย์ ได้ให้ความมั่นใจกับผมว่า อาการที่เกิดจากรถของผมเป็นอาการปกติของรถดีเซลคอมมอลเรลที่สามารถผ่าน มาตรฐานไอเสียขั้นสูง เพื่อลดปริมาณไอเสียที่จะปล่อยออกมาจากท่อไอเสียซึ่งไม่ใช่ Volvo ยี่ห้อเดียวที่มีตัวกรองไอเสียนี้ รถดีเซลยุโรปเกือบทั้งหมดก็มีFilterแบบนี้อยู่ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามการออกแบบของรถแต่ละยี่ห้อ

และยังให้ความมั่น ใจกับผมว่า อาการควันขาวและกลิ่นเห็นมไหม้เหล่านี้จะหมดไป ถ้าผมใช้น้ำมันที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น ซึ่งในที่นี้ทางคุณThomasได้แนะนำให้ผมลองใช้ Shell ครับ

ทางVolvo สรุปว่า อาการควันขาวและกลิ่นไหม้ที่ผมเจอนั้น น่าจะเกิดจากการที่ผมเติมน้ำมันที่คุณภาพไม่ได้มาตรฐาน และทางVolvoสวีเดนและ Volvoประเทศไทย ได้รับทราบปัญหาที่เกิดกับรถของผมแล้ว และให้ความมั่นใจว่าผมสามารถใช้งานรถได้ตามปกติและปลอดภัย

ก่อนจบ การพูดคุยผมได้ขอให้ทาง Volvo ออกเอกสารรับรองปัญหาที่เกิดกับรถผม ว่าจะไม่เกิดอันตราย ถ้าผมนำรถไปใช้ ซึ่งทางคุณผู้จัดการก็รับปากว่าจะออกเอกสารให้ครับ

และช่วงเย็นที่ ผ่านมา หลังจากที่ได้โทรศัพท์คุยกับผู้จัดการศูนย์ ว่าผมจะไปรับรถมาลองใช้ในวันพรุ่งนี้ ทางผู้จัดการยังให้ความมั่นใจว่า ถ้าเปลี่ยนน้ำมันที่เติมอาการเหล่านี้จะหายไป แต่ถ้ายังมีอาการเกิดขึ้นอีก ให้นำรถมาจอดทิ้งไว้ที่ศูนย์ได้เลย

พร้อมกันนี้ Volvo ได้เติมน้ำมัน Shell Power Diesel ให้ผมเต็มถัง เพื่อให้ลองนำไปใช้งานเพื่อให้เห็นว่าจะไม่เกิดปัญหาควันขาวและกลิ่นไหม้อีก อันนี้ขอขอบคุณทาง Volvo มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ในระหว่างนี้ทางผมก็ จะลองใช้งานรถในสภาพการใช้งานปกติและจะเติมเฉพาะน้ำมันตามที่คุณ Thomas ได้แนะนำมา ซึ่งผมจะทำการเก็บใบเสร็จการเติมน้ำมัน พร้อมทั้งถ่ายรูปไมล์รถที่ใช้งานคู่กัน ไว้เป็นหลักฐานทุกครั้ง พร้อมทั้งตรียมกล้องวิดีโอติดไว้บนรถตลอดเวลา

ถ้าในกรณีที่เกิดปัญหา เหมือนเดิมอีก ก็จะได้มีวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน จนกว่าจะได้รับแจ้งเรื่องผลตรวจสอบคุณภาพน้ำมันจากแล็ปVolvoที่สวีเดน อีกไม่เกิน 2 เดือนคงได้ทราบกันว่า ปัญหาที่แท้จริงนั้นเกิดจากอะไรครับ

ผมจะขออนุญาตรายงานการใช้งานเป็นระยะ และทุกครั้งที่มีการเติมน้ำมันครับ
2 เดือนต่อจากนี้ไปคงต้องวิ่งหาแต่Shellละครับ

ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยแนะนำ ให้กำลังใจ และติดตามปัญหามาโดยตลอดนะครับ

และ สุดท้ายขอขอบคุณทาง Volvo Thailand, ผู้จัดการศูนย์ Volvo หัวหมาก, คุณ Thomas และเจ้าหน้าที่Volvoทุกท่าน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นความสำคัญและใส่ใจปัญหาของลูกค้า และเห็นว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอบคุณครับ

งั้น ถ้า สรุปตามนี้ มาสด้า ทำโปรแกรมให้เหมือน วอลโว่ คือ ถ้าเม่าเต็ม ระบบจะเตือน ให้เรารีบไปอัด90 เป้นเวลา 7 นาทีขึ้นไป
ก็จะแก้ปัญหาได้ ใช่ไหมครับ
บวกกับ เติมน้ำมัน คุณภาพ
คือ หมายถึง ตัวไฮดีเซล อย่างเดียว ใช่ไหมครับ

ออฟไลน์ akewizard

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,618
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 18:19:56 »
ผมตอบไม่ตรงคำถาม

ถ้ารถเก่าๆ น้ำดันคือ แรงอัดจากลูกสูบ รั่วพ่นเข้ามาในระบบน้ำ

ส่วนมากรั่วทางปะเก็นฝาสูบ

บางทีอาจจะฝาสูบร้าว แตก

บางทีเสื้อสูบผุ รั่ว

สรุปว่า ถ้าลมจากระบบจุดระเบิด รั่วมาถึงระบบไหลเวียนน้ำ  ลมนั้นจะดันไปที่หม้อน้ำ พ่นใส่ถังพัก  และไม่ดูดกลับ

ทำให้ระบบน้ำหาย ลดลง ต้องคอยเติม

รถเก่าๆส่วนมาก ถ้าฝาโก่ง ไสฝาสูบเสริมปะเก็นให้หนาทดแทนเดิมเพื่อรักษากำลังอัดครับ

รถใหม่ๆน่าจะบกพร่องชิ้นส่วนละ เพราะตัดเรื่องสนิมไปได้เลย
หรืออาจจะการออกแบบ น็อตเล็กเกินไป รั้งฝาสูบไม่อยู่ ฝาสูบบางไป แรงอัดสูงไป ปะเก็นฝาสูบด้อยคุณภาพ  เป็นได้หลายอย่างครับ

ผมไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ แต่จากที่คุณ johnlee ว่ามา ผมเดาว่าปัญหาน้ำดันของ CX-5 ดีเซลน่าจะเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆทั่วไป คือฝาสูบรั่วแล้วแรงอัดอากาศเข้าไปดันในระบบน้ำ
เคยได้ยินว่าเครื่อง CX-5 ใช้กำลังอัดสูงกว่ารถดีเซลยี่ห้ออื่นๆ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝาสูบไม่ค่อยทนด้วยรึเปล่าครับ

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,681
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 18:27:52 »
ผมตอบไม่ตรงคำถาม

ถ้ารถเก่าๆ น้ำดันคือ แรงอัดจากลูกสูบ รั่วพ่นเข้ามาในระบบน้ำ

ส่วนมากรั่วทางปะเก็นฝาสูบ

บางทีอาจจะฝาสูบร้าว แตก

บางทีเสื้อสูบผุ รั่ว

สรุปว่า ถ้าลมจากระบบจุดระเบิด รั่วมาถึงระบบไหลเวียนน้ำ  ลมนั้นจะดันไปที่หม้อน้ำ พ่นใส่ถังพัก  และไม่ดูดกลับ

ทำให้ระบบน้ำหาย ลดลง ต้องคอยเติม

รถเก่าๆส่วนมาก ถ้าฝาโก่ง ไสฝาสูบเสริมปะเก็นให้หนาทดแทนเดิมเพื่อรักษากำลังอัดครับ

รถใหม่ๆน่าจะบกพร่องชิ้นส่วนละ เพราะตัดเรื่องสนิมไปได้เลย
หรืออาจจะการออกแบบ น็อตเล็กเกินไป รั้งฝาสูบไม่อยู่ ฝาสูบบางไป แรงอัดสูงไป ปะเก็นฝาสูบด้อยคุณภาพ  เป็นได้หลายอย่างครับ

ผมไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ แต่จากที่คุณ johnlee ว่ามา ผมเดาว่าปัญหาน้ำดันของ CX-5 ดีเซลน่าจะเหมือนกับรถรุ่นอื่นๆทั่วไป คือฝาสูบรั่วแล้วแรงอัดอากาศเข้าไปดันในระบบน้ำ
เคยได้ยินว่าเครื่อง CX-5 ใช้กำลังอัดสูงกว่ารถดีเซลยี่ห้ออื่นๆ อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฝาสูบไม่ค่อยทนด้วยรึเปล่าครับ

เครื่องเบนซิลมาสด้ากำลังอัดสูงกว่าเบนซิลด้วยกัน ดีเซลมาสด้ากำลังอัดต่ำกว่าดีเซลด้วยกันครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 18:40:14 »


งั้น ถ้า สรุปตามนี้ มาสด้า ทำโปรแกรมให้เหมือน วอลโว่ คือ ถ้าเม่าเต็ม ระบบจะเตือน ให้เรารีบไปอัด90 เป้นเวลา 7 นาทีขึ้นไป
ก็จะแก้ปัญหาได้ ใช่ไหมครับ
บวกกับ เติมน้ำมัน คุณภาพ
คือ หมายถึง ตัวไฮดีเซล อย่างเดียว ใช่ไหมครับ

จริงๆ มันมีอยู่ในคู่มืออยู่แล้วครับ แล้วมีไฟเตือน (สำหรับรุ่นแรก) และมี message เตือนด้วย

ควรเติมแต่น้ำมัน Euro 5 ครับ มันลดปัญหาไปได้ระดับนึง

และจริงๆ ควรสังเกตุระดับน้ำมันเครืองและการทำการ regen DPF ด้วยครับ (กรณี Mazda ไฟ i-stop จะดับไปเลย ไม่ใช่เปลี่ยนจากเขียวเป็นส้มนะครับ) ตอนมันทำการ regen อย่าดับเครื่องและถ้ามันทำบ่อยแสดงว่าน่าจะมีเขม่าเยอะ ซั่งการเกิดเขม่าเยอะเกิดได้จากลักษณะการใช้งาน ลักษณะการขับ และน้ำมันที่ใช้ครับ

เอาจริงๆ Mazda ไทย น่าจะทำแผ่นพับเน้นเรื่องนี้กับลูกค้าดีเซลนะครับ เห็นในเพจมั่วกันมากเรื่องน้ำมันเครื่องนี่แหละ เลยกลายเป็นช่องทางคนหากินจนเกืดเรื่องต้องฟ้องร้องกันไป คือการทำ regen เนี่ยยังไงน้ำมันดีเซลก็ลงอ่างครับ ไม่ว่าแบรนด์ไหน (ยิ่งลูกค้าไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว ดับตอนทำนี่ยิ่งเละเลย แบบที่ท่านข้างบนว่ามานั่นแหละ) ลูกค้าส่วนใหญ่คงไม่ได้อ่านคู่มือกัน (คนทั่วไปเห็นก็ไม่อยากอ่านกันแล้วนะ หนาแบบนั้น CX-5 ตัวใหม่นี่เกือบ 600 หน้า CX-8 ภาษาญ๊่ปุ่นนี่ผมไปหามาอ่านนี่ล่อไปกว่า 700 หน้า)

อันนี้เอากรณีนี้มาให้ดูว่า ในยุโรป ก็เจอปัญหากัน ทั้งที่มีแต่น้ำมัน sulfur ต่ำ (มันลดการเกิดเขม่าได้เยอะจริง แต่ไม่ได้จะไม่เกิดเลยนะครับ) คือถ้ามีลักษณะการใช้งานที่ทำให้เกิดเขม่าเยอะนี่ยังไงก็มีโอกาสครับ (ยกกรณี CR-V ดีเซลมานะครับ เครื่องตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ในบ้านเราตอนนี้เลย)

https://www.whatcar.com/news/honda-cr-v-diesel-particulate-filter-warning-light-problem/

http://www.crvownersclub.com/forums/74-diesel-cr-v/121977-2012-crv-recurring-dpf-problem-honda-not-helpful.html

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,999
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 19:12:43 »
อ่านแล้วเหมือนรถจะใช้ยากสำหรับคนทั่วไป บังคับนั่นนี่เกินไป สมมุติว่า รถให้ทำกระบวนการนั้น 7 นาที ความเร็วไม่น้อยกว่า 90 แต่ว่าขณะนั้นอยู่ในเมือง ขับได้ช้ารถติด หรือขับไปทำงาน ถึงที่ทำงาน ถึงรอบการกำจัดพอดี รถไม่ให้ดับเครื่ิอง ก็ต้องรอ สองกรณีนี้ก็จะสะสมปัญหา ถ้าไม่ทำใก้สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ  และเหตุผลเพื่อลดมลพิษ ก็ไม่เห็นจะทำได้จนทำให้ราคาจ่ายภาษีถูกๆ มันเหมือนไม่สุดสักด้าน และใช่ว่าเครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพดีสุด ผมมองมันยากไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ลองดูของเจ้าอื่นปัญหาแบบนี้ไม่มีหรือน้อยมากเขายังขายกันได้อยู่ แล้วทำไมต้องเลือกวิธีที่มันซับซ้อนจัง

ออฟไลน์ The Mechanics of Emotions

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,681
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 19:39:46 »
อ่านแล้วเหมือนรถจะใช้ยากสำหรับคนทั่วไป บังคับนั่นนี่เกินไป สมมุติว่า รถให้ทำกระบวนการนั้น 7 นาที ความเร็วไม่น้อยกว่า 90 แต่ว่าขณะนั้นอยู่ในเมือง ขับได้ช้ารถติด หรือขับไปทำงาน ถึงที่ทำงาน ถึงรอบการกำจัดพอดี รถไม่ให้ดับเครื่ิอง ก็ต้องรอ สองกรณีนี้ก็จะสะสมปัญหา ถ้าไม่ทำใก้สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ  และเหตุผลเพื่อลดมลพิษ ก็ไม่เห็นจะทำได้จนทำให้ราคาจ่ายภาษีถูกๆ มันเหมือนไม่สุดสักด้าน และใช่ว่าเครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพดีสุด ผมมองมันยากไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ลองดูของเจ้าอื่นปัญหาแบบนี้ไม่มีหรือน้อยมากเขายังขายกันได้อยู่ แล้วทำไมต้องเลือกวิธีที่มันซับซ้อนจัง

อันนี้ผมเห็นด้วยครับ รถควรจะเป็นสิ่งที่ทุกคนมองแล้วเข้าใจ ใช้งานได้ง่าย ยิ่งเรียบง่ายน้อยขั้นตอนยิ่งดี ถ้าไม่ทำตามขั้นตอนจะก่อให้เกิดความเสียหายซ่อมเป็นแสนยิ่งไม่ควรครับ เหมือนกรณีเข้า P->N ถ้ามีขั้นตอนแปลกประหลาด ผู้ใช้งง ทำไม่ถูกเสียหายต่อระบบอีก เรียบง่ายดีที่สุดครับ
2010 BMW 325i M Sport
2016 Mazda CX-5 2.0S

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 19:51:03 »
อ่านแล้วเหมือนรถจะใช้ยากสำหรับคนทั่วไป บังคับนั่นนี่เกินไป สมมุติว่า รถให้ทำกระบวนการนั้น 7 นาที ความเร็วไม่น้อยกว่า 90 แต่ว่าขณะนั้นอยู่ในเมือง ขับได้ช้ารถติด หรือขับไปทำงาน ถึงที่ทำงาน ถึงรอบการกำจัดพอดี รถไม่ให้ดับเครื่ิอง ก็ต้องรอ สองกรณีนี้ก็จะสะสมปัญหา ถ้าไม่ทำใก้สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ  และเหตุผลเพื่อลดมลพิษ ก็ไม่เห็นจะทำได้จนทำให้ราคาจ่ายภาษีถูกๆ มันเหมือนไม่สุดสักด้าน และใช่ว่าเครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพดีสุด ผมมองมันยากไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ลองดูของเจ้าอื่นปัญหาแบบนี้ไม่มีหรือน้อยมากเขายังขายกันได้อยู่ แล้วทำไมต้องเลือกวิธีที่มันซับซ้อนจัง

มาสด้าไม่ได้เขียนแบบนี้นะครับ

หน้า 314 ครับ อันนี้ของตัวใหม่ ตัวเก่าน่าจะใกล้เคียงกัน

https://www.mazda.co.th/assets/customer-cares/manual2017/cx5-content.pdf

ออฟไลน์ Barracuda

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,395
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 21:14:57 »
ไปๆมาเรื่องน้ำดัน กับ dpf มันเรื่องเดียวกันหรอครับ ถ้างั้น น้อง 2D กับ พี่ 5D ปัญหาเดียวกันหรอ

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 21:36:34 »
ไปๆมาเรื่องน้ำดัน กับ dpf มันเรื่องเดียวกันหรอครับ ถ้างั้น น้อง 2D กับ พี่ 5D ปัญหาเดียวกันหรอ

ไม่ใชปัญหาเดียวกันครับ 2 นี่มาจากเขม่าโดยตรง ส่วน cx-5 มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการทำการ regen DPF ครับ (ก็มาจากเขม่านั่นแหละครับ แต่ผลกระทบมันทางอ้อม)

ออฟไลน์ gorilla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,462
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 22:11:01 »
เอาแบบที่ผมพอจะสรุปได้ในหัวนะครับ หลังจากที่เคยอ่านมาพักใหญ่ๆ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนหรือไม่แม่นนะครับ ลองไปหาข้อมูลกันดู

DPF ทำหน้าที่อะไร?
>> DPF มีลักษณะคล้ายๆรังผึ้ง  ดักไอเสีย-เขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เพื่่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียขั้นสูง  เมื่อใช้งานไปพักนึง DPF จะมีเขม่าจับ

เกิดอะไรขึ้นเมื่อมีเขม่าจับ DPF ??
>> จะมีเซ็นเซอร์จับไอเสียก่อนเข้า และหลังออกจาก DPF เพื่อดูว่าสมควรที่จะถึงเวลาไล่เขม่ารึยัง  เมื่อถึงเวลาไล่เขม่า หัวฉีดจะทำการฉีดน้ำมันเพิ่มเข้าไปในช่องไอเสีย เพื่อให้การเผาไหม้เพิ่มขึ้นและอุณหภูมิถึง 570-600 องศาเซลเซียส เพื่อที่จะเผาเขม่าใน DPF  ถ้าไม่ฉีดน้ำมันเพิ่มอุณหภูมิที่รถวิ่งกันปกติน่าจะราว 300 องศาเท่านั้น ซึ่งไม่พอเพียงที่เผาเขม่าออกไปได้

จะรู้ได้อย่างไรเมื่อ DPF ทำงาน ??
>> ไฟ i-stop ดับลง
>> อัตราการกินน้ำมันเพิ่มขึ้น สังเกตได้จากหน้าจอ เช่น ปกติ 7L/100KM  เวลา DPF ทำงานรถจุกินน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 10-11L/KM โดยประมาณ
>> เครื่องจะเร่งไม่ขึ้น
>> ไอเสียมีกลิ่นเหม็นรุนแรง

DPF ทำงานบ่อยแค่ไหน ??
>> บางคนว่าทุกๆ 5-600 กิโลเมตร
>> บางท่านที่รถวิ่งมาเยอะแล้วก็ว่า 2-300 กิโลเมตร
>> ผมสรุปคร่าวๆ ก็อยู่ที่ลักษณะการใช้งานด้วย วิ่งในเมืองก็อาจจะทำงานบ่อยกว่า หรือรถที่ใช้มาเยอะแล้ว DPF ก็น่าจะทำงานถี่ขึ้นตามอายุการใช้งาน

เผาเขม่าใช่เวลาแค่ไหน ??
>> เท่าที่พอจะจำได้น่าจะประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพของ DPF และความเร็วที่ใช้ขณะนั้น
>> การเผา DPF ไม่ควรขับเร็วเกินไป  ผมก็จำไม่ได้ว่าต้องรอบเครื่องประมาณไหน ความเร็วประมาณเท่าไหร่ ลองหาดูคำแนะนำในอินเตอร์เนตหรือยูทูบครับ

ปัญหามันเกี่ยวอะไรกับ DPF กันละ ??
>> เมื่อระบบเริ่มฉีดน้ำมันเพิ่มเพื่อเผาเขม่าใน DPF  ก็จะมีน้ำมันจำนวนหนึ่งไหลลงไปปะปนกับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสียคุณสมบัติ ไม่สามารถปกป้องอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ได้อย่างที่ควรจะเป็น
>> ถ้า DPF ทำงานอยู่แล้วดับเครื่อง ก็จะยิ่งเร่งให้น้ำมันลงไปปะปนกับน้ำมันเครื่องมากขึ้น

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหา DPF
>> คนขับจะไม่รู้เลยว่ามันจะเผาเขม่าตอนไหน  แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าระดับเขม่าใน DPF อยู่ประมาณเท่าไหร่
>> บางคนจะถึงบ้านแล้วระบบเพิ่งจะมาเผาเขม่า แล้วคุณจะถึงบ้านแล้วหรืออยู่ในซอยบ้านแล้วจะให้ออกไปขับรถเผาเขม่ามันก็ดูจะงี่เง่าเกินไป

แล้วดีเซลมันจะน้ำดันทุกคันมั้ย ??
>> ระยะเวลาที่เกิดน้ำดันก็จะอยู่ระหว่างประมาณ 70000-120000 กิโลเมตร  ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการบำรุงรักษา
>> จากเท่าที่อ่านคุณต้องดูแลมันอย่างดี ดีกว่าปกติมาก เพราะตัวคนที่ถูกฟ้องเองก็ใช้ไปเกิน 250000 กิโล น้ำยังไม่ดัน

MC ดีเซลไม่ดันจริงหรือ ??
>> เค้าว่ากันว่าไม่เกี่ยวครับ แค่รถออกไปไม่เยอะ แล้วยังใหม่ๆกันอยู่ วิ่งยังไม่ถึงครับ

วิธีการป้องกันไม่ให้น้ำดัน ??
>> เติมพรีเมี่ยมหรือน้ำมัน EURO5 อันนี้มันเป็นเพียงแค่ยืดอายุ ยังมีเขม่าอยู่แต่ก็น้อยกว่าน้ำมันธรรมดาเยอะ
>> หมั่นตรวจเชคน้ำมันเครื่องไม่ให้เกินขีด
>> การนำรถเข้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 10000 กิโลเมตร ไม่เพียงพอ ควรจะร่นระยะเวลาเหลือ 7-8000 กิโลเมตร (ที่คลับเค้าแนะนำ)
>> น้ำมันเครี่องควรเป็นเบอร์ 40 มากกว่า 30 ที่ศูนย์ใช้กัน (ที่คลับเค้าแนะนำ)
>> น้ำยาหม้อน้ำไม่ควรใช้เกิน 40000 กิโลเมตร 

จุดสังเกต
>> บางคนที่น้ำดัน 2 รอบ  รอบหลังห่างจากรอบแรกที่เปลี่ยนเครื่องไม่ถึง 20000 กิโลเมตรก็มีนะครับ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันเกิดเร็วมาก เปลี่ยนเครื่องใหม่ทั้งหมดรึเปล่า หรือมันมีปัญหาอะไรกันแน่

เครื่องเบนซินมีปัญหามั้ย ??
>> ปกติ ไม่มีปัญหา  จะมีคนบ่นก็เรื่องเกียร์พัง เพราะคู่มือบอกน้ำมันเกียร์ Lifetime หรือ 100000 กิโลเมตร พวกก็เล่นไม่เปลี่ยนตามคู่มือ สุดท้ายพังกันไป คล้ายๆแบรนพรีเมี่ยมทั้งหลาย  แนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 3-40000 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

ดีเซลแบรนพรีเมี่ยมมี DPF มั้ย ??
>> Benz มีเติม Ad-Blue ทุก 10000 กิโล ไม่น่าจะใช้ระบบ DPF มั้ง ??  (รอผู้รู้อีกทีครับ)
>> อยากทราบเป็นความรู้เหมือนกันครับ

ความเห็นส่วนตัว
>> ระบบ DPF แบบที่เป็นอยู่มันดูจะงี่เง่ามากๆ ควรจะมีระดับบอกว่าควรจะเผาเขม่าหรือยัง หรือควรจะเปิด-ปิดระบบนี้ได้เอง ไม่ใช่ปล่อยให้รถคิดเองเออเอง
>> Mazda ก็ควรจะยอมรับปัญหาและหาวิธีแนะนำลุูกค้าในการบำรุงรักษา หรือเพิ่มโปรแกรมเผา EGR DPF ฟรีๆ  ไม่ใช่กลัวว่าจะดูเป็นรถเรื่องมาก ยังไงมันก็ดีกว่าเครื่องพังแล้วตามมาเปลี่ยนทีหลัง
>> เข้าใจว่าที่เอาดีเซลมาขายเพราะมันถูกจริตคนไทยที่อยากได้รถแรง ประหยัด ดูแลง่าย ทนทาน คนซื้อเยอะกว่าเบนซิน 2.5  อันนั้นมันคือภาพของเครื่องดีเซลในหัวคนไทย แต่เครื่องของคุณมันไม่ใช่ มันเยอะ มันแยะ คนธรรมดาเอาไม่อยู่แน่นอนครับ   

ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มกราคม 08, 2018, 22:43:52 »
เอาแบบที่ผมพอจะสรุปได้ในหัวนะครับ หลังจากที่เคยอ่านมาพักใหญ่ๆ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนหรือไม่แม่นนะครับ ลองไปหาข้อมูลกันดู

DPF ทำหน้าที่อะไร?
>> DPF มีลักษณะคล้ายๆรังผึ้ง  ดักไอเสีย-เขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์เพื่่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสียขั้นสูง  เมื่อใช้งานไปพักนึง DPF จะมีเขม่าจับ

เกิดอะไรขึ้นเมื่อมีเขม่าจับ DPF ??
>> จะมีเซ็นเซอร์จับไอเสียก่อนเข้า และหลังออกจาก DPF เพื่อดูว่าสมควรที่จะถึงเวลาไล่เขม่ารึยัง  เมื่อถึงเวลาไล่เขม่า หัวฉีดจะทำการฉีดน้ำมันเพิ่มเข้าไปในช่องไอเสีย เพื่อให้การเผาไหม้เพิ่มขึ้นและอุณหภูมิถึง 570-600 องศาเซลเซียส เพื่อที่จะเผาเขม่าใน DPF  ถ้าไม่ฉีดน้ำมันเพิ่มอุณหภูมิที่รถวิ่งกันปกติน่าจะราว 300 องศาเท่านั้น ซึ่งไม่พอเพียงที่เผาเขม่าออกไปได้

จะรู้ได้อย่างไรเมื่อ DPF ทำงาน ?? ถ้าจะพูดให้ถูกคอนนั้นคือเป็นการ DPF regeneration ครับ มันทำงานตลอดเวลาครับ
>> ไฟ i-stop ดับลง
>> อัตราการกินน้ำมันเพิ่มขึ้น สังเกตได้จากหน้าจอ เช่น ปกติ 7L/100KM  เวลา DPF ทำงานรถจุกินน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 10-11L/KM โดยประมาณ
>> เครื่องจะเร่งไม่ขึ้น
>> ไอเสียมีกลิ่นเหม็นรุนแรง

DPF ทำงานบ่อยแค่ไหน ??
>> บางคนว่าทุกๆ 5-600 กิโลเมตร
>> บางท่านที่รถวิ่งมาเยอะแล้วก็ว่า 2-300 กิโลเมตร
>> ผมสรุปคร่าวๆ ก็อยู่ที่ลักษณะการใช้งานด้วย วิ่งในเมืองก็อาจจะทำงานบ่อยกว่า หรือรถที่ใช้มาเยอะแล้ว DPF ก็น่าจะทำงานถี่ขึ้นตามอายุการใช้งาน

เผาเขม่าใช่เวลาแค่ไหน ??
>> เท่าที่พอจะจำได้น่าจะประมาณ 10-20 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพของ DPF และความเร็วที่ใช้ขณะนั้น
>> การเผา DPF ไม่ควรขับเร็วเกินไป  ผมก็จำไม่ได้ว่าต้องรอบเครื่องประมาณไหน ความเร็วประมาณเท่าไหร่ ลองหาดูคำแนะนำในอินเตอร์เนตหรือยูทูบครับ

ปัญหามันเกี่ยวอะไรกับ DPF กันละ ??
>> เมื่อระบบเริ่มฉีดน้ำมันเพิ่มเพื่อเผาเขม่าใน DPF  ก็จะมีน้ำมันจำนวนหนึ่งไหลลงไปปะปนกับน้ำมันเครื่อง ทำให้น้ำมันเครื่องเสียคุณสมบัติ ไม่สามารถปกป้องอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์ได้อย่างที่ควรจะเป็น
>> ถ้า DPF ทำงานอยู่แล้วดับเครื่อง ก็จะยิ่งเร่งให้น้ำมันลงไปปะปนกับน้ำมันเครื่องมากขึ้น

จุดที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหา DPF
>> คนขับจะไม่รู้เลยว่ามันจะเผาเขม่าตอนไหน  แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าระดับเขม่าใน DPF อยู่ประมาณเท่าไหร่ รู้ครับไฟ i-stop หายเลย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนสี
>> บางคนจะถึงบ้านแล้วระบบเพิ่งจะมาเผาเขม่า แล้วคุณจะถึงบ้านแล้วหรืออยู่ในซอยบ้านแล้วจะให้ออกไปขับรถเผาเขม่ามันก็ดูจะงี่เง่าเกินไป

แล้วดีเซลมันจะน้ำดันทุกคันมั้ย ??
>> ระยะเวลาที่เกิดน้ำดันก็จะอยู่ระหว่างประมาณ 70000-120000 กิโลเมตร  ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการบำรุงรักษา
>> จากเท่าที่อ่านคุณต้องดูแลมันอย่างดี ดีกว่าปกติมาก เพราะตัวคนที่ถูกฟ้องเองก็ใช้ไปเกิน 250000 กิโล น้ำยังไม่ดัน

MC ดีเซลไม่ดันจริงหรือ ??
>> เค้าว่ากันว่าไม่เกี่ยวครับ แค่รถออกไปไม่เยอะ แล้วยังใหม่ๆกันอยู่ วิ่งยังไม่ถึงครับ มีคนบอกมาว่าเปลี่ยน parts แล้ว เปลี่ยนโปรแกรมด้วย อันนี้ต้องรอดูไปครับ
วิธีการป้องกันไม่ให้น้ำดัน ??
>> เติมพรีเมี่ยมหรือน้ำมัน EURO5 อันนี้มันเป็นเพียงแค่ยืดอายุ ยังมีเขม่าอยู่แต่ก็น้อยกว่าน้ำมันธรรมดาเยอะ
>> หมั่นตรวจเชคน้ำมันเครื่องไม่ให้เกินขีด
>> การนำรถเข้าเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 10000 กิโลเมตร ไม่เพียงพอ ควรจะร่นระยะเวลาเหลือ 7-8000 กิโลเมตร (ที่คลับเค้าแนะนำ) ขึ้นอยู่กับการขับการใช้งานครับ ดูน้ำมันที่ก้านวัดครับ ถ้าเอาชัวร์ๆ นี่ค่อนไปทาง X เปลี่ยนเลยได้ก็ดีครับ (เอาจริงๆ ก็คิอ มัน regen DPF บ่อยแค่ไหนนั่นแหละครับ)
>> น้ำมันเครี่องควรเป็นเบอร์ 40 มากกว่า 30 ที่ศูนย์ใช้กัน (ที่คลับเค้าแนะนำ)
>> น้ำยาหม้อน้ำไม่ควรใช้เกิน 40000 กิโลเมตร 

จุดสังเกต
>> บางคนที่น้ำดัน 2 รอบ  รอบหลังห่างจากรอบแรกที่เปลี่ยนเครื่องไม่ถึง 20000 กิโลเมตรก็มีนะครับ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันเกิดเร็วมาก เปลี่ยนเครื่องใหม่ทั้งหมดรึเปล่า หรือมันมีปัญหาอะไรกันแน่ คาดว่าน่าจะเป็นตอนแรกๆ ที่เจอปัญหาเค้าจะไม่เปลี่ยนให้ทั้งเครื่องครับ หลังๆ ทางมาสด้าให้เปลี่ยนทั้งเครื่องอย่างเดียว

เครื่องเบนซินมีปัญหามั้ย ??
>> ปกติ ไม่มีปัญหา  จะมีคนบ่นก็เรื่องเกียร์พัง เพราะคู่มือบอกน้ำมันเกียร์ Lifetime หรือ 100000 กิโลเมตร พวกก็เล่นไม่เปลี่ยนตามคู่มือ สุดท้ายพังกันไป คล้ายๆแบรนพรีเมี่ยมทั้งหลาย  แนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 3-40000 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

ดีเซลแบรนพรีเมี่ยมมี DPF มั้ย ??
>> Benz มีเติม Ad-Blue ทุก 10000 กิโล ไม่น่าจะใช้ระบบ DPF มั้ง ??  (รอผู้รู้อีกทีครับ) <- มีทั้งคู่เลยครับ DPF + AdBlue https://www.thoughtco.com/bluetec-clean-diesel-technology-85602
>> อยากทราบเป็นความรู้เหมือนกันครับ

ความเห็นส่วนตัว
>> ระบบ DPF แบบที่เป็นอยู่มันดูจะงี่เง่ามากๆ ควรจะมีระดับบอกว่าควรจะเผาเขม่าหรือยัง หรือควรจะเปิด-ปิดระบบนี้ได้เอง ไม่ใช่ปล่อยให้รถคิดเองเออเอง
>> Mazda ก็ควรจะยอมรับปัญหาและหาวิธีแนะนำลุูกค้าในการบำรุงรักษา หรือเพิ่มโปรแกรมเผา EGR DPF ฟรีๆ  ไม่ใช่กลัวว่าจะดูเป็นรถเรื่องมาก ยังไงมันก็ดีกว่าเครื่องพังแล้วตามมาเปลี่ยนทีหลัง
>> เข้าใจว่าที่เอาดีเซลมาขายเพราะมันถูกจริตคนไทยที่อยากได้รถแรง ประหยัด ดูแลง่าย ทนทาน คนซื้อเยอะกว่าเบนซิน 2.5  อันนั้นมันคือภาพของเครื่องดีเซลในหัวคนไทย แต่เครื่องของคุณมันไม่ใช่ มันเยอะ มันแยะ คนธรรมดาเอาไม่อยู่แน่นอนครับ ไม่ถึงขนาดนั้นครับ เพราะที่อื่นใช้กันได้ ก็มีปัญหาระดับนึงเหมือนกันครับ แต่น้อยกว่าจากสภาพการใช้งานและน้ำมันดีเซล และก็ใช่ครับ คนมองว่ามันเหมือนดีเซลกระบะ ซึ่งมะนไม่ใช่ มันไปเหมือนดีเซลรถยุโรปอย่าง BMW Benz ไงครับ มีระบบ DPF เหมือนกัน

ส่วนใหญ่ก็ตามนั้นแหละครับ

ออฟไลน์ V221

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,818
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 07:35:52 »
DPFมีไว้สำหรับดักเขม่าจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ครับ ดังนั้นถ้าเติมน้ำมันดีเซลPremiumอย่าง PTT Hyforceหรือบางจาก Premium Diesel S ที่มีกำมะถันไม่เกิน10ppmตามมาตรฐานEuro 5 เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไปในบ้านที่ไม่เกิน50ppmตามมาตรฐานEuro 4 จะช่วยได้มากเพราะกำมะถันจะทำให้DPFตันครับ ส่วนAd Blueในรถยุโรปเอาไว้สำหรับดักจับก๊าซพิษNOxครับ สรุปคือDPFเอาไว้ดักฝุ่นละออง Ad Blueไว้ดักก๊าซอันตรายครับ คนละวัตถุประสงค์กัน
BMW 750E M SPORT

ออฟไลน์ Stp

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,537
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 08:29:30 »
ลูกค้าคนไทยหลายคนก็มีความเยอะครับ DPF เหมือนจะเป็นเรื่องใหม่แต่มันก็มีมานานระยะนึงแล้วกับรถยุโรป คนไทยมองว่ารถญี่ปุ่นก็ต้องเป็นรถญี่ปุ่นใช้ทิ้งใช้ขว้างยังไงก็ได้ แถมยังมีพวก "รู้ดีกว่าศูนย์" บ้างก็อ้างว่าของศูนย์แพง ช่างโกหก สิ่งเหล่าปลูกฝังในสมองคนไทยมาจนฝังลงสมองกันหมดแล้ว

ในขณะที่โลกรถยนต์เขาต่างพัฒนากันไปมาก เขาไม่สนใจประเทศที่จะมาเอาแต่ใจอยู่คนเดียวหรอก ถ้าแค่เรื่องการดูแล DPF คนไทยยังรับไม่ได้

เดี๋ยวรถ Pure EV มาก็จะมีการดูแลรักษาและใช้งานที่ต่างจากเดิม คนไทยก็จะมีพวกเอะอะฉันใช้แต่รถน้ำมันมา ฉันจะทำแบบนี้ยังงี้กับรถ Pure EV และก็จะเกิดเคสสไตล์ Mazda แบบนี้อีกแน่นอน

แต่เคสนี้อย่างว่า ทำไมรถยุโรปอย่าง Benz, Audi ซึ่งน่าจะขายรถดีเซลที่มี DPF มานานมาก ตอนนั้นช่วงแรกๆ ที่ขายรถเกรย์ก็เจอปัญหาคุณภาพน้ำมันบ้านเราเช่นกัน แต่หลังจากระยะนึงปัญหาก็น้อยลงมากๆ จนเหมือนจะปกติ อะไรคือความแตกต่างของระบบ DPF รถยุโรปเหล่านั้น vs SkyActiv-D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2018, 15:20:46 โดย Stp »
:D ;D ร่วมรณรงค์รักการอ่านหนังสือ แทนการถามตลอดเวลา ;D :D

ออฟไลน์ seeker

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,527
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 09:23:36 »
น่าจะมีไฟเตือนขณะ DPF ทำงานน่ะ
แต่ถ้าเป็นไปได้มีปุ่มเปิด-ปิดระบบด้วยยิ่งดี

ปล
1 สมมติ DPF ปิดได้ จะมีผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์บ้างครับ
2 CRV ดีเซลมีระบบ DPF เหมือนกันด้วยใช่ไหมครับ

ออฟไลน์ TORA

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 306
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 10:31:27 »
DPFมีไว้สำหรับดักเขม่าจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ครับ ดังนั้นถ้าเติมน้ำมันดีเซลPremiumอย่าง PTT Hyforceหรือบางจาก Premium Diesel S ที่มีกำมะถันไม่เกิน10ppmตามมาตรฐานEuro 5 เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไปในบ้านที่ไม่เกิน50ppmตามมาตรฐานEuro 4 จะช่วยได้มากเพราะกำมะถันจะทำให้DPFตันครับ ส่วนAd Blueในรถยุโรปเอาไว้สำหรับดักจับก๊าซพิษNOxครับ สรุปคือDPFเอาไว้ดักฝุ่นละออง Ad Blueไว้ดักก๊าซอันตรายครับ คนละวัตถุประสงค์กัน

ถามเป็นความรู้หน่อยครับ แล้วดีเซลยุโรปที่ใช้ DPF กันมานานแล้วที่ขายอยู่ในเมืองไทย
มันมีปัญหาขนาด Mazda ไหมครับ เรื่องน้ำดัน เขม่าตัน หรือปัญหาอื่นๆ
1.มันเป็นเพราะว่าเป็นรถพรีเมียมคนเลยเต็มแต่ ไฮดีเซลอยู่แล้ว ปัญหาเลยน้อยหรือไม่มี
2.หรือศูนย์รู้อยู่แล้ว เวลามีการนำรถตรวจcheck ระยะ ต้องมีการทำเรื่องพวกนี้เพิ่มสำหรับดีเซล เช่นล้างDPF ก่อนจะตัน,ตรวจระบบ DPF อะไรพวกนี้
3.รถรุ่นหลังเพิ่งติด DPF มาขายเมืองไทย รุ่นก่อนๆหน้านี้ไม่มี เลยยังไม่ค่อยเจอปัญหาใช้กันยาวๆได้
4.เดี๋ยวนี้นิยมขายแต่เครื่องเบนซิลหรือ PEHV เพราะรู้อยู่แล้วว่าดีเซล Maintenance ยุ่งยากกว่า และอาจจะมีปัญหาในระยะยาวได้

ตอนนี้เลยอยากขอดูเครื่องดีเซลของ CRV ว่ามันจะมีปัญหาพวกนี้เหมือนกันหรือเปล่า(ไม่รู้ว่าพวกที่ออกรถกันมาวิ่งถึง6-7หมื่นโลกันบ้างหรือยัง) ถ้ามันไม่มีปัญหาเลย แสดงว่าเครื่องของ MAZDA ไม่ได้คิดถึงเรื่องการ Maintenanceในระยะยาวเลย และอ่านจากขัางบนก็จุกจิกมาก ต้องให้ผู้ใช้ปรับตัวมากมาย เลิกขายดีเซลแล้วเอาตัว 2.5 มาขายแทนไปเลยดีกว่านะ ถ้ามันจะเรื่องมากขนาดนี้

ออฟไลน์ Nyquist

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,031
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 10:39:21 »
น่าจะมีไฟเตือนขณะ DPF ทำงานน่ะ
แต่ถ้าเป็นไปได้มีปุ่มเปิด-ปิดระบบด้วยยิ่งดี

ปล
1 สมมติ DPF ปิดได้ จะมีผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์บ้างครับ
2 CRV ดีเซลมีระบบ DPF เหมือนกันด้วยใช่ไหมครับ

มีไฟแจ้งเผาเขม่าครับ

ออฟไลน์ ดินดำ

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 12
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 10:58:03 »
ผมอ่านเก็บข้อมูลมาสักระยะ บางอย่างยังไม่เข้าใจดีนัก เช่นน้ำมันดีเซลเข้าไปปนได้ยังไง
แต่ก็ขอสรุปเป็นผังประมาณนี้ ผมเข้าใจถูกมั๊ยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 09, 2018, 11:16:10 โดย ดินดำ »

ออฟไลน์ dekdemo

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 537
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 11:45:04 »
แล้ว cx5 ที่ต่างประเทศ มีปัญหาแบบนี้ไหมครับ? หรือเวอร์ชั่นที่จำหน่ายในต่างประเทศ มีการใช้ชิ้นส่วนอะไหล่... ของเหลวต่างๆ... การปรับจูนให้เหมาะสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ต่างจากบ้านเรา? ผมอยากทราบครับว่า ปัญหาจริงๆเกิดจากอะไรกันแน่ครับ ผู้บริโภค หรือ ตัวสินค้า

ออฟไลน์ gorilla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,462
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 12:23:59 »
ตปท. เห็นมีข่าว Recall ไป 400000 กว่าคันนะครับ

อังกฤษก็มีน้ำดันครับ  ไต้หวันก็เยอะอยู่  อันนี้เท่าที่อ่านเจอครับ

สรุป ถ้าน้ำมันเครื่องเกินขีด x บ่อยๆ หรือนานๆ เจอปัญหาแน่ๆละครับ ต้องหมั่นตรวจสอบครับ

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 796
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 12:59:54 »
อ่านแล้วเหมือนรถจะใช้ยากสำหรับคนทั่วไป บังคับนั่นนี่เกินไป สมมุติว่า รถให้ทำกระบวนการนั้น 7 นาที ความเร็วไม่น้อยกว่า 90 แต่ว่าขณะนั้นอยู่ในเมือง ขับได้ช้ารถติด หรือขับไปทำงาน ถึงที่ทำงาน ถึงรอบการกำจัดพอดี รถไม่ให้ดับเครื่ิอง ก็ต้องรอ สองกรณีนี้ก็จะสะสมปัญหา ถ้าไม่ทำใก้สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ  และเหตุผลเพื่อลดมลพิษ ก็ไม่เห็นจะทำได้จนทำให้ราคาจ่ายภาษีถูกๆ มันเหมือนไม่สุดสักด้าน และใช่ว่าเครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพดีสุด ผมมองมันยากไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ลองดูของเจ้าอื่นปัญหาแบบนี้ไม่มีหรือน้อยมากเขายังขายกันได้อยู่ แล้วทำไมต้องเลือกวิธีที่มันซับซ้อนจัง

ขับ 90 km/hr  นาน 7 นาที  มันคือระยะทาง 10.5 km เลยนะครับ
สมมติขับรถถึงหน้าบ้าน แล้วเจ้าระบบเผาไหม้ทำงานพอดี เราก็ต้องเอาออกไปขับเผาน้ำมันทิ้งอีกตั้ง 10 km  :'( :'( :'(

ปล ยังนึกไม่ออกเลยครับ ถ้าบ้านอยู่ลาดพร้าว สะพานควาย พญาไท ฯลฯ
จะเอารถไปวิ่งที่ไหน 90 km/hr ตั้ง 7 นาที ( ยกเว้นขึ้นทางด่วน )    :'( :'( :'(


ออฟไลน์ V221

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,818
Re: ใครพอจะอธิบายอาการน้ำดันใน CX-5 ได้ไหมครับ
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: มกราคม 09, 2018, 17:00:53 »
DPFมีไว้สำหรับดักเขม่าจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ครับ ดังนั้นถ้าเติมน้ำมันดีเซลPremiumอย่าง PTT Hyforceหรือบางจาก Premium Diesel S ที่มีกำมะถันไม่เกิน10ppmตามมาตรฐานEuro 5 เมื่อเทียบกับน้ำมันดีเซลทั่วไปในบ้านที่ไม่เกิน50ppmตามมาตรฐานEuro 4 จะช่วยได้มากเพราะกำมะถันจะทำให้DPFตันครับ ส่วนAd Blueในรถยุโรปเอาไว้สำหรับดักจับก๊าซพิษNOxครับ สรุปคือDPFเอาไว้ดักฝุ่นละออง Ad Blueไว้ดักก๊าซอันตรายครับ คนละวัตถุประสงค์กัน

ถามเป็นความรู้หน่อยครับ แล้วดีเซลยุโรปที่ใช้ DPF กันมานานแล้วที่ขายอยู่ในเมืองไทย
มันมีปัญหาขนาด Mazda ไหมครับ เรื่องน้ำดัน เขม่าตัน หรือปัญหาอื่นๆ
1.มันเป็นเพราะว่าเป็นรถพรีเมียมคนเลยเต็มแต่ ไฮดีเซลอยู่แล้ว ปัญหาเลยน้อยหรือไม่มี
2.หรือศูนย์รู้อยู่แล้ว เวลามีการนำรถตรวจcheck ระยะ ต้องมีการทำเรื่องพวกนี้เพิ่มสำหรับดีเซล เช่นล้างDPF ก่อนจะตัน,ตรวจระบบ DPF อะไรพวกนี้
3.รถรุ่นหลังเพิ่งติด DPF มาขายเมืองไทย รุ่นก่อนๆหน้านี้ไม่มี เลยยังไม่ค่อยเจอปัญหาใช้กันยาวๆได้
4.เดี๋ยวนี้นิยมขายแต่เครื่องเบนซิลหรือ PEHV เพราะรู้อยู่แล้วว่าดีเซล Maintenance ยุ่งยากกว่า และอาจจะมีปัญหาในระยะยาวได้

ตอนนี้เลยอยากขอดูเครื่องดีเซลของ CRV ว่ามันจะมีปัญหาพวกนี้เหมือนกันหรือเปล่า(ไม่รู้ว่าพวกที่ออกรถกันมาวิ่งถึง6-7หมื่นโลกันบ้างหรือยัง) ถ้ามันไม่มีปัญหาเลย แสดงว่าเครื่องของ MAZDA ไม่ได้คิดถึงเรื่องการ Maintenanceในระยะยาวเลย และอ่านจากขัางบนก็จุกจิกมาก ต้องให้ผู้ใช้ปรับตัวมากมาย เลิกขายดีเซลแล้วเอาตัว 2.5 มาขายแทนไปเลยดีกว่านะ ถ้ามันจะเรื่องมากขนาดนี้
1.ผมเคยเจอกับBenz Vito 120CDIที่เป็นรถเกรย์ครับ สมัยนั้นยังไม่มีน้ำมันยูโร5 เลยเติมV Powerอย่างเดียวครับ พอใช้ไปแสนกว่าโลก็เจอปัญหาน้ำมันเครื่องเกินจากอาการเครื่องฉีดน้ำมันเพิ่มเพราะDPFตันครับ
3.รุ่นก่อนๆไม่ค่อยมีDPFยกเว้นเป็นรถนำเข้าบางรุ่นครับ
BMW 750E M SPORT