ผมว่าประเด็นสำคัญคือ ขนาดสายไฟที่ต่อเข้าปลั๊กของบ้าน บ้านหลายคนสร้างมาไว้นาน ขนาดสายไฟเส้นเล็กกว่าที่จะรองรับกระแสชาร์จสูงๆ ไหนจะหัวปลั๊กที่ช่างไฟไทยๆ ต่อไว้ไม่ดีอีก
ในขณะที่ถ้าซื้อชุดชาร์จแบบติดผนังเขาจะเดินสายไฟพิเศษแยกออกมาเส้นนึงเลย ความเสี่ยงในการเกิดปัญหาย่อมต่ำกว่า
ผมเห็นด้วยอย่างมากเรื่องการเดินสายไฟครับ ควรจะตรวจสอบว่าสายที่เดินมาที่ปลั้กสำหรับเสียบสายชาร์จรถ มีขนาดอย่างน้อย 2.5 sq.mm. หรือไม่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรจะเดินสายใหม่แยกเป็นวงจรเฉพาะ ด้วยสายขนาด 4 sq.mm. ไปเลยเพื่อให้สามารถชาร์จที่ 16A ได้อย่างปลอดภัยครับ
ส่วนเรื่อง Mode2 กับ Mode3 นั้น จริงๆแล้ว mode3 นอกจากการเป็นอุปกรณ์ชาร์จในกล่องที่ติดตั้งประจำที่ ก็ไม่มีความพิเศษอะไรที่ต่างจาก mode2 ครับ (mode3 รองรับการทำ load shedding คือการปลดโหลดเครื่องไฟฟ้าในช่วง peak demand เพื่อไม่ให้ใช้กระแสมากเกินไปในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากๆ ซึ่งบ้านเกือบทุกหลังในเมืองไทยไม่มีระบบนี้ครับ)
บทความใน mbsoceity ที่อยู่ในลิ้งค์ มีข้อผิดพลาดหลายจุดครับ รูปที่อธิบายความแตกต่างขอ mode2 กับ mode3 ก็สลับกัน ผมได้แนบรูปต้นฉบับที่มีคำอธิบายประกอบมาให้ดูด้วยครับ
สรูปว่า ไม่ว่าจะเป็น mode2 หรือ mode3 ตัวควบคุมการชาร์จ (onboard charger) จะอยู่บนรถครับ ตัวสายหรือกล่องชาร์จ ทำหน้าที่แค่เป็นทางผ่านไฟฟ้าไปให้เท่านั้น ถ้าสายชาร์จที่แถมมากับรถ ไม่ได้มีพิกัดกระแสต่ำมาก จนทำให้ชาร์จช้าเกินไป ก็สามารถใช้งานได้ดี ไม่ต่างจากกล่องชาร์จที่ขายกันแพงๆครับ