ผมเคยใช้รถเทอร์โบมาตั้งแต่สมัยก่อนนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเทอร์โบเน้นเพื่อเพิ่มความแรง ไม่ได้เน้นเรื่องความประหยัดเท่าไหร่ (ยุคน้ำมันเบนซิน95 ลิตรละ 8 บาท) ยุคนั้นยังติด turbo timer คือ ลงรถ เอากุญแจออก ล็อครถ เครื่องยังไม่ดับ รอ 1-2 นาทีตามที่ตั้งค่าไว้ เครื่องจะดับเอง
ตอนนี้ผมเหลือแต่รถ na และ hybrid ( แต่มีรถ turbo บางรุ่นที่ยังอยากได้อยู่ อาจได้ซื้อในอนาคต )
ตอบตามที่ทำจริงๆในปัจจุบัน คือแล้วแต่สถานการณ์ ขับรถติดๆทำธุระในกรุงเทพ , ไปรับหลานที่โรงเรียน ใช้ไฮบริด , ถ้าขับท่องเที่ยวสนุกๆตามทางภูเขา ชอบเอารถ na ไป
ตอบคำถามคือตามข้างบน
แต่คุยเล่นต่อตามประสาคนชอบรถ เครื่องแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อด้อยของมัน และความชอบของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดูจากกระทู้นี้ก็มีคนชอบเครื่องหลายๆแบบ ถึงได้มีเครื่องหลายแบบให้เราได้เลือกซื้อตามที่ชอบ
ด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆในปัจจุบัน เครื่อง na ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ , บริษัทรถต่างหันมาใช้เครื่องที่เล็กลง แต่เพิ่มเติมกำลังด้วยระบบ hybrid หรือ turbo
รถ eco car , c-seg , d-seg มีรุ่นที่เป็น turbo หรือ hybrid ให้เลือกหลากหลายรุ่น
เดี๋ยวนี้ s class , 7 series ไม่มีรุ่นเบนซิน na ให้เลือกแบบสมัยก่อนแล้ว
รถ sport , supercar หลายรุ่น ก็ใส่ turbo หรือ electric motor ไปเป็นที่เรียบร้อย
แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ยังชอบฟีลของเครื่อง na , รถเครื่องวางกลางของ lamborghini ทั้ง huracan และ aventador จึงยังใช้เครื่อง na , แต่พอเป็น suv อย่าง urus เป็น turbo
ทาง porsche ก็เช่นกัน แม้จะใส่ turbo มาให้ตั้งแต่รุ่นเล็กสุดของทั้ง boxster , cayman , 911 แต่บริษัท porsche ก็ทราบว่ามีแฟนๆที่ต้องการฟีลของเครื่อง na อยู่ ลองดูคลิปนี้ครับ หัวหน้าแผนก GT ของ porsche ยังเอ่ยถึงข้อดีของเครื่อง na ในเรื่อง linearity , aggressiveness , sound ( na บล็อคใหญ่ในรถ sport นะครับ ถ้า na บล็อคเล็กในรถปกติ ก็อาจจะไม่เห็นผลชัดเจนนัก )
นาที 18:30 เป็นต้นไป
พิธีกรถามด้วยความกังวลว่าเราจะเห็นรถ na อีกนานแค่ไหน กลัวว่าจะเปลี่ยนเป็น turbo กันหมด
Andreas Preuninger (Porsche Head of GT cars) ตบบ่าแล้วตอบว่า
"อย่าได้กังวลไปเลย ผมว่ามันสำคัญที่จะต้องมีเครื่อง na ในรถที่มาจากแผนก GT เพราะความ linearity , aggressiveness , sound... และตราบนานเท่าที่ลูกค้ายังต้องการเครื่อง na เราจะหาทางผลิตมันให้ได้ อย่างน้อยนี่คือเป้าหมายของผม "