full review : Volvo XC60 T8 AWD recharge MY2021

tadto

ถ้าพูดถึงรถ Volvo หลายๆคนคงคิดถึงความเชยในการออกแบบของตัวรถในแบบที่ผ่านๆมา

แต่ถ้ามามองดูให้ดีๆ Volvo ในช่วงปีหลังๆมา โดยเฉพาะในช่วงของ gen นี้ Volvo ได้ปรับ design ออกมาใหม่ได้ลงตัวขึ้นมากๆ
โดยเฉพาะรถในตระกูล SUV อย่าง XC40 และ XC60 การออกแบบของตัว Volvo นั้นค่อนข้างมีอัตตาลักษณ์ที่ชัดเจนเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาก

สำหรับ review ในวันนี้จะ ผมจะพาทุกท่านมารู้จักกับ เจ้า Volvo XC60 T8 recharge AWD R design MY2021 ซึ่งเป็นตัวปรับอุปกรณ์
โฉมล่าสุดของปีนี้และหาข้อมูลค่อนข้างยากเนื่องจากรีวิวต่างๆมักจะค่อนไปทางปีเก่าๆ ใหม่ที่สุดที่พอจะหาดูใน youtube ได้ก็ยังเป็นของตัว MY2020
ซึ่งมีจุดแตกต่างกับ MY2021 พอสมควรในเรื่องอุปกรณ์บางอย่าง

Volvo XC60 T8 recharge จะแบ่งการตกแต่งออกเป็นสองรุ่นคือ R design และ inscription และยังแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อยคือ
R design expression (ตัวเริ่มต้น) / R design และ inscription

โดยสองรุ่นหลังจะเป็น option ตัวท้อปทั้งคู่แต่แตกต่างกันทางการตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในบ้างนิดหน่อย
คันที่จะนำมารีวิวในวันนี้จะเป็นตัว T8 recharge R design ที่เป็นการตกแต่งแบบ sport

โดยที่ทั้งสามรุ่นจะมีมิติตัวรถที่ 4688 x 1902 x 1658 (ยxกxส)

ใน line up ของ XC เจ้า XC60 จะเป็นพี่กลางของ line up ซึ่งเอาจริงๆแล้วถือว่าเป็นขนาดที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก
ตอนที่รถสไลด์มาส่งที่หน้าบ้านผมยังรู้สึกว่า ทำไมมันเล็กจัง

tadto

สำหรับด้านเครื่องยนต์ของ XC60 นั้น ใช้เทคโนโลยี twin engine โดยแบ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สุบ 2000 cc
พร้อมด้วย super charge และ turbo charge ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 320 แรงม้า ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้พลัง
ขับเคลื่อนสูงสุดอีก 87 แรงม้า รวมเป็นแรงม้าสูงสุดที่ 407 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร แต่ lock
ความเร็วสูงสุดไว้ที่ 180 km/h (สำหรับตัว my2020 นั้นไม่ได้ lock)

ในส่วนของถังบรรจุเชื้อเพลิงใน ตัว my2021 สามารถบรรจุน้ำมันได้สูงสุด 70 ลิตร (ตัวก่อนหน้านี้ 50 ลิตร) พร้อมด้วย
แบตเตอรี่ความจุขนาด 11.6 kwh (ตัว 2018 รู้สึกว่าจะได้แบตที่น้อยกว่านี้อยูที่ราวๆ 10.6kwh)

ระบบขับเคลื่อน AWD (all wheel drive) ของ volvo นั้นจะแปลกกว่าชาวบ้านเสียหน่อยคือ ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้าและ
ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหลัง หากจะต้องการใช้ระบบนี้จำเป็นต้องเลือก drive mode ให้เป็น AWD จึงจะเข้าเป็นโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ
แต่ถ้าโดยปรกติใน mode hybrid จะใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนแค่ล้อหลัง และเมื่อความเร็วถึงประมาณนึงก็จะใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนตัวล้อหน้าแทน

Volvo xc60 ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมด้วยระบบ geartronic ของทาง volvo เองในการขับเคลื่อนรถให้ไปข้างหน้า

อย่างไรก็ดี ทาง volvo เองยังมี package polestar ที่จะเป็นการจูนอัพตรงส่วนของระบบเครื่องยนต์และระบบเกียร์ด้วยซึ่งผลพวงตรงนี้จะทำให้
ได้แรงม้าเพิ่มขึ้นจากตัวเครื่องยนต์อีกราวๆ 15 แรงม้ารวมเป็น 422 แรงม้า (เช่นเดียวกับเจ้าตัว xc60 polestar ที่มาพร้อมชุดแต่งพร้อมด้วยโช้คอัพ
ของ ohlins และชุดเบรกขนาดใหญ่และล้อขนาด 22 นิ้ว)

ส่วนตรงนี้ ผมเองก็ได้เป็นของแถมมาด้วย แต่น่าเสียดายที่ผมเองไม่เคยได้มีโอกาสขับรถตอนที่ยังไม่ได้ลงตัวโปรแกรมมาเลยไม่ได้สามารถบอกความแตกต่าง
ที่แน่ชัดตรงนี้ได้

tadto

สิ่งที่แตกต่างอย่างแรกเมื่อมองมาจากทางด้านหน้ารถ (ถ้าสังเกตุ) คือกระจังหน้า

เดิมของตัว my2020 จะเป็นกระจังหน้า gross black ตัวด้วยขอบโครมเมี่ยม แต่พอเป็นตัว my2021
ได้เปลี่ยนเป็นกระจังหน้า gross black ทั้งอันแล้วเหมือนตัว polestart ที่ออกมาจำหน่ายช่วงกลางปีที่แล้ว
แค่ไม่มี badge ชอง polestar ติดอยู่ที่กระจังหน้าด้วยเท่านั้น

ตรงส่วนหน้ากระจังจะเป็นโลโก้ของทาง volvo พร้อมซ่อนกล้องหน้าเอาไว้ใต้โลโก้อีกด้วย

อีกสิ่งที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของทาง volvo ที่แทบจะเห็นได้ในแทบจะทุกรุ่นของ volvo ยุดใหม่
คือเจ้าไฟหน้า full led พร้อมด้วย led daytime running light แบบมีไฟเลี้ยวในตัวเป็นรูปค้อนของ Thor
เทพเจ้าแห่งสายฟ้า ที่อิงมาจากตำนานปกรณัมของทางสแกนดิเนเวียบ้านเกิดของ volvo เอง

ไฟหน้านี้ยังมีระบบเลี้ยวตามพวงมาลัย และ ระบบ auto high beam อีกด้วย เรียกว่ามากันครบๆจบในอันเดียวเลย
ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเป็นไฟหน้าที่มีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองดีและถือว่าเป็นจุดเด่นๆจุดนึงที่มองแล้วก็รู้แน่ๆว่านี่คือ
volvo แม้อาจจะไม่เท่เท่าระบบไฟหน้าแบบ matrix ของ audi

tadto

ในส่วนของล้อนั้น เป็นขนาด 19 นิ้ว พร้อมด้วยยาง radial 235/55 R19 michelin latitude sport 3

ตัวล้อตรงนี้เข้าใจว่าไม่ได้เปลี่ยนลาย ยังคงเป็นลายคล้ายก้านคู่ 5 ก้านแบบ diamond cut ตัดกับสีดำด้านซึ่งดูเผินๆ
ไกลๆมันจะดูเหมือนเป็นสีดำแบบ gross แต่จริงๆแล้วเป็นสีแบบ matte ซึ่งถ้าเป็นตัว inscription นั้นก็จะได้ล้อขนาด
19 นิ้วเช่นกันแต่จะเป็นลายอีกแบบที่จะออกโทนไปทาง luxury มากกว่าตัว R design ที่เป็นแนว sport

จากที่วิ่งๆมาประมาณ 4-500 โลนี่ก็รู้สึกว่ายางเสียงดังประมาณนึง ไม่แน่ใจว่าเป็นผลจากการเติมลมยางของทางศูนย์หรือเปล่า
ถ้าถามถึงความลงตัว ส่วนตัวผมเองก็มองว่าสวยดี และข้อเสียของ volvo คือการใช้รูน้อตที่น่าจะต่างจากชาวบ้านเค้าพอควร
ตรงนี้หากจะต้องการเปลี่ยนล้อ อาจจะเป็นเรื่องยากนิดนึงสำหรับคนรักการแต่งรถหรือชอบเปลี่ยนล้อ

ระบบช่วงล่างของ xc60 นั้นจะเป็นแบบ sport chassis ( ถ้าเป็น inscription จะเป็นแบบ dynamic) มาพร้อมระบบ
double wishbone ด้านหน้าและระบบ integral link ในด้านหลัง เดี๋ยวตรงนี้จะมาเล่าให้ฟังในช่วงท้ายของรีวิว

พร้อมกันนี้ XC60 ยังมาพร้อมระบบเบรค disc brake 4 ล้อพร้อมระบบกระจายแรงเบรก ABS EBD & EBA อีกด้วย

tadto

ด้านข้างของตัวรถ ตรงนี้ผมมีเพิ่มในส่วนของ running board หรือบันไดข้างเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับภรรยา
และลูกสาวตัวน้อยในการขึ้นลงรถคันนี้ด้วย ซึ่งราคาส่วนตรงนี้ค่อนข้างทำเอาผมหน้ามืดไปเหมือนกัน ราคา list price
ตรงส่วนนี้อย่างเดียวนั้นปาเข้าไปที่เจ็ดหมื่นบาท (ฟังไม่ผิดครับเจ็ดหมื่น!!) และเอาจริงๆแล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องติดก็ได้!!

เนื่องจากผมเองนั้นจองรถโดยที่ไม่ได้ไปทดลองขับ ได้แค่เพียงไปลองนั่งๆดูในงาน motor show เท่านั้นเองซึ่งตัวผมเองนั้น
จำความสูงของตัวรถไม่ได้ และเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมา สุดท้ายก็เลยสั่งให้เซลส์ติดมาด้วย พอรถมาเข้าจริงๆนั้น รถค่อนข้างเล็ก
และเตี้ยกว่าในความทรงจำผมพอสมควร แต่ความโชคดีอย่างนึงคือมันไม่ยื่นออกจากตัวรถมากหากปิดประตูอยู่ มันเลยดูไม่เทอะทะ
แบบ GLC ที่ผมไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ ก็เลยถือว่าหยวนๆไป พอปรับตัวในการขึ้นลงได้แล้วก็โอเคแล้ว

ถือว่าเป็นการแต่งรถสร้างความแตกต่างไปก็แล้วกัน

สำหรับคนที่จะติด running board แบบผมอาจจะต้องปรับลักษณะนิสัยในการลงรถเพิ่มนิดนึง ต้องพยายามเหยียบลง
ไปที่ตัว running board แบบนี้แล้วค่อยลงจากรถ ถ้าเอาขาข้ามมันไปเลยและใส่กางเกงขายาว อาจจะเปรอะจากขอบของ
ตัวเหยียบนี้ได้ อันนี้ต้องระวังครับ และเอาจริงๆ ไม่ต้องติดก็ยังได้

tadto

ประตูก็จะเป็นแบบรถยุโรปโดยทั่วไปที่จะเปิดได้สองจังหวะ แต่อย่างที่บอกว่า จริงๆแล้ว xc60 นั้นไม่ได้สูงมาก สำหรับผมที่มีส่วนสูงอยุ่ราวๆ
173 cm นั้น วันแรกที่รับรถมาด้วยความไม่ชินและไม่ทันระวัง ผมเปิดประตูรถมาโดนขอบประตูฟาดเข้าที่จมูกเต็มๆ และจนถึงวันนี้เวลาเปิด
ประตูบางทีต้องกะเหลี่ยมดีๆ ถ้าเผลอๆก็มักจะเกือบเสยหน้าตัวเองเป็นประจำ แปลกมากอันนี้ ตัวผมขับรถมาก็หลายคันพึ่งเคยเจอประตูฟาด
จมูกก็คันนี้แหละครับ

ทางด้านมือจับเปิดประตูนั้น มาพร้อมระบบ comfort access เหมือนกันหมดทั้งสี่บาน สามารถล็อคประตูด้วยการกดปุ่มแบบสัมผัสหรือ
ว่าปลดล็อคผ่านการสอดมือเข้าไปในเบ้าโดยไม่ต้องควักกุญแจออกมาเลยก็ได้ และยังมีไฟส่องสว่างเวลาปลดล็อครถทั้งสีบานเลยด้วย

กระจกมองข้างนั้นมาพร้อมระบบ BLIS ที่มีขนาดไฟโชว์ค่อนข้างใหญ่มองเห็นได้ชัดเวลามีรถมาข้าง และยังเป็นกระจกตัดแสงอัตโนมัติอีกด้วย
ส่วนครอบกระจกนั้นเป็นสี gross black ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าตัวเก่าเป็นแบบนี้ด้วยหรือไม่ แต่ถ้าดูจากรีวิวเก่าๆของตอนเปิดตัว ตรงนี้จะเป็นสีดำ
หรือเทาด้าน

กระจกมองข้างมีขนาดกำลังดีไม่เล็กไม่ใหญ่มาก เวลาขับมองได้ชัดเจนดีทีเดียวครับ

tadto

มาดูด้านท้ายที่แสนอวบอิ่มของเจ้า xc60 กันบ้าง แน่นอนจุดที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุดอันนึงที่ถ้าเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็น volvo
แน่นอนคือไฟท้ายที่เป็น L shape หันหน้าเข้าหากัน (บางสำนักเรียกเป็นตัว C แต่ผมว่ามันเหมือนตัว L กลับด้านมากกว่า)
ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นไฟท้ายที่ดีไซน์มาได้ลงตัวมากๆอันนึงเลย ไม่ว่าจะอยู่ในบอดี้ของ XC หรือว่า V ก็ตามที

ด้านล่างมาพร้อมปลายท่อคู่แบบแบนเป็นท่อออกจริงไม่ใช่ท่อหลอก แต่ทางมองเข้าไปข้างในจะเห็นท่อกลมๆซ่อนอยู่ทั้งสองฝั่ง
ซึ่งตรงนี่ช่วยทำให้ด้านท้ายดูลองตัวมากในความคิดผม ตัว my2022 ที่เริ่มปล่อยภาพออกมาแล้วนั้นจะไม่มีปลายท่อแบบนี้แล้ว
ซึ่งถ้าออกมาจริงตามภาพที่เริ่มปล่อยออกมา ผมว่าด้านท้ายมันจะดูกลมเกินไปในความรู้สึกของผม

อีกส่วนนึงที่เปลี่ยนไปจากตัว my2020 นั้นคือ badge ด้านท้ายทางขวาที่เดิมจะเป็น badge สองอันเป็นคำว่า
twin engine กับ T8 เปลี่ยนให้กลายมาเป็น badge พื้นสีขาวพร้อมคำว่า T8 AWD recharge ซึ่งน่าจะถูก
ติดตั้งลงในทุกรุ่นที่เป็น my2021 ทั้งหมด ตาม concept ใหม่ที่ทาง volvo พยายามจะนำเสนอคำว่า recharge
ให้ชัดเจนขึ้น

ส่วนทางด้านซ้ายนั้นจะเป็น badge ชื่อรุ่นให้รู้ว่านี่คือ XC60

tadto

มาดูที่บรรจุของท้ายรถบ้าง ตรงนี้ผมไม่มีข้อมูลแน่นอนว่าขนาดเท่าไหร่ แต่ถ้าดูจากในเว็บของทาง volvo
แจ้งเอาไว้ว่ามีขนาด 505 ลิตร และขยายได้สูงสุดที่ 1432 ลิตรเมื่อปรับพับเบาะหลังลงไป...

ซึ่งเอาจริงๆแล้วผมอาจจะติดภาพจำของที่เก็บสัมภาระด้านท้ายของ x5 ที่ผมเทียวไปเทียวมาทั้งหาข้อมูล
และไปดูตัวเป็นๆมาหลายๆรอบมากๆ เมื่อตอนที่ผมได้รถมา ผมกลับรู้สึกที่วางสัมภาระด้านท้ายนั้นดูจุของได้
น้อยกว่าที่คิด และดูเหมือนจะน้อยกว่าเจ้า 520D G30 คันเก่าของผมเสียอีก อีคันนั้นก็ไม่รู้จะลึกไปไหน
อาจจะเพราะด้วยความโปร่งของตัวรถทำให้มันดูเล็กกว่าที่คิดเอาไว้พอควร ประกอบกับ ผมยังไม่ได้เอาไปใช้
งานจริงๆจังๆเนื่องจากยังติดช่วงโควิดอยู่ตอนนี้ เลยไม่ได้เดินทางไปไหนแบบที่ต้องมีสัมภาระเยอะๆ

ถ้ามองแบบไม่อคติ มันคงใส่ของได้เยอะประมาณนึงแหละ อย่างน้อยๆกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และใบกลางสองใบ
จับวางขวางน่าจะใส่ได้สบายๆแน่ๆ

เปิดฝาปิดขึ้นมาก็จะพบกับที่เก็บของตื้นๆเล็กๆ โดยไม่มียางอะไหล่มาให้ ส่วนที่เป็นโฟมตรงนี้ใหญ่พอที่จะวางเก็บที่
ชาร์จลงไปได้พอดีๆ มองขึ้นไปจะพบกับตัวแบตเตอรี่ และที่ปั้มลมพร้อมน้ำยาปะยางทดแทนการที่ไม่มียางอะไหล่มาให้

tadto

ด้านในห้องโดยสารจะเป็นโทนค่อนไปทางด้านมืดๆด้วยสีดำเกือบจะทั้งคัน ขนาดถ่ายกลางวันยังแอบดูมืดๆนิดนึงเลย
คู่สีที่ใช้ในรถคันนี้จะเป็นเทาเข้มสำหรับกับดำ

Console ด้านหน้าของรถนั้นมาพร้อมจอ virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมจอระบบ volvo sensus ขนาด
เก้านิ้วตรงกลางรถสำหรับควบคุมหลายๆอย่างของตัวรถรวมไปถึงระบบ air condition ของตัวรถด้วย

เบาะผู้โดยสารด้านหน้าจะเป็นเบาะทรงสปอร์ตซึ่งอันนี้ขอชมโดยส่วนตัวว่ารู้สึกนั่งสบาย 520d คันเก่าที่ผมใช้ ตัวเบาะนิ่ม
กำลังดีในความรู้สึก เป็นเบาะไฟฟ้าพร้อมเบาะรองน่องและที่ดันหลัง(ปรับสูงต่ำได้) พร้อมจดจำตำแหน่งได้ 2 ตำแหน่งทั้ง
ฝั่งคนขับและผู้โดยสาร และเรายังสามารถปรับเบาะฝั่งผู้โดยสารได้ด้วยที่ปรับของเราอีกด้วย แต่ต้องไปกดตรงหน้าจอให้เป็น
ตำแหน่งของ passenger ก่อน

จากที่นั่งขับมาประมาณ 600 กิโลมีความรู้สึกว่าปีกเบาะจะกว้างกว่า 520d รู้สึกอึดอัดน้อยกว่า แต่ในทางเดียวกันเวลาเข้า
โค้งยาวๆก็จะรู้สึกโยนกว่าเพราะปีกเบาะไม่ได้ล๊อคตัวเราไว้ขนาดนั้น ขับระยะทางไกลๆส่วนตัวผมรู้สึกว่าเมื่อยน้อยกว่าคันเก่า

ตรงคอนโซลจะเป็นการใช้หนังตัดกับ trim ที่เป็นอลูมิเนียมลายตาข่ายถ้าเป็นตัว inscription ตรงอลูมิเนียมจะเป็นลายไม้แทน
ส่วนตัวตรงนี้ผมไม่ติดขัดอะไร ก็ดูสวยดี คล้ายๆ trim ของ bmw แบบ m sport แหละครับ แต่ที่น่าเสียดายคือน่าจะมีการวาง
ambient light มาตามแนวขอบเพื่อลดความมืดของตัวห้องโดยสารมาเสียหน่อย ตรงนี้เป็นจุดนึงที่ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ของ
รถคันนี้

อย่างน้อยๆมีเป็นเส้นๆมาแบบ bmw เสียหน่อยก็ยังดี พอไม่มีมันทำให้เวลากลางคืนในรถมันจะดูมืดมากๆจริงๆ ผมยังไม่ค่อยชิน
เท่าไหร่เพราะ bmw มันยังมีแล้วเวลากลางคืนขับมันรู้สึกผ่อนคลายดี ทำให้รู้สึกไม่ค่อยจำเจด้วยเวลาเปลี่ยนสีก็ได้ฟีลลิ่งอีกแบบนึง

ตรงฝั่งผู้โดยสาร มองแว้บแรกผมแอบตกใจนึกว่ามันมีรอยบุบลงไป แต่จริงๆแล้วมันเป็นกิมมิคเล็กๆที่ทาง volvo จะพยายามใส่ความ
ภูมิใจลงไปว่า นี่คือรถจากสวีเดนนะโว้ยยยย มันคือธงชาติสวีเดนนั่นเอง

tadto

ไล่มาจากตรงกลางด้านบนจะเป็นตำแหน่งของไฟห้องโดยสารด้านหน้าแบบ led แยกฝั่งซ้ายขวา
พร้อมสวิชต์เปิดปิดม่านและหลังคา panoramic sunroof (เปิดได้เฉพาะส่วนหน้า) และจุดตรงกลาง
เล็กๆนั่นคือสิ่งที่เรียกว่า mooding light ซึ่งเป็นไฟโง่ๆ (ขอเรียกแบบนี้จริงๆ) สามารถปรับได้ประมาณ
7-8 สีซึ่งจะเห็นได้เด่นชัดจริงๆแค่สามสี อีกทั้งยังสามารถเลือกปรับให้มันส่องสว่างตาม temperature
ในห้องโดยสารได้อีกด้วย

มันโง่ยังไง คือดูจากภาพเอาตอนมันติดก็แล้วกันครับ ไฟนี้จะติดต่อเมื่อไฟ headlight ทำงาน ซึ่งเอาจริงๆมัน
ไม่ได้เพิ่ม mood อะไรใดๆให้ผมรู้สึกได้เลย ถ้าไม่สังเกตไม่รู้ว่ามีเสียด้วยซ้ำไป

tadto

ต่อมาก็จะเป็นชุดลำโพง Bowers & Wilkins ที่ถือว่าเป็น highlight สำคัญของรถคันนี้เลยทีเดียว
XC60 คันนี้มาพร้อมชุดลำโพงทั้งหมด 15 ตัว (ถ้าเป็น xc90 จะมี 19 ตัว) ซึ่งที่เห็นเด่นเป็นสง่าและ
เป็นหลักฐานว่าคุณได้ลำโพงชุดนี้ คือไอ้สิ่งที่นูนเด่นเป็นสง่าตรง console กลางนี่แหละ และจุดนี้เป็น
อีกจุดนึงที่แตกต่างจากตัว My2020 ที่ R design นั้นจะได้เพียงชุดลำโพงของ Harman Kardon
เท่านั้น แต่สำหรับ my2021 นั้นจะได้ B&W ทั้งรุ่น r design และ inscription ในราคารถที่เท่ากันอีกด้วย
(my2020 จะได้ b&w ในรุ่น inscription เท่านั้นซึ่งจะแพงกว่าอีกแสนนึง)

เรื่องเสียงนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆรีวิวบอกว่าดีมากๆ แต่ทีแรกที่ได้ฟังผมกลับไม่ได้ว้าวมาก คือมันดีแหละครับ
แต่อาจจะหวังสูงไปนิดและลำโพงอาจจะยังไม่ได้ burn มันเลยยังฟังแล้วไม่กลมกล่อมเท่าไหร่ จนกระทั่ง
ผมได้ไปขับรถคันเก่าผมนั่นแหละถึงได้รู้ว่ามันประเสริฐกว่าเยอะมากกกกจริงๆ

การฟังนั้นผมเปิดไม่ดังมากเสียงก็ดังแล้ว ยิ่งถ้ามีคนนั่งมาด้วยนั้น การฟังเพลงไปด้วยคุยไปด้วยจะลำบากมาก
ขนาดเปิดเสียงแค่ 1/4 ของ volume นั้น ผมก็ต้องใช้เสียงที่ดังพอควรจนสุดท้ายต้องยอมแพ้หรี่เสียงลงหรือ
ไม่ก็ปิดไปเลย แต่ถ้านั่งคนเดียวขับคนเดียวนั้น มันจะกลายเป็นสิ่งที่สุนทรีย์มากๆในการขับเลยทีเดียว

แผงลำโพงด้านข้างจะอยู่ค่อนมาทางสูงนิดนึง จะอยู่บริเวณข้างกรอบแอร์เลยพร้อมตะแกรงอลูมิเนียมล้อไปกับ trim
ของตัวรถ ก็ดูลงตัวดี ส่วนตรงนี้จะเป็นการวางตำแหน่งเสียงกลางและเสียงสูงไว้ ส่วนด้านล่างตรงที่เก็บสัมภาระข้างประตู
จะมีตำแหน่งของลำโพงเสียงต่ำอยู่

tadto

พวงมาลัยเป็นแบบ multi functions หุ้มหนังตัวกับขอบดำ piano black ตามสมัยนิยม
ด้านซ้ายจะเป็นปุ่มควบคุมการทำงานของระบบ cruise control ส่วนด้านขวามจะเป็นปุ่มควบคุม
ชุดเครื่องเสียงและสั่งงานด้วยเสียง ขนาดพวงมาลัยกระชับมือดี แต่น่าเสียดายที่การปรับยังเป็นการ
ปรับด้วยมือไม่ใช่ระบบไฟฟ้า จึงทำให้ส่วนนี้เวลาเราปรับเบาะตาม memory ตรงนี้จะไม่ปรับตาม

ซึ่งจริงๆรถในราคาระดับนี้ควรจะมีระบบไฟฟ้ามาให้ได้แล้ว

และสิ่งที่แสนเจ็บแค้นที่สุดคือตัว my2021 นั้นได้ถูกตัด paddle shift ออกไป!!!

ตรงนี้เป็นจุดที่ผมดูรีวิวจากตัวเก่าๆแล้วไม่ทราบว่ามันถูกตัดออกไปด้วย ตอนที่รู้นี่รู้สึกเสียดายมาก
ถามว่าได้ใช้หรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าอยากมี ใช้ไม่ใช้ไม่รู้ แต่ว่ามันควรจะมีมาสิ(วะ)

ยังดีที my2021 นั้นไม่ได้ตัดตัว head up display ออกไปด้วย ตัว HUD นั้นมองเห็นได้ชัดเจนดี
ส่วนตัวรู้สึกว่าดีพอๆกับ x5 45e ที่เคยไปลองมา ตอนผมลองขับ 530e ของพี่ชายรู้สึกว่ามันหลอกตา
พอควรขับนานๆแล้วจะปวดตามาก ซึ่งตรงจุดนี้ผมว่า คนที่ไม่เคยใช้ function นี้มาก่อนน่าจะเป็นทุกคน
ขับวันแรกๆจะรู้สึกรำคาญตามากๆ พอปรับตัวได้ก็จะรู้สึกว่ามีประโยชน์ดี น่าเสียดายที่มันไม่โชว์ function
พวก multimedia เลย หลักๆจะโชว์ความเร็ว / road sign ต่างๆ และ โชว์การนำทางเมื่อใช้คู่กับ
navi ของรถ ส่วน google map หมดสิทธิ์ครับ ไม่ขึ้นเช่นกัน

tadto

คอนโซลกลางนั้นมีที่วางแก้วให้สองแก้วตามแนวยาว โดยที่ขนาดไม่ลึกมากเนื่องจาก volvo นั้นนำแบตเตอรี่ของระบบ hybrid
มาไว้ตรงกลางรถจึงทำให้เสียพื้นที่ตรงนี้ไปพอสมควร เหนือที่วางแก้วเป็น wireless charging ขนาดใหญ่พอสมควรวาง
iphone pro max ได้พอดีๆเลย แต่การปิดเปิดต้องสั่งการผ่านทางหน้าจอ ซึ่งอาจจะยุ่งยากนิดนึง (ตรงนี้รู้สึกว่า my2020 จะไม่มี)

ด้านหลังมีกล่องเก็บของขนาดไม่ใหญ่มาก และก็ไม่ลึกมากเช่นกัน (แต่ลึกกว่าของพวก v60/s60) พอใส่ของได้นิดๆหน่อย ด้านในมีช่อง
usb a 2 ตำแหน่งสำหรับต่อสายระบบ android auto และ apple carplay หรือใช้ usb เพื่อฟังเพลง ตรงนี้ผมลืมถ่ายมา ขออภัยครับ

เหนือที่วางแก้วขึ้นไป มีช่องเล็กๆเปิดปิดได้ เป็นตำแหน่งของ ที่ปลั้กไฟแบบที่จุดบุหรี่ขนาด 12v พร้อมวางของได้เล็กๆ
น้อยๆเช่นกุญแจของตัวรถ หรือวางโทรศัพท์แนวขวางไว้ได้ หากไม่ต้องการใช้งานก็สามารถปิดซ่อนเอาไว้ได้

หัวเกียร์ของ R design จะเป็นหัวเกียร์ไฟฟ้าหุ้มหนังทรงสปอร์ตและด้านข้างเป็นอลูมิเนียม ขนาดไม่สูงมาก ถ้าเป็นตัว inscription
จะเป็นหัวเกียร์ crytal แบบใสดูหรูหรากว่า ส่วนตัวผมมองว่าดีไซน์หัวเกียร์มาไม่ค่อยสวยเลย ดูเหมือนแค่พอเป็นแท่งๆให้โยกเท่านั้นเอง
ตัวเกียร์จะไม่มีปุ่มกดอะไรเลย หากต้องการเข้าเกียร์ P ต้องกดปุ่ม ด้านล่างเอาซึ่งส่วนตัวผมว่าเกียร์ของ bmw ใช้งานง่ายกว่า

และการเข้าเกียร์ของวอลโว่ก็ค่อนข้างประหลาด คือถ้าจะเดินหน้าจะต้องดันเกียร์สองครั้งเพื่อเข้าเกียร์ D และถ้าจะเข้า R ก็ต้องดัน
ไปอีกสองครั้ง ถ้าดันครั้งเดียวมันจะเข้าเป็นเกียร์ N ให้ อันนี้ผมว่าเกียร์ของ bmw ที่สามารถกดปุ่มเพื่อข้ามไปข้ามมาได้นั้นสะดวกกว่า

tadto

ปุ่ม start/stop เป็นอีกเอกลักษณ์นึงที่แสนจะแปลกประหลาดของ volvo ด้วยการใช้วิธีแบบบิด
แทนปุ่มกดธรรมดาแบบชาวบ้านชาวช่องเค้า ซึ่งดีไซน์เนอร์อาจจะมองดูว่ามันหรูหรากว่าการกดธรรมดา

แต่สำหรับผมมองว่ามันตลกนิดๆและใช้เวลาปรับตัวกับมันสักพักเลย

ด้านล่างจะเป็นปุ่ม drive mode ซึ่งต้องกดลงไปก่อนหนึ่งครั้งแล้วค่อยเลื่อนเลือกโหมดอีกที
ซึ่งการเลือกโหมดนั้นจะกดย้ำลงไปอีกทีก็ได้ หรือว่าไปกดเอาทีจอก็ได้

ตรงส่วนที่วางของต่างๆนั้นมี shutter อลูมิเนียมที่สามารถเลื่อนปิดได้หมด เพื่มความหรูหราให้กับตัวรถได้
ก็แล้วแต่คนว่าชอบแบบไหน ซึ่งเอาตามจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยจะได้ปิดหรอก

tadto

กระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ พร้อมด้วยก้อน radar ขนาดใหญ่ของระบบ
“intelisafe” ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญจะใช้กับระบบต่างๆของตัวรถไม่ว่าจะเป็น city safety
/ acc หรือแม้กระทั่งระบบ pilot assist ด้วย เป็นก้อนเรดาห์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควรเลยทีเดียว

tadto

ส่วนตรงกลาง console หน้านั่นจะเป็นที่ตั้งของจอขนาด 9 นิ้ว พร้อมระบบ multimedia volvo sensus
ควบคุมระบบต่างๆของตัวรถ โดยหน้าจอหลักจะแบ่งเป็นสีส่วน โดยที่สามส่วนบนนั้นจะอยู่ตายตัวคือ

navigator / media / phone ส่วนล่างสุดจะขึ้นตาม app สุดท้ายที่เราเปิดเสมอ ปุ่มตรงกลางจะเป็นปุ่ม home
เมื่อกดแล้วจะกลับมาเป็นหน้าจอหลักอย่างที่เห็น

ด้านล่างมีปุ่มควบคุมการเล่นเพลง พร้อมปุ่มเปิดปิดไล่ฝ้า หน้า/หลัง และปุ่มไฟฉุกเฉินที่แอบอยู่ในตำแหน่งที่กดยากนิดนึง
การควบคุมระบบปรับอากาศนั้น ต้องปรับผ่านระบบสัมผัสที่หน้าจอเช่นกัน ส่วนตัวมองว่ายุ่งยากนิดนึง ตอนหลังผมใช้การ
ปรับผ่านการสั่งงานด้วยเสียงเอาแทน

การใช้งานจอนั้นไม่ยาก เหมือนเล่น ipad เลย เลื่อนนิ้วลากจากบนลงมาจะเป็นส่วนของ setting ที่เราสามารถเข้าไปปรับ
ตั้งค่าของตัวรถได้ ลากนิ้วไปทางขวาจะดึงหน้าต่าง app ต่างๆของตัวรถมา หากลากนิ้วไปทางซ้ายจะดึงหน้าต่างปรับแต่ง
ระบบ safety ต่างๆของตัวรถ เช่นพวก BliS / lane keeping และอื่นๆอีกมากมาย สาธยายไม่หมดจริงๆ

หากเราต่อ apple carplay หรือว่า android auto นั้นตัวจอจะใช้ส่วนครึ่งล่างในการแสดงผลซึ่งจะไม่สามารถย้ายขึ้นลงได้
ส่วนตัวผมมองว่าเป็นตำแหน่งที่ต่ำไปนิดนึงเวลาเราใช้พวก google map อาจจะมองลำบากนิดหน่อย และด้วยความที่เป็นจอ
แนวตั้งเลยทำให้มันดูเล็กกว่า bmw ที่เคยใช้

tadto

สำหรับ drive mode ของตัวรถนั้น เราสามารถดูได้จากจอกลางนี้เช่นกันเวลากดปุ่ม drive mode แล้วหน้าต่างนี้จะขึ้นมา
เราสามารถกดยืนยันได้ทั้งจากตัวปุ่มเองหรือการกดที่หน้าจอ โดยตัวรถจะมี mode การขับขี่มาให้ถึง 6 โหมดด้วยกัน

1 constant AWD จะเป็นการเปิดโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยรถจะดึงการทำงานของทั้งเครื่องและมอเตอร์ออกมาพร้อมกันหมด

2 pure จะเป็นโหมดใช้ไฟฟ้าล้วน พอใช้โหมดนี้คันเร่งจะตึงๆขึ้นมาหน่อยนึง ถ้าขับเร็วเกิน 120 ก็จะตัดตัวเองเข้าระบบ hybrid แทน

3 hybrid โหมดนี้จะเป็นโหมดตั้งต้นเลยทุกครั้งที่สตาร์ทรถขึ้นมา รถจะปรับตัวเองเข้าเป็นโหมดนี้ตลอด

4 individual จะเป็นโหมดที่เราสามารถตั้งค่าตัวรถได้ตามใจชอบว่าอยากให้คันเร่ง เกียร์ พวงมาลัย เบรก เป็นแบบไหน เราสามารถ
setting เอาเองได้เลย สำหรับคนที่ชินการมองวัดรอบ จะต้องมา set โหมดนี้แล้วปรับ display เป็น sport มันถึงจะโขว์เข็มวัดรอบให้ดูเวลาขับ

5 power (polestar engineered) หรือง่ายๆก็เป็นโหมด sport ของรถนี่แหละครับ สำหรับคันของผมได้ปรับจูนเป็น polestar
มันจะโชว์เป็นคำนี้แทน แต่ถ้าปรกติจะขึ้นเป็นโหมด power ครับ

6 off road เป็นโหมดที่เอาไว้สำหรับลุยทางแบบ off road จะจำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 40 km/h
หากวิ่งเกินกว่านี้จะไม่สามารถปรับเข้าโหมดนี้ได้

tadto

ตัวรถนั้นมาพร้อมกล้อง 360 องศาที่มีภาพชัดเจนดีมากๆ เวลาใช้จะขึ้นเต็มจอแบบนี้เลย ที่เป็นเงาดำๆนั้นคือผมเปิดประตูอยู่
ซึ่งเอาจริงๆแล้ว มันก็ดี แต่จะดีกว่านี้ หากมีการแบ่งส่วนทั้งกล้อง 360 around view ไว้แบบนี้แล้วแบ่งจอเป็นอีกส่วน
สำหรับกล้องถอยหลังแบบที่ยี่ห้ออื่นๆเค้าทำกัน นับเป็นข้อเสียเล็กๆเวลาใช้งานจริง คือบางทีก็อยากจะมองทั้ง 360 ทั้งกล้อง
มองหลังพร้อมๆกัน แต่มันทำไม่ได้ เลือกได้แบบใดแบบนึงเท่านั้น

tadto

เบาะโดยสารเป็นอีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงจากตัวเก่าๆ โดยตัว my2021 นั้นเปลี่ยนเป็นวัสดุหนังผสมผ้า
ถ้าผมจำไม่ผิด จากรีวิวตัวเก่าๆ อย่างปี 2018 จะเป็นหนังผสมหนังกลับ พอเปลี่ยนมาเป็นเบาะหนังผสมผ้านั้น
เป็นจุดที่ผมไม่ชอบนิดนึง มันทำให้ดูถูกลงอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเป็น inscription จะได้เบาะหนังทั้งตัวและถ้าเป็น
my2020 รู้สึกจะได้ระบบเป่าลมเย็นติดเบาะมาด้วย แต่ตัวปัจจุบันเหมือนจะถูกตัดออก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอชมว่าเบาะนั่งสบายพอสมควรตามที่บอกไว้ข้างต้น วัสดุส่วนหนังนั้นดูค่อนข้างจะยับง่ายมาก
รถมาถึงผมตรงช่วงปีกด้านล่างก็ดูยับมาแล้วนิดหน่อย นานๆไปจุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ต้องระวังพอสมควร

ที่เบาะก็ยังกิมมิคเล็กๆด้วยการติดแทคธงชาติสวีเดนไว้ให้รู้ว่า ข้าคือสวีดิชนะจ๊ะ

อีกจุดนึงที่ช่วยให้รถดูโปร่งโล่งสบายขึ้นคือเจ้า panoramic sunroof ที่พาดยาวไปถึงผู้โดยสารตอนหลัง
เวลาขับจริงๆถ้าเปิดไว้นั้น ช่วยให้ความรู้สึกที่โปร่งดีมาก แต่!!! ร้อนหัวประมาณนึงเลยครับ ขนาดติดฟิล์ม 80%
แล้วถ้าขับตอนช่วงบ่ายถึงบ่ายแก่ๆนี่รู้สึกเลยว่ามีไอร้อนถ่ายลงมาตรงหัวประมาณนึง

ช่องวางของด้านข้างฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าให้มาขนาดกำลังดีในความรู้สึกผม กว้างและไม่ลึกจนเกินไป ตอนใช้ 520d
รู้สึกว่าแคบ และลึกไปนิดนึง เวลาใส่ของบางทีจะหยิบยากกว่าคันนี้ แต่ช่องใส่ขวดน้ำของ xc60 นั้นทำมากว้างไปนิดนึง
ถ้าวางขวดน้ำขนาดปรกติที่เราซื้อกันไว้ตรงนี้ มันจะวางตั้งได้ แต่พอรถออกมันก็จะล้มลงทันที เพราะความกว้างของมันดู
เหมือนจะทำเอาไว้เผื่อใส่แก้วน้ำได้มากกว่าขวดน้ำ

ตรงที่ใส่ขวดน้ำนี้ผมว่า 520d คันเก่าผมทำไว้ได้ดีกว่า ใส่ขวด pet ได้พอดีๆอีกทั้งยังวางองศาให้เอียงนิดๆเวลาใส่ขวด
น้ำมันจะเอียงเข้าหามือเราทำให้หยิบได้ง่ายกว่า ส่วนตรงนี้ผมว่า xc60 ออกแบบมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่

tadto

การเข้าห้องโดยสารถด้านหลัง มีสเปซพอประมาณตามที่เห็น ผมสูง 173 ก็เข้าได้สบายๆ มีก้มหัวลงเล็กน้อย
เพราะเอาจริงๆ xc60 เป็นรถที่ไม่ได้สูงมากเหมือนพวก PPV จริงๆอาจจะดูสูงความซีดานทั่วๆไปเพียงเล็กน้อย
เสียด้วยซ้ำไป

เบาะโดยสารด้านหลังก็มีความคล้ายคลึงกับด้านหน้า พื้นที่ leg room ถ้าไม่ได้เป็นคนที่ตัวใหญ่มากๆ ผมว่าเหลือ
พอสมควรเลย นั่งได้สบายๆ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนขับสัก 90% จึงไม่สามารถบอกความสบายของส่วน
เบาะหลังได้จริงๆเวลาที่รถวิ่ง เบาะหลังคงจะมีแต่เจ้าตัวเล็กของผมที่ได้นั่ง ซึ่งถามเด็กไป เค้าก็จะบอกอย่างเดียวว่าโอเค๊

พื้นที่ๆเห็นจากในรูปนี่คือตำแหน่งการปรับเบาะในการขับของผมแล้ว ยังพอมีพื้นที่เหลือพอประมาณเลยทีเดียว

ส่วนพนักกลาง สามารถเอาลงมาได้ มีช่องเก็บของน้อยๆตื่นๆเอาไว้ซ่อนของเล็กๆน้อยได้พร้อมที่วางแก้ว และช่องที่
เอาสามารถเปิดเพื่อล้วงมือไปหยิบของข้างหลังได้ แต่ต้องเอื้อมมือข้ามไปเปิดจากด้านหลังเบาะนะ!! ถ้าจะเอื้อมขนาด
นี้แล้วก็หยิบไปเลยดีกว่า ผมเลยคิดว่าเค้าน่าจะเอาเผื่อแทงสัมภาระยาวๆทะลุมาได้มากกว่า

tadto

ไฟอ่านหนังสือสำหรับผู้โดยสารตอนหลังก็เป็นแบบ led เช่นกัน และมาพร้อม mooding light โง่ๆ
อีกสองจุดซ้ายขวา สิริรวมอีไฟโง่ๆนี้มีทั้งหมดสามจุดคือ ตรงกลางด้านหน้า และ หลังซ้าย/ขวา

จุดเสียที่สุดของพื้นที่ด้านหลังในสายตาของผม คือการที่ตัวคอนโซลกลางยื่นออกมาด้านหลังค่อนข้างเยอะ
เรียกได้ว่ากินพื้นที่มาราวๆ 35-40% เสียดายซ้ำไป ซึ่งเป็นข้อเสียที่เกิดจากการวางแบตเตอรี่ของระบบ hybrid
เอาไว้ตรงกลางของ volvo ทำให้เกิดการเสียพื้นที่ตรงนี้ไปพอสมควรเลยทีเดียว หากครอบครัวไหนที่มีการโดยสาร
มากกว่า 4 คนอาจจะจำเป็นที่จะต้องไปลองนั่งตรงนี้ดูเสียก่อน เพราะนอกจากจะมีอุโมงค์ตรงกลางยกขึ้นมาแล้วยังมี
ส่วนยืนมาขัดตรงขาเพิ่มเสียอีก อาจจะทำให้คนนั่งกลางจะต้องนั่งกางขาไปเบียดสองคนข้างๆและทำให้เวลาที่มีการ
เดินทางไกลๆหรือรถติดนั้น เป็นความไม่สุนทรีย์ที่สุดของผู้โดยสารตอนหลัง

จุดที่เปลี่ยนจาก my2020 อีกจุดนึงคือเปลี่ยนจากปลั๊ก 12V แบบที่จุดบุหรี่เป็น port usb c
2 ตำแหน่งใต้ฝาปิดแทน เพิ่มความสะดวกสบายในการชาร์จมือถือให้ผู้โดยสารตอนหลังได้เป็นอย่างดี

ด้านข้างของประตูผู้โดยสารตอนหลังโล้นๆนิดนึง ไม่มีลายละเอียดอะไรมาก มีเพียงตะแกรงอลูมิเนียมของลำโพงกับ
มือจับที่ช่วยตัดสีกับความดำของการตกแต่งเท่านั้น และไม่มีม่านบังแดดมาให้ ทั้งๆที่ควรจะมีมาให้

ตัวเบาะของผู้โดยสารตอนหลังนั้นยังสามารถยกขึ้นมาเป็น booster ได้ด้วยเหมาะสำหรับครอบครัวที่มีลูก
อายุเริ่มโตที่ไม่จำเป็นต้องนั่งคาร์ซีทแล้ว ก็สามารถยกตรงนี้ขึ้นมาได้ เพื่อช่วยให้สามารถคาดเข็มขัดให้เด็ก
น้อยได้ง่ายขึ้นอีกด้วย ตรงจุดนี้น่าจะเป็นอีกจุดที่เพิ่มขึ้นมาในตัว my2021

tadto

แอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังนั้น จะมาแปลกนิดนึงคือไม่อยู่ตรงคอนโซลกลางแต่จะมาอยู่ในพื้นที่เสาบีแทน
สามารถเปิดปิดได้ แค่จะไม่สามารถปรับความเย็นได้ ตรงนี้มีจุดนึงที่ผมไม่ค่อยได้คิดเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยได้เป็น
ผู้โดยสารตอนหลังบ่อยนัก แต่แฟนผมเคยบอกว่า เวลาแอร์อยู่ที่คอนโซลกลางนั้นจะทำให้คนที่นั่งตรงกลางทรมาน
สุดเพราะจะโดนแอร์เป่าตลอด จริงๆการไปอยู่ที่เสาบีซ้ายขวาก็อาจจะดีก็ได้ เพราะยังไงคนนั่งกลางก็ได้ไอเย็นจาก
แอร์ด้านหน้าอยู่แล้ว

ด้านหลังของเบาะหน้านั้นจะเป็นตาข่ายสำหรับใส่ของซึ่งผมเกลียดมาก ไม่ชอบเอาซะเลยจริงๆ
แต่เท่าๆที่ดูรถแนว suv จะชอบทำเป็นแบบนี้นะ เห็น x3 ก็เป็นเหมือนกัน

ช่องเก็บของข้างประตูด้านหลังนั้นมีขนาดเล็กพอสมควรเลย น่าจะใส่ได้แค่ขวดน้ำเท่านั้นแอบรู้สึกว่า
เล็กไปนิดนึง

tadto

และนั่นคือส่วนประกอบทั้งหมดของรถ Volvo XC60 T8 recharge AWD R design MY2021 เท่าที่ผมจะรีวิวให้ได้

ต่อไปจะมาพูดถึงเรื่องอัตราสิ้นเปลืองและการขับขี่ รวมไปถึงจุดที่ชอบและไม่ชอบของรถคันนี้บ้าง

เรื่องอัตราสิ้นเปลืองที่ทำมาจากการวิ่งระยะทางไกลประมาณ 380 กิโลจากบ้านผมที่แกลงไปที่กทม.
มีการใช้งานในเมืองที่กทม.บ้างนิดหน่อยก่อนที่จะขับกลับบ้านในวันเดียว

ผมชาร์จแบตไว้เต็มและเติมน้ำมันเต็มถังเอาไว้ก่อนการเดินทาง โดยใช้เพียงแค่โหมด hybrid เท่านั้นนะครับ ตัวเลขของแบตเตอรี่หาก
ชาร์จเต็มจะขึ้นที่ 35km (และ 40km ในโหมด pure) การขับของผมคือขับไปจนแบตเหลือวิ่งได้ประมาณ 20km ผมก็จะทำการกด
hold battery เอาไว้ รถก็จะใช้เครื่องยนต์มากกว่าแบตอยู่แล้ว วันนั้นวิ่งไปรถแทบจะไม่ติดเลยทั้งในเมืองและนอกเมืองเนื่องด้วยสถานการ์ณ
โควิดที่กำลังเข้มข้น ผมมีลองกดให้ตัวรถชาร์จแบตกลับเข้าไปบ้างประมาณระยะทางจากเยาวราชขึ้นทางด่วนไปที่ทองหล่อ
(ได้ความจุแบตกลับมา 2km)

มีการใช้ความเร็วบ้าง ส่วนใหญ่จะวิ่งอยู่ราวๆ 120-130 ตลอดมอเตอร์เวย์และมีเร่งแซงลองรถบ้างเป็นบางจังหวะ ความเร็วสูงสุดที่ใช้ไม่เกิน
160 พยายาม hold แบตไว้จนใกล้ถึงบ้านราวๆ 10km ถึงปล่อย hold ออกให้รถปล่อยพลังงานตามปรกติ

อัตราสิ้นเปลืองจากหน้าจอ แปลงจาก L/100km แล้วผมได้ที่ 12.2km/l แต่ถ้าวัดจากปริมาณน้ำมันที่เติมกลับเข้าไปจะได้ที่ 11.7 km/l

ซึ่งส่วนตัวก็แปลกใจเท่าไหร่นักเพราะอย่าลืมว่าเครื่องมันมาก็ 320 แรงม้าแล้วและหากไม่กดให้มันปั่นไฟกลับเข้าไปในแบต ผมว่าน่าจะได้ตัวเลข
ที่ดีกว่านี้ ถังน้ำมัน 70 ลิตร ถ้าชาร์จครั้งเดียวแล้ววิ่งยาวๆ รักษาความเร็วดีๆผมว่าน่าจะมีได้ถึง 800km + - ขึ้นอยู่กับความเท้าหนัก

เอาจริงๆรถมันก็เหมาะกับคนที่สามารถชาร์จไฟได้บ่อยๆ และหากวิ่งไปกลับไม่เกิน 40/km และชาร์จทุกวัน ผมว่ามันน่าจะประหยัดดีทีเดียว
น้ำมันถังนึงอาจจะวิ่งกันลืมเลย

น่าเสียดายที่เป็นช่วงโควิดระบาดพอดี ถ้าได้ใช้งานจริงแบบที่ปรกติผมใช้อาจจะเทสทำตัวเลขได้ละเอียดกว่านี้เพราะปรกติผมจะใช้รถประมาณ
200km/วัน ซึ่งเอาจริงๆผมก็อยากรู้ว่ามันจะทำได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้มั้ย อีกจุดนึงที่ตัวเลขอาจจะดุกว่าธรรมดานั่นก็เพราะรถผมลงโปรแกรมของ
polestar ซึ่งจะทำให้มีแรงม้าที่มากขึ้น การตอบสนองของคันเร่งและเกียร์ก็อาจจะต่างจากรถที่ไม่ได้ลงเอาไว้ และอาจจะมีผลต่ออัตราการกิน
น้ำมันของรถด้วย

tadto

ฟิลลิ่งด้านการขับขี่ โดยมากจากหลายๆรีวิวมักจะบอกว่า xc60 นั้นมีข้อเสียตรง พวงมาลัย, ช่วงล่าง และ เบรก
ผมจะมาเล่าให้ฟังกันทีละเรื่องเลย

สำหรับพวงมาลัยนั้น ผมว่าก็เบาจริง ในความรู้สึกนั้นใกล้เคียงกับ 520d ที่เคยขับด้วยซ้ำ และถ้าเทียบกับ vellfire
ที่เป็นล้อ 19 นิ้วเหมือนกัน ผมก็ยังรู้สึกว่ามันเบากว่า แม้จะลองปรับให้เป็นแบบ dynamic ผมก็ว่ารู้สึกว่ามันไม่ค่อย
ต่างเท่าไหร่

แต่ที่จริงคือเมื่อขับที่ความเร็วสูงเกิน 120 มันกลับไม่รู้สึกตึงมือขึ้นสักเท่าไหร่นัก หรือแม้แต่เวลาปรับเป็นโหมด power นั้น ก็ไม่รู้สึกต่างมาก
ถ้าเทียบกับเวลาปรับโหมดของ 520d เข้าโหมด sport อันนั้นจะรู้สึกเลยว่า พวงมาลัยหนืดและตึงมือขึ้นหน่อยนึง

ถ้าขับแบบคนปรกติทั่วๆไป หรือว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยจับความรู้สึกอะไร ผมก็ว่าเบาสบายดี ขับอยู่ในช่วงไม่เกิน 120 ก็ชิลล์ๆดีครับ ตรงนี้อาจจะ
ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเท่าไหร่

ช่วงล่างนั้น ในความรู้สึกตอนที่ขับครั้งแรกรู้สึกว่าก็คล้ายๆ 520d คันเก่า(อีกแล้ว) ในย่านความเร็วต่ำก็โอเคดี จะมีโยนๆหน่อยเวลาขึ้นเนิน
ตัวหนอนสูงๆให้พอโครงเครง ตอนที่ขับลงมา กทม.นั้น ผมเองก็ไม่ขับเร็วมาก การเปลี่ยนเลนส์ก็ไม่ถึงกับกระชากพวงมาลัยออกมาทันที ก็
เลยอาจจะไม่รู้สึกถึงปัญหาตรงนี้เท่าไหร่ เท่าๆที่ขับดูก็รู้สึกว่ามีความนุ่มนวลอยู่พอสมควร สังเกตุจากตอนที่ขึ้นคอสะพานบางอันบนมอเตอร์เวย์
ที่ถ้าเป็น 520d จะกระโดดนิดนึง แต่คันนี้ถือว่าซัความกระเทือนได้ดีประมาณนึง คือไม่จัมป์แต่เหมือนโยกตัวขึ้นแล้วดึงลงเลย

ส่วนตัวได้ลองเทโค้งยาวๆครั้งนึงบนทางด่วนจากหัวลำโพงมาพระรามเก้าจะมีโค้งยาวที่แยกออกมาพระรามเก้าตรงนั้นก็รู้สึกตัวเอียงประมาณนึง
พอเข้าได้สักพักรู้สึกว่าต้องเบรกเพราะไม่มั่นใจเท่าไหร่ อาจจะเพราะตัวรถที่สูงด้วย เลยรู้สึกมากกว่า 520d ที่เคยขับ

เรื่องเบรกของตัวรถมีระยะที่แปลกจริง และมีอาการตามที่ทางเว็บรีวิวไว้จริงๆคือเหมือนจะอยู่แต่ไม่อยู่

ถึงจุดๆนึงเราก็ต้องกดย้ำลงไปให้ตัวรถมันหยุดสนิท แต่มันดันไปคล้ายกับรถ vellfire ที่ผมใช้อยู่อีกคัน ตรงนี้เลยอาจจะปรับตัวไม่ยากเท่าไหร่สำหรับผม

ในความเร็วสูงๆ ถ้ากะระยะดีๆก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าในระยะกระชั้นชิด อันนี้พึ่งเจอกับตัวเองสดๆ คือผมเร่งแซงรถขึ้นไปด้วยความเร็วประมาณนึงจนพ้น
และกลับเข้าเลนของตัวเองแล้ว แต่คันข้างหน้าเจ้ากรรมดันเบรกอะไรไม่รู้ ซึ่งผมแซงกลับเข้ามาในเลนด้วยความเร็วสักประมาณ 115 เลยต้องกดเบรกตาม

ตอนนั้นมีความรู้สึกเหวอๆนิดนึงเหมือนว่ามันจะไม่อยู่ แต่มันก็อยู่นะ เพียงแต่มันอาจจะไม่สร้างความมั่นใจให้กับเราสักเท่าไหร่ ด้วยความไม่ชินระยะของรถด้วย

เรื่องการตัดจากโหมดไฟฟ้าเข้าระบบเครื่องยนต์นั้น ถือว่า volvo ทำมาได้ดีทีเดียว ตัดเข้าค่อนข้างเนียนไม่ค่อยรู้สึกถึงรอยต่อสักเท่าไหร่ ส่วนตัวผมว่าดีกว่า
530e ของพี่ชายที่เคยได้ลองขับมา อัตราเร่งของรถนั้นหายห่วง เวลาต้องการกำลังจากตัวเครื่องก็แค่กดลงไปเท่านั้นมันตอบสนองได้ไวพอสมควรเลย

ยิ่งกับโหมด polestars วันแรกที่ผมลองนี่มีความรู้สึกเล็กๆเหมือนจะเอารถไม่อยู่ด้วยซ้ำเพราะมันขึ้นไปไวมากจริงๆ แต่สำหรับโหมด hybrid เองก็ไม่มีอะไร
น่าเป็นห่วงกดคันเร่งแล้วก็ตอบสนองดีทีเดียว

อย่างไรก็ต้องขอยกความดีให้กับการวางองศาของแป้นคันเร่งและเบรคด้วยที่ผมว่าเข้าวางไว้ค่อนข้างดี ขับนานๆแล้วไม่เมื่อยนะสำหรับผม ถ้าเทียบกับ 520d
คันเก่าผมมีความรู้สึกว่าต้องยันขาเข้าไปมากกว่า ทำให้ขับนานๆแล้วจะปวดขามาก

ความเงียบในห้องโดยสารนั้น ส่วนตัวผมตอบแบบไม่อวยเลยว่า เฉยๆมากๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเก็บเสียงได้ดีอะไรขนาดนั้น เสียงลมจะเริ่มเข้าตั้งแต่ช่วง 120 ขึ้นไป
ส่วนเสียงยางนั้นก็ดังประมาณนึง ซึ่งก็คล้ายๆกับ 520d คันเก่าที่ขับอยู่

tadto

สำหรับระบบ volvo sensus นั้น ส่วนตัวมองว่าก็ใช้ง่ายดี พอปรับตัวกับมันได้แล้ว

แต่ผมยังรู้สึกว่าการมีพวก wheel click แบบ I drive ของ bmw นั้นดีกว่า

พอไม่มีแล้วถึงรู้ว่าเออมันประเสริฐในระดับนึงเลยนะนั่น เพราะ volvo sensus นั้นเป็นระบบ touch screen ล้วน
แม้จะตอบสนองไว แต่เวลาที่เราขับรถอยู่นั้น บางทีมันต้องเล็งและต้องเอื้อมมือไปแตะ มันอาจจะแย่งสมาธิเรามากกว่า
ระบบ wheel click นิดนึง ส่วนตัวไม่ได้มองว่ามันเป็นข้อเสีย แต่มองเป็นเรื่องของความเคยชินของตัวเองมากกว่า

ข้อเสียอีกข้อของรถคันนี้สำหรับผมอาจจะตรงที่มันไม่มี ambience light มาให้

ซึ่งผมมาจากรถที่มันมีแล้วผมรู้สึกว่าการมีไฟพวกนี้มันช่วยให้ห้องโดยสารรู้สึกสว่างขึ้นผ่อนคลายและรู้สึกไม่จำเจ
เพราะเราสามารถปรับแต่งเปลี่ยนอารมณ์ของห้องโดยสารไปได้เรื่อยๆ ประกอบกับการตกแต่งภายในของรถนั้นเป็น
โทนดำหมด ทำให้ตอนกลางคืนจะรู้สึกว่ารถค่อนข้างมืดมากไปนิดนึง

สิ่งนึงที่รู้สึกชอบและเป็นเหตุผลหลักที่ซื้อรถคันนี้คือระบบความปลอดภัยต่างของตัวรถที่อัดมาให้แบบไม่กั้กจริงๆ
อีกทั้ง acc และ pilot assist สามารถใช้ได้จริงและไว้ใจได้ในระดับนึงเลย แรกๆอาจจะรู้สึกรำคาญระบบ lane keeping
บ้างพอเริ่มชินก็พอจะโอเคไปกับมัน ที่สำคัญผมขับรถคันนี้สลับกับแฟนวันเว้นวันเป็นะระยะทางไกลๆ การมีรถที่รู้สึกว่ามัน
ปลอดภัยจึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันเหมาะกับครอบครัวผม

ระยะเวลาในการชาร์จรถด้วยสายชาร์จที่แถมมานะครับ มันค่อนข้างจะไม่แน่นอนสักนิดนึงเพราะการชาร์จนั้นผมเข้าใจว่าส่วนนึง
น่าจะเกี่ยวกับการใช้กระแสไฟภายในบ้านด้วย หากไม่ได้มีการใช้อะไรมากมายเช่นเปิดแอร์ทั้งบ้าน (หรืออย่างในกรณีบ้านผมมีสระว่ายน้ำด้วย
ปั้มมันใช้ไฟสูงพอควร) ผมเคยชาร์จได้ไวที่สุดราวๆ 4 ชม.ครึ่งจากศุนย์ถึงเต็ม อันนี้คือกรณีรถจอดไว้เฉยๆไม่ได้พึ่งใช้งานมา หรืออย่างวันที่พิมพ์
อยู่นี้ ผมเสียบชาร์จตอนเที่ยง ทีแรกแจ้งว่าเสร็จราวๆ 15.30 แต่พอเอาจริงๆเวลาก็เลื่อนขึ้นไปอีก เพราะมีการใช้ไฟในบ้านมากขึ้นทำให้กระแสไฟ
อาจจะมาได้ไม่เต็มที่ สุดท้ายผมเอาปลั้กออกตอน 16.30 ก็ยังไม่เต็ม ได้มาราวๆ 80% (ตอนนั้นแจ้ง fully charged ที่ 17.30)

เพราะฉะนั้นการชาร์จด้วยสายไฟที่แถมมานั้นอาจจะไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก ตีไปว่า 5-6 ชม.ก็แล้วกัน ตอนนี้กำลังรอที่ชาร์จ wallbox มาติดตั้งให้

แล้วผมจะมาอัพเดทให้อีกที

tadto

อีกเรื่องที่ volvo นั้นอาจจะสู้คู่แข่งในสายโดยตรงอย่าง bmw x3 30e pro หรือ MB glc
นั่นคือบริการพวกปุ่ม sos และการบริการของ butler ต่างๆที่ทางคู่แข่งมีให้ รวมไปถึง interface บางอย่างของตัวรถที่สามารถ
สั่งการผ่านกว่าใช้ app ในมือถือได้ ซึ่งตรงนี้ทาง bmw น่าจะเหนือที่สุดแล้วเพราะ idrvie id7 ปรับปรุงมาค่อนข้างจะดีทีเดียว

รวมไปถึงการรองรับภาษาไทยของระบบปฏิบัติการในตัวรถ ซึ่ง volvo sensus นั้นทำไม่ได้ แต่อย่าง bmw และ mb นั้นแทบ
จะรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบแล้ว

สิ่งที่ชอบกับรถคันนี้

-   ระบบความปลอดภัยต่างของตัวรถกับระบบ acc / pilot assist
-   ลำโพง B&W
-   การ switch ของเครื่องยนต์กับมอเตอร์ค่อนข้างเนียนมาก
-   อัตราเร่งที่เชื่อใจได้

สิ่งที่ไม่ชอบเอาซะเลย

-   เบรกและช่วงล่างที่อาจจะเชื่อใจไม่ได้ในบางครั้ง
-   ไม่มี ambience light
-   น่าจะแบ่งจอการใช้กล้อง 360 คู่กับกล้องถอยหลังได้

รวมๆแล้ว มันเป็นรถที่ดีนะครับ ตอนนี้รถที่น่าจะซัดกันตรงๆเลยก็คงจะเป็นเจ้า bmw x3 30e m sport pro ที่ออฟชั่นมาใกล้เคียงกัน
พอสมควรแล้ว สิ่งที่น่าจะขาดไปคือระบบ pilot assist ที่ทาง bmw คงไม่มีให้ และลำโพงที่อาจจะสู้ไม่ได้

รวมไปถึงราคาที่สูงกว่าประมาณ 4 แสน แต่สิ่งที่จะได้ดีกว่าคือ ระยะการประกันรถที่ทาง bmw จะไม่จำกัดระยะทางใน 5 ปี volvo จะเป็น 5 ปี / 150000 กม.
และการประกันแบตเตอรี่ bmw ให้ 10 ปี แต่ volvo ให้ 8 ปีหรือ 150000 กม.

ถ้าถามว่าทำไมถึงได้เปลี่ยนมาเป็น volvo ก็คงเป็นเพราะ 520d กับ x3 นั้นข้างในเหมือนกันจนรู้สึกว่า ถ้าเปลี่ยนเป็น x3 คงจะไม่รู้สึกแตกต่างจากเดิมเท่าไหร่
และอีกเหตุผลนึงก็คือ ภรรยาอยากให้ลองรถยี่ห้ออื่นบ้าง

อีกคันที่น่าจะใกล้เคียงกันก็น่าจะเป็น MB GLC 300e coupe ที่ราคาก็จะโดดขึ้นไปอีก ส่วนคู่แข่งอ้อมๆก็คงเป็น lexus nx300h และ audi q5

ส่วนตัวผมเอง ผมเป็นคนที่หลีกเลี่ยงรถ hybrid และ phev มาตลอดจนกระทั่งได้ลองขับ 530e ของพี่ชายจึงทำให้เกิดเปลี่ยนความคิดขึ้นมา และเอาจริงๆพอได้
ใช้แบบเป็นของตัวเองจริงๆผมก็รู้สึกชอบนะ ถ้าถามว่ามันเหมาะกับการเดินทางไกลๆเหรอ ตรงนี้อาจจะให้คนที่คิดจะซื้อลองมองข้อจำกัดของตัวเองให้ดี

อย่างตัวผมเองใช้วันละสองร้อยโลก็จริง แต่ก็มีช่วงเวลาพักที่บ้านที่มองแล้วว่า ได้ชาร์จรถแน่ๆ และถังน้ำมันของรถคันนี้ค่อนข้างใหญ่ จึงทำให้การเติมน้ำมันนั้นอาจจะ
ไม่บ่อยมาก ตกแล้วอาจจะเติมน้ำมันเท่าๆกับ 520d คือประมาณ 4 วันครั้งนึง แต่อาจจะเพิ่มความยุ่งยากที่ต้องมานั่งชาร์จทุกวัน

หวังว่ารีวิวนี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่สนใจรถรุ่นนี้อยู่อาจจะยาวไปนิดนึง แต่ผมคิดว่าผมพยายามจะทำให้ละเอียดที่สุดเท่าที่ทำได้เพราะเข้าใจคนที่เวลาสนใจ
อะไรแล้วมันหาข้อมูลยากนี่มันกลุ้มเอาเรื่องจริงๆนะ

หากใครมีข้อสงสัยตรงไหนจะถามในกระทู้นี้หรือจะ dm มาหาผมก็ได้ครับ ถ้าตอบได้ก็จะตอบให้ครับผม

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสำหรับการรับชมรีวิวนี้ หากมีข้อมูลอะไรผิดพลาดตรงไหนสามารถแจ้งเอาไว้ได้นะครับ

โดยมากผมอิงสเปคที่เป็นตัวเลขต่างๆมาจากเว็บของ volvo เอง แต่ข้อมูลออฟชั่นต่างๆอาจจะมีที่ผมผิดพลาดได้

รถจักรไอน้ำ

ขอบคุณสำหรับ Review ครับ ละเอียดครบมากๆ

รถผมไม่ lock speed ที่ 180 และมี paddle shift กับ package polestar มาให้ ถึงเวลาใช้งานจริงๆก็ไม่ได้ใช้ paddle shift เลยครับ kick down เอาก็เพียงพอแล้ว

ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับเรื่องเบรคและ feeling พวงมาลัยมากๆ เรื่องเบรคผมคิดว่าหากผ้าเบรคแจ้งเตืนต้องเปลี่ยนผมจะลองใช้ยี่ห้ออื่นดู แต่คงไม่ถึงกับไปเอาเบรค polestar มาใส่ เพราะปกติไม่ได้ขับเร็วมากครับ

Ambient light สู้ Brand อื่นไม่ได้จริงๆ แต่อ่านจากหลายๆรีวิวเขาบอกว่ารถ Swedish จะตกแต่งแบบเรียบๆ ไม่ชอบแสงสี (ไม่รู้แก้ตัวรึเปล่า 555) ใน Benz ผมเปลี่ยนสี Ambient light ทุกเดือนเลยครับ

แต่เรื่อง panoramic sunroof ผมว่า Volvo ทำได้ดีมากเลยนะครับ ถ้าบ้านเราแดดไม่ร้อน จะเป็นอะไรที่ดีมากๆเลยหล่ะ

PREM

รีวิวละเอียดยิบเลยครับ

เรื่ีองเบรกใช้ไปสักพักจะชินเองครับ แต่ปัญหาคือพลังเบรกยังไม่ดีพอถ้าเป็นคนขับเร็ว เพราะรถหนักมากและแรงเครื่องเยอะ

เวลาขับทางไกลผมขอแนะนำให้ลองตั้งสถานที่ปลายทางใน navi ของรถดู แล้วขับในโหมด Hybrid ระบบจะจัดการใช้ไฟฟ้าเพื่อให้ไฟไปหมดช่วงใกล้ๆ ถึงปลายทางพอดี ถ้าขึ้นทางด่วนหรือขับทางหลวงเส้นใหญ่ๆ ระบบจะตัดไปใช้เครื่องยนต์ทันที พอเข้าถนนเล็กๆ หรือซอยจะกลับมาตัดใช้ไฟฟ้าล้วนให้เอง โดยที่เราไม่ต้องไปกดเปิดๆ ปิดๆ ปุ่ม hold แล้วอัตราสิ้นเปลืองก็ค่อนข้างดีด้วยครับ

Tien.W

ขอบคุณครับ ละเอียดยิบเลย

Pegasus7700

เบรกผมชินละ inscription
แต่ลองขับเร็วเกิน 180 มันจะหวิวๆหน่อย