ผู้เขียน หัวข้อ: อยากถามคุณเนย หลังจากทำช่วงล่าง+เปลี่ยนยางมาใหม่ เวลาเข้าโค้งเหมือนด้านท้าย มันจ  (อ่าน 10426 ครั้ง)

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
รถ city zx ครับ
ที่เคยถามเรื่องเปลี่ยนยางใหม่ไปเมื่อซัก 2 อาทิตย์ก่อน

ก็ได้คุณเนยมาช่วยให้ความรู้เพิ่ม ขอบคุณอีกครั้งครับ

เมื่อวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ได้เดินทางไปศรีราชา (สวนสัตว์เปิดเขาเขียว) มาครับ
การวิ่งบนบูรพาวิถี ขาไป ก็รู้สึกว่า รถมันหนึบขึ้นกว่าช่วงล่างเดิม

แต่ขากลับ กทม. รู้สึกว่า รถก็ยังวูบวาบอยู่ (พวงมาลัยนิ่ง แต่รถไม่นิ่ง)

รถผม มีทำช่วงล่างมาดังนี้

1. โช้คอัพ มอนโรออริจินอล พึ่งใช้มาประมาณ 1,000 กม.
2. สปริง tanabe nf210 อายุประมาณ 12,000 กม.
3. ล้อ lenso 15 นิ้ว
4. ยางมิชลิน pilot sport 3 ขนาด 195/55/15 วิ่งมาประมาณ 200 กม. ก่อนไปศรีราชา
5. ผ้าเบรกหน้า na-p

คำถามคือ
1.  การวิ่งบนบูรพาวิถี ขาไปนั้น ผมใช้ความเร็วประมาร 100 - 110 กม./ ชม.
เวลาเจอโค้ง ผมชะลอความเร็วแต่ไม่แตะเบรก แต่มักเจอกระบะคันหน้า ชะลอ
จนผมต้องแตะเบรก (ไม่งั้นผมเสียวไปชนท้ายกระบะครับ) ผมทิ้งระยะห่างจากคันหน้าน่าจะประมาณ 4-5 คันรถได้ ผมเลยสงสัยว่า แปลว่า รถผมเข้าโค้งโดยไม่สูญเสียความเร็วไปมากเหมือนรถกระบะพวกนั้นใช่ไหมครับ

2. แต่การวิ่งบนทางโค้งไปมา เช่นทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา ผมขับด้วยความเร็วประมาณ 60- 80 กม./ชม. เวลาเข้าโค้ง ผมมีความรู้สึกว่าท้ายรถมันจะเหวี่ยงออก ทำให้รู้สึกกลัว
เลยไม่กล้าเข้าโค้งเท่าไร เทียบกับโช้คและสปริงเดิมติดรถ ที่มีระยะยุบเยอะๆ ผมยังรู้สึกมั่นใจกว่านี้
เวลาเข้าโค้ง อันนี้มันเกิดจาก

2.1 สปริงด้านหลัง แข็งกว่าสปริงเดิมหรือเปล่าครับ (สปริงหน้าค่า k ประมาณ 1.7 ส่วนสปริงหลังค่า k ประมาณ 2.0 ) ทำให้เหมือนท้ายมันจะเหวี่ยงออก

2.2 หรือโช้คกับยางมันยังอยู่ในช่วง Run In ครับ

2.3 หรือมันเกิดจากฝีมือผมที่ยังไม่ดีพอกับการขับรถบนเขาแบบนี้ครับ

หากเกิดจากข้อ 2.1 ผมควรกลับไปใช้สปริงเดิมจะดีไหมครับ
หากเกิดจากข้อ 2.2 โช้คกับยางต้องใช้เวลา run in ประมาร กี่กม. ครับ
หากเกิดจากข้อ 2.3 ผมสามารถปรับปรุงการขับรถอย่างไรได้บ้างครับ

3. เวลาเบรก ผมกะระยะเบรกกับผ้าเบรก na-p ไม่ค่อยถูกครับ
แบบว่า ผมกลัวชนท้ายคันหน้า เลยกดเบรกห่างพอสมควร
ซึ่งเพื่อนที่นั่งไปด้วย ยังถามเลยว่า ทำไมเบรกห่างขนาดนั้น
(ผมมักจะทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 3 – 4 ช่วงคันรถ
ก็กดเบรกในระยะนั้นครับ ซึ่งรถผมก็จะหยุดห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 ช่วงคันรถ
ซึ่งผมรู้สึกว่า ผ้าเบรก na-p มันเป็นผ้าเบรกที่ดีนะ หยุดรถได้ดี
 แต่มันไม่ค่อยเข้ากับรถและวิธีการขับของผมเลย

ซึ่งผมควรจะ
3.1 ปรับตัวเข้าหาผ้าเบรก na-p
3.2 เปลี่ยนผ้าเบรกยี่ห้ออื่นแทน

ก็เป็นปัญหาของผมที่เกิดจากการขับรถไปต่างจังหวัดในครั้งนี้ครับ

ก็เลยอยากรบกวนถามคุณเนยรวมถึงท่านอื่นๆ หากจะแบ่งปันประสบการณ์
รวมถึงแนวทางในการแก้ปัญหา

ขอบคุณล่วงหน้าทุกท่านสำหรับคำตอบครับ
My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
เสริมนิดเดียวครับ

สภาพถนน ในแต่ละช่วง ที่ไม่เหมือนกัน อาจมีผลต่อการตอบสนองของรถแตกต่างกันได้นิดๆหน่อยๆเหมือนกันครับ

ที่เหลือ รอน้องเนยมาตอบครับ

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
ผมว่า ลองเปลี่ยนหัวข้อกระทู้ เป็นให้ทุกท่านมาช่วยตอบดีกว่า
จะได้ได้หลากหลายความคิดเห็นนะครับ ผมคนเดียวอาจจะคิดอะไรไปด้านเดียว แบบคนชอบตบมือข้างเดียว (..ไม่เกี่ยว)

อ้างถึง
คำถามคือ
1.  การวิ่งบนบูรพาวิถี ขาไปนั้น ผมใช้ความเร็วประมาร 100 - 110 กม./ ชม.
เวลาเจอโค้ง ผมชะลอความเร็วแต่ไม่แตะเบรก แต่มักเจอกระบะคันหน้า ชะลอ
จน ผมต้องแตะเบรก (ไม่งั้นผมเสียวไปชนท้ายกระบะครับ) ผมทิ้งระยะห่างจากคันหน้าน่าจะประมาณ 4-5 คันรถได้ ผมเลยสงสัยว่า แปลว่า รถผมเข้าโค้งโดยไม่สูญเสียความเร็วไปมากเหมือนรถกระบะพวกนั้นใช่ไหมครับ

ตามรูปแบบของรถ ก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วครับ
แต่จริงจริงความเร็วขณะเข้าโค้ง ขึ้นอยู่กับทักษะของคนขับด้วย ว่าเราจะพารถคันนี้เข้าโค้งนี้ได้ที่ความเร็วเท่าไหร่
แต่เข้าไม่เร็วมากดีแล้วครับ ถ้าเสียอาการแล้วจะแก้ลำบาก จำไว้ครับ "เข้าช้า ออกเร็ว" คือสูตรที่ทำให้เราไปได้เร็วและปลอดภัยที่สุด

อ้างถึง
2. แต่การวิ่งบนทางโค้งไปมา เช่นทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา ผมขับด้วยความเร็วประมาณ 60- 80 กม./ชม. เวลาเข้าโค้ง ผมมีความรู้สึกว่าท้ายรถมันจะเหวี่ยงออก ทำให้รู้สึกกลัวเลยไม่กล้าเข้าโค้งเท่าไร เทียบกับโช้คและสปริงเดิมติดรถ ที่มีระยะยุบเยอะๆ ผมยังรู้สึกมั่นใจกว่านี้
เวลาเข้าโค้ง อันนี้มันเกิดจาก

2.1 สปริงด้านหลัง แข็งกว่าสปริงเดิมหรือเปล่าครับ (สปริงหน้าค่า k ประมาณ 1.7 ส่วนสปริงหลังค่า k ประมาณ 2.0 ) ทำให้เหมือนท้ายมันจะเหวี่ยงออก

2.2 หรือโช้คกับยางมันยังอยู่ในช่วง Run In ครับ

2.3 หรือมันเกิดจากฝีมือผมที่ยังไม่ดีพอกับการขับรถบนเขาแบบนี้ครับ

หากเกิดจากข้อ 2.1 ผมควรกลับไปใช้สปริงเดิมจะดีไหมครับ
หากเกิดจากข้อ 2.2 โช้คกับยางต้องใช้เวลา run in ประมาร กี่กม. ครับ
หากเกิดจากข้อ 2.3 ผมสามารถปรับปรุงการขับรถอย่างไรได้บ้างครับ

ผมดูจากค่า K สปริงแล้ว มันไม่ได้แข็งมากนะครับ แข็งกว่าของติดรถแต่ไม่ได้มากมายอะไร
ถ้าว่ากันไปแล้ว รถแต่งทั่วไปที่มีน้ำหนักมากกว่า City ZX มีค่า K ล่อกันที่ 6-10 ด้วยซ้ำไป อย่าง Jazz One Make Race นี่ค่า K 14 เลยนะ

เวลาเราเปลี่ยนช่วงล่างมา ความรู้สึกของรถจะเปลี่ยนไปมากอยู่แล้วครับ
นี่ยิ่งพร้อมกับยางชุดใหม่ด้วย รถอาจจะตอบสนองเราได้ต่างไปจากเดิมพอสมควร

กรณีนี้ ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวที่คุณว่ามาแหละ ยางใหม่ โช้คใหม่ อาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก
ลองให้วิ่งไประดับ 500 กม. ขึ้นไป อาจจะเห็นอะไรที่ดีขึ้นและกลมกล่อมขึ้นก็เป็นได้
จริงจริง ผมอยากจะให้ลองปรับตัวและเรียนรู้ไปกับมันมากกว่า เพราะอาจจะเป็นว่าพอรถไม่เอียง
เลยทำให้เรารู้สึกว่าท้ายพร้อมจะหลุดก็เป็นได้

อีกอย่างนึงที่ต้องบอกไว้คือ รถหลายคันพอโหลดต่ำ พร้อมกับทำช่วงล่างให้แข็งขึ้นแล้ว
มีโอกาสที่จะทำให้ด้านท้ายนั้นหลุดออกง่ายกว่าเดิม ผลส่วนนึงมากจากช่วงล่างที่มีระยะทำงานน้อยลง Re-act กับพื้นถนนเร็วขึ้น
จนบางที เมื่อเจอถนนที่เป็นรอนคลื่น หรือขรุขระไม่เรียบ ล้อจะเกิดอาการ Hopping หรือกระโดดลอยจากพื้นสั้นสั้น ทำให้เสียอาการได้
และอีกส่วนหนึ่งมาจาก Grip ด้านหน้าที่เพิ่มมากขึ้นมาก จนเปลี่ยนบุคลิกจากรถที่จะ Understeer กลายเป็น Oversteer ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจจะเป็นที่โช้คยังใหม่ ยังทำงานไม่เข้าที่นัก ลองให้มันได้ขยับตัวจนลูกสูบและวาล์วต่างต่างทำงานสักพัก น่าจะดีขึ้นครับ

ยังไงก็ตาม ผมขอเน้นว่าเราต้องเรียนรู้จากอาการของรถ แล้วเปลี่ยนวิธีการขับใหม่ครับ
อย่างที่ว่าไปข้างบน ถ้าปกติเป็นคนชอบมาเร็ว ใช้ความเร็วหน้าโค้งสูง ผมว่าควรจะแก้ใหม่โดยการชะลอความเร็วลง
แล้วเร่งออกจากโค้งเมื่อผ่านจุด Apex ไปแล้วแทน รถจะมั่นคงขึ้น ไปได้เร็วขึ้น และปลอดภัยขึ้นครับ

อ้อ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ช่วงล่างเดิมหรอกครับ
ผมมั่นใจว่าช่วงล่างชุดใหม่สามารถรักษาเสถียรภาพของรถคุณได้ดีกว่าแน่นอน
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ต้องหักหลบสิ่งกีดขวาง ประเภท ขวา-ซ้าย-ขวา จะทรงตัวดีกว่าช่วงล่างเดิม
ที่พอเจอสถานการณ์เดียวกัน อาจจะหมุนขวางไปตั้งแต่จังหวะที่สองแล้วก็เป็นได้

อ้างถึง
3. เวลาเบรก ผมกะระยะเบรกกับผ้าเบรก na-p ไม่ค่อยถูกครับ
แบบว่า ผมกลัวชนท้ายคันหน้า เลยกดเบรกห่างพอสมควร
ซึ่งเพื่อนที่นั่งไปด้วย ยังถามเลยว่า ทำไมเบรกห่างขนาดนั้น
(ผมมักจะทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 3 – 4 ช่วงคันรถ
ก็กดเบรกในระยะนั้นครับ ซึ่งรถผมก็จะหยุดห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 ช่วงคันรถ
ซึ่งผมรู้สึกว่า ผ้าเบรก na-p มันเป็นผ้าเบรกที่ดีนะ หยุดรถได้ดี
 แต่มันไม่ค่อยเข้ากับรถและวิธีการขับของผมเลย

ซึ่งผมควรจะ
3.1 ปรับตัวเข้าหาผ้าเบรก na-p
3.2 เปลี่ยนผ้าเบรกยี่ห้ออื่นแทน

ปัญหานี้ แก้ด้วยวิธีการคุมน้ำหนักเบรกครับ
เบรกมีประสิทธิภาพขึ้น เราไม่จำเป็นต้องกดหนักเท่าเดิมเพื่อให้รถชะลอลง
จากที่เราเคยกดแป้นทีละลึกแล้วหนัก ก็กลายมาเป็นกดไม่ลึกแทน

ผมอยากจะบอกว่า เบรกแบบนี้จริงจริงช่วยฝึกทักษะเราเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะจากของเดิมที่ไม่ว่าจะเจออะไรขวางหน้า ก็ต้องกดซะจมกันหมด ไม่รู้จักการคุมน้ำหนักเบรก
ของใหม่นี่ Sensitive กว่ามาก ดังนั้นเราจะรู้ว่า ณ สถานการณ์ไหน เบรกยังไงจึงจะเหมาะสม
พอขับแบบนี้ไปสักพักแล้ว กลับไปเจอรถที่ใช้ผ้าเบรกเดิมคุณอาจจะเหวอเอาก็เป็นได้ ว่าทำไมมันทื่อได้ขนาดนี้
และด้วยความ Sensitive นี่แหละ จะทำให้คุณกลับไปแก้ปัญหาแตะเบรกแล้วหมุนขวางอยู่กลางโค้ง แบบกระทู้ที่แล้วได้ด้วย

เอาล่ะ จากที่ผมอ่านมาทั้งหมด ไม่โกรธกันนะครับ แต่ผมคิดว่าคุณอาจจะต้องเรียนรู้ทักษะในการขับรถอีกมาก
เพราะหลายคำถามสอดคล้องกัน และต่อเนื่องไปจนอุบัติเหตุที่เกือบจะเกิดขึ้นคราวที่แล้วด้วย
ผมเข้าใจว่า คุณอาจจะขับรถค่อนข้างเร็ว เข้าโค้งเร็ว และเบรกทีละมากมาก ซึ่งมันอาจจะสาแก่ใจ แต่ทำให้รถเสียอาการง่ายด้วย

การเรียนรู้อาการของรถ และรู้จักรับมือกับมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เพราะรถแต่ละคันในโลกตอบสนองต่างกันไม่มากก็น้อย
เวลาจะขับเร็วอยากให้คิดอย่างนึงครับ ว่ารถก็เหมือนขวดน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งนึงวางตามแนวนอน
เราจะขับรถได้ดี ก็ต่อเมื่อทำให้น้ำในนั้นกระฉอกน้อยที่สุด ไม่ใช่เร่งแรงน้ำทะลักไปท้ายขวด เบรกหัวทิ่มน้ำพุ่งมาตรงฝาขวด
เข้าโค้งทีสาดกันไป น้ำก็เทไหลรวมไปข้างนึง พอเข้าทางตรงสะบัดพวงมาลัยกลับ น้ำในขวดทะลักทะเล้นวิ่งพล่านไปกันหมด
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถควบคุมให้รถวิ่งไปได้อย่างลื่นไหล คิดเป็นน้ำในขวดก็ไม่ให้มันกระฉอกไปมาอย่างรุนแรงได้
เมื่อนั้นเองเราก็จะถือว่าเป็นคนที่มีทักษะการขับรถที่ดีขึ้น แถมยังปลอดภัยมากขึ้นและไปได้เร็วขึ้นอีกด้วยครับ

ดังนั้น ใช้อะไรก็ตามที่มีอยู่บนรถต่อไปก่อนครับ แล้วเรียนรู้กับมันไป
ถึงเวลาถ้าคิดว่าอยากเพิ่มเติมอะไร ก็ใส่เข้าไปอีกชิ้นแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
นี่แหละ คือความสนุกของการแต่งรถ และได้เรียนรู้ไปกับมัน ทีละชิ้น ทีละก้าว ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 15, 2011, 23:20:20 โดย Nuay@Protege »

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
ก็ขอบคุณคุณเนยมากครับ
ที่ช่วยอธิบาย
และช่วยชี้ถึงจุดที่ผมควรปรับปรุง

ยอมรับครับว่า
ทักษะในการขับรถของผมยังไม่ดีนัก
พยายามหาความรู้จากหลายๆ ที่
เพื่อปรับปรุงในส่วนที่คิดว่าตัวเองยังด้อยอยู่ครับ


จะพยามยามในการเรียนรู้อาการของช่วงล่างใหม่
บวกกับฝึกการเข้าโค้ง ด้วยหลัก "เข้าช้า ออกไว"
และฝึกการคุมน้ำหนักเท้าในการเหยียบเบรคให้ดีขึ้นกว่านี้ครับ

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำตอบครับ

หากมีท่านใดมีคำแนะนำใดเพิ่มเิติม ก็ยินดีครับ
My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
เห็นด้วยกับคุณเนยครับ

สปริงหลัง+โช๊คหลังแข็ง ดีดตัวมากๆ
พอช่วงที่รถเข้าโค้ง เจอสภาพถนนไม่ดี
แทนที่โช๊ค+สปริงจะให้ตัวไปกับถนน กลับกลายเป็นแข็ง
และดีดให้ลอยขึ้น ทำให้เสียจังหวะ กลายเป็นท้ายกวาดออก

รถขับหน้า ให้มันUnder จะคุมง่ายกว่าครับ
ผมเคยเซตสปริงหลัง+สตรัสแบบหลังแข็งกว่าหน้า
พอ Over ก็แก้อาการคล้ายๆขับหลัง(แต่ทำกับขับหน้า)
หลังจากนั้น รีบขับไปแก้เลยครับ อันตรายมากๆ(รถเป๋ไปเป๋มา)
ถ้า Over เกิดขึ้นกับรถขับหน้า แก้อาการยากกว่าขับหลัง Over ครับ
ถึงแก้ได้ ก็ไม่สวยงามเหมือนขับหลัง และอันตรายด้วยครับ

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
ผมเพิ่งจะเข้ามาอ่านอีกที

แล้วเพิ่งจะสังเกตว่า สปริงหน้าค่า k 1.7 แต่หลัง 2.0
ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะครับ? รถ City ZX สปริงหน้าต้องแข็งกว่าสปริงหลังนะ
ผมว่าเนี่ยแหละคือตัวการ ที่ทำให้ท้ายรถออกอาการปัดได้ง่ายขึ้น

แปลกว่าทำไม Tanabe ถึงออกสเปคมาแบบนี้ แล้วนี่หวังจะให้ลูกค้านำไปใช้กับโช้คเดิม
ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาใช้กับสปริงหน้าที่นุ่มกว่าหลัง มันจะไปวิ่งดีได้ยังไงกันล่ะ
แปลกใจครับ แปลกใจมากมาก

ออฟไลน์ NineKlao

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,907
  • ชีวิตไม่ได้เป็นดังที่คิด ก็มันคือชีวิตนี่
ผมเพิ่งจะเข้ามาอ่านอีกที

แล้วเพิ่งจะสังเกตว่า สปริงหน้าค่า k 1.7 แต่หลัง 2.0
ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะครับ? รถ City ZX สปริงหน้าต้องแข็งกว่าสปริงหลังนะ
ผมว่าเนี่ยแหละคือตัวการ ที่ทำให้ท้ายรถออกอาการปัดได้ง่ายขึ้น

แปลกว่าทำไม Tanabe ถึงออกสเปคมาแบบนี้ แล้วนี่หวังจะให้ลูกค้านำไปใช้กับโช้คเดิม
ซึ่งไม่ได้ออกแบบมาใช้กับสปริงหน้าที่นุ่มกว่าหลัง มันจะไปวิ่งดีได้ยังไงกันล่ะ
แปลกใจครับ แปลกใจมากมาก
อ่างนิดน่ะ
รถผมmazda3 5d 2.0 โชคkoni sportสีเหลืองปรับความหนืดได้เฉพาะด้านหน้า
สปีชtanabe nf210 ล้อ17x7 ยาง205/50r17 ml pilotsport3 คล้ายกัน
ยางตัวนี้แก้มนิ่ม เวลาเข้าจะรู้สึกว่าย่วยหน่อย แต่มันเกาะถนนอยู่
โช้คผมปรับให้ด้านหน้านิ่มกว่าหลัง เพื่อจิกเข้าโค้งได้นิ่งกว่าปรับแข็ง
สปิงจะยุบตัวช่วงแรกมากหน่อยเพราะเน็นสบาย แต่ถึงจุดนึงมันจะหยุดโช้คได้
แต่มอนโล หน้าจะแข็งกว่าเดิหน่อย ส่วนท้ายพอๆกับเดิม
จังหวะมันช้าไปนิด ต้องลองrefex จะหนิบกว่าครับ
แต่ต้องให้เวลาช่วงล่างปรับตัวซัก1000โลครับ

ออฟไลน์ น้าเดช

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 203
  • my step on the earth
เห็นด้วยกับ เนยครับ หน้าควรจะมีค่า k ที่มากกว่าหลังนิดนึงครับ เวลาเบรค น้ำหนักส่วนใหญ่จะถูกถ่ายไปที่โชคคู่หน้า เพื่อให้เกิด down force จิกด้านหน้าตัวรถครับ ซึ่งถ้าค่า k ด้านหน้าน้อยกว่า น่าจะเกิดอาการ oevr steer ได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 12:54:08 โดย Lung Tung »
Smooth l Head l!ght mag l

ออฟไลน์ GUDJA-MAN

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,649
พวก jazz gd ด้านหน้าค่า k ก็น้อยกว่าด้านหลังครับ

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
ตอบคุณเนยครับ
ก่อนผมซื้อ สปริง tanabe nf210 ก็ลองหาข้อมูลดู
ผมเลยก็อปมาให้อ่านครับ
แต่ผมจำไม่ได้ว่ามาจากเว็บไหน
เพราะก็อบเป็นไฟล์ word ไว้ครับ
ต้องขอโทษด้วยครับ
ที่ใส่เครดิตให้ไม่ได้


1. Tanabe NF210 ข้างหน้าเตี้ยลง 25-35mm ข้างหลังเตี้ยลง 40-50mm ค่า K ข้างหน้า 1.7 หลัง 2.0
2. Tein H-Tech    ข้างหน้าเตี้ยลง 25 mm     ข้างหลังเตี้ยลง 30mm      ค่า K ข้างหน้า 2.1 หลัง 2.3
จะเห็นว่าข้างหน้าเตี้ยลงพอๆกัน แต่ข้างหลังของ Tanabe NF210 จะเตี้ยกว่าของ Tein H-Tech ส่วนค่าสปริงยิ่งมีค่ามาก
สปริงก็ยิ่งแข็งขึ้น ระยะยืดหยุ่นน้อยลง แสดงว่า Tanabe NF210 น่าจะนุ่มกว่า Tein H-Tech

3. Tanabe DF210 ข้างหน้าเตี้ยลง 35-45mm ข้างหลังเตี้ยลง 50-60mm ค่า K ข้างหน้า 1.7 หลัง 2.0
4. Tein S-Tech    ข้างหน้าเตี้ยลง 35mm      ข้างหลังเตี้ยลง 40mm      ค่า K ข้างหน้า 2.3 หลัง 2.4
จะเห็นว่าข้างหน้าเตี้ยลงพอๆกัน(อีกแล้ว) แต่ข้างหลังของ Tanabe DF210 เตี้ยกว่าของ Tein S-Tech (อีกแล้ว)
สรุปว่า Tein H-Tech เตี้ยลงน้อยที่สุดแล้วก็ตามด้วย Tanabe NF210, Tein S-Tech และ Tanabe DF210 เตี้ยลงมากที่สุด แต่สปริงของ Tanabe จะนุ่มกว่า Tein



ตอบคุณ nineklao ครับ

ก่อนผมซื้อโช้คมอนโร ก็คุยกับตัวแทนจำหน่ายแล้วครับ
ทางนั้นบอกว่า ไม่มีรุ่น Reflex สำหรับ City zx ครับ

ผมบรรยายอาการเรืื่องโช้คไม่เก่งนะครับ
เอาเป็นความรู้สึกแล้วกัน

1. โช้คเดิม+สปริงเดิม+ล้อ 15 นิ้ว + ยาง re001 195/55/15 นุ่มดีที่ความเร็วต่ำ แต่ความเร็วเกิน 120 กม. รู้สึกว่าพวงมาลัยนิ่ง แต่รถไม่นิ่งเท่าไร

2. โช้คเดิม+สปริง tanabe nf210 + ยาง re001 195/55/15 ความนุ่มไม่ต่างจากเดิมมากนัก
รถเตี้ยลง เหมือนจะเกาะถนนขึ้นนิดหน่อย เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง แต่ถ้าเจอถนนแย่ๆ รถเด้งหลายที
เพราะสปริงแข็ง แต่โช้คเดิมนิ่ม ทำให้โช้ครั้งการเต้นของสปริงไม่ได้

3. โช้ค Monroe original +สปริง tanabe nf210 + ยางมิชลิน pilot sport 3 195/55/15
3.1 จากความรู้สึกเทียบกับยาง re001 ตอนที่เคยใช้ใหม่ๆ เลย ผมว่ามิชลิน pilot sport 3 นุ่มและเงียบกว่า
RE001 ครับ
3.2 โช้ค Monroe original แข็งขึ้นกว่าโช้คเดิมประมาณ 20 – 30 % (ตามที่คนขายว่าไว้)
ทำให้โช้คหยุดการเต้นของสปริงได้ (แต่ผมไม่แน่ใจว่า โช้ค Monroe original มาจับกับสปริง
Tanabe nf210 ถือว่าเหมาะสมหรือยังครับ)
การทรงตัวโดยรวมดีขึ้น ตอนเร่งแซงที่ความเร็วจาก 120 ไปที่ 140 – 150 กม. รถก็ยังนิ่งอยู่
(ไม่นับกระแสลมแรงที่ปะทะด้านข้างบนบูรพาวิถี)

คำถามที่อยากถามคุณเนยเพิ่มก็คือ

จากที่คุณเนยกล่าวไว้
“รถ City ZX สปริงหน้าต้องแข็งกว่าสปริงหลังนะ
ผมว่าเนี่ยแหละคือตัวการ ที่ทำให้ท้ายรถออกอาการปัดได้ง่ายขึ้น”

และจากข้อมูลค่า k ของสปริงที่ผมหามาด้านบนนั้น (ถ้าข้อมูลเหล่านี้ไม่คลาดเคลื่อนนะครับ)
เห็นได้ว่า แม้แต่สปริงของ tein
ค่า k ของสปริงด้านหลังก็จะมากกว่าด้านหน้า

ดังนั้นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของผม ในเรื่องรถออกอาการท้ายปัดได้ง่ายขึ้น
ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ

ที่ผมลองคิดดู

1. ใช้โช้ค Monroe original แต่กลับไปใช้สปริงเดิมติดรถ
2. หาสปริงโหลดใหม่ ที่ค่า k ด้านหน้า มากกว่าด้านหลัง
3. ไม่ต้องทำอะไร พยายามปรับตัวเข้าหารถดีกว่า

ขอบคุณล่วงหน้าทุกท่านสำหรับคำแนะนำครับ

หากมีท่านใด แม้จะไม่ใช่คุณเนย มีคำแนะนำใดๆ ก็ตามที่เป็นประโยชน์
ก็ยินดีน้อมรับไว้ครับ
เพื่อนำไปปรับปรุงทั้งคนขับและรถ

ขอบคุณครับ



My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
เรื่องสปริง มันละเอียดอ่อนครับ

บางคัน บางรุ่น มันไม่เหมือนกันเลยจริงๆ
ของผมเอง สปริงหน้าก็นิ่มกว่าหลัง(Tein)
แต่เนื่องจากขดสปริงหน้ายาวกว่า
คาดว่าน่าจะเพื่อรองรับน้ำหนักเครื่องยนต์ครับ

เคยอ่านหนังสือรถเล่มนึง
รถที่ทดสอบ น้ำหนักล้อหน้า 400กว่าโลทั้ง2ข้าง
แต่ล้อหลัง 2ข้าง น้ำหนักข้างนึงเกือบ200 ในขณะที่อีกข้าง100นิดๆเอง

บางครั้งบางที เราจะสังเกตุว่าโค้งซ้าย โค้งขวา มันไม่เท่ากัน
รถคันนี้ เข้าโค้งซ้ายได้ที่ความเร็ว100 แต่โค้งขวาอาจจะได้มากกว่านิดหน่อย
มันแล้วแต่ครับ

ออฟไลน์ LimitedEdition

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,410
เห็นด้วยกับคุณ YenChar ครับ

ผมคิดว่า การคำนวณค่า K จากสำนักแต่งทั้งหลาย ใช้วิศวกรและผ่านการทดสอบมากมาย กว่าจะสรุปออกมาให้เหมาะสมสำหรับรถแต่ละคันได้
ดังนั้น ความเข้าใจของผมว่า สปริงหน้าน่าจะแข็งกว่าหลัง อาจจะเป็นสิ่งที่รถส่วนใหญ่เป็น แต่ก็มีบางกลุ่มที่ต้องเซ็ทค่าให้แตกต่างก็เป็นได้

ถ้าตามนี้แล้ว ผมแนะนำว่าใช้ไปแบบนี้ แล้วเรียนรู้มันไปครับ
รอให้โช้คทำงานเข้าที่กว่านี้ก่อน เพราะมันยังใหม่อยู่
พอมันพ้นช่วง run-in ไปแล้ว น่าจะมีอาการที่นุ่มนวลขึ้น และทรงตัวดีขึ้นครับ

ออฟไลน์ redsun

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,101
จริงๆแล้วรถเป็นอย่างไรก็ต้องขับได้ทุกรูปแบบครับ (ถ้าล้อไม่หลุดรถไม่พัง)
เพียงแต่เราต้องรู้จักนิสัยและข้อจำกัดของรถเราให้มากขึ้นอ่ะครับ