ผมว่า ลองเปลี่ยนหัวข้อกระทู้ เป็นให้ทุกท่านมาช่วยตอบดีกว่า
จะได้ได้หลากหลายความคิดเห็นนะครับ ผมคนเดียวอาจจะคิดอะไรไปด้านเดียว แบบคนชอบตบมือข้างเดียว (..ไม่เกี่ยว)
คำถามคือ
1. การวิ่งบนบูรพาวิถี ขาไปนั้น ผมใช้ความเร็วประมาร 100 - 110 กม./ ชม.
เวลาเจอโค้ง ผมชะลอความเร็วแต่ไม่แตะเบรก แต่มักเจอกระบะคันหน้า ชะลอ
จน ผมต้องแตะเบรก (ไม่งั้นผมเสียวไปชนท้ายกระบะครับ) ผมทิ้งระยะห่างจากคันหน้าน่าจะประมาณ 4-5 คันรถได้ ผมเลยสงสัยว่า แปลว่า รถผมเข้าโค้งโดยไม่สูญเสียความเร็วไปมากเหมือนรถกระบะพวกนั้นใช่ไหมครับ
ตามรูปแบบของรถ ก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วครับ
แต่จริงจริงความเร็วขณะเข้าโค้ง ขึ้นอยู่กับทักษะของคนขับด้วย ว่าเราจะพารถคันนี้เข้าโค้งนี้ได้ที่ความเร็วเท่าไหร่
แต่เข้าไม่เร็วมากดีแล้วครับ ถ้าเสียอาการแล้วจะแก้ลำบาก จำไว้ครับ "เข้าช้า ออกเร็ว" คือสูตรที่ทำให้เราไปได้เร็วและปลอดภัยที่สุด
2. แต่การวิ่งบนทางโค้งไปมา เช่นทางไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวศรีราชา ผมขับด้วยความเร็วประมาณ 60- 80 กม./ชม. เวลาเข้าโค้ง ผมมีความรู้สึกว่าท้ายรถมันจะเหวี่ยงออก ทำให้รู้สึกกลัวเลยไม่กล้าเข้าโค้งเท่าไร เทียบกับโช้คและสปริงเดิมติดรถ ที่มีระยะยุบเยอะๆ ผมยังรู้สึกมั่นใจกว่านี้
เวลาเข้าโค้ง อันนี้มันเกิดจาก
2.1 สปริงด้านหลัง แข็งกว่าสปริงเดิมหรือเปล่าครับ (สปริงหน้าค่า k ประมาณ 1.7 ส่วนสปริงหลังค่า k ประมาณ 2.0 ) ทำให้เหมือนท้ายมันจะเหวี่ยงออก
2.2 หรือโช้คกับยางมันยังอยู่ในช่วง Run In ครับ
2.3 หรือมันเกิดจากฝีมือผมที่ยังไม่ดีพอกับการขับรถบนเขาแบบนี้ครับ
หากเกิดจากข้อ 2.1 ผมควรกลับไปใช้สปริงเดิมจะดีไหมครับ
หากเกิดจากข้อ 2.2 โช้คกับยางต้องใช้เวลา run in ประมาร กี่กม. ครับ
หากเกิดจากข้อ 2.3 ผมสามารถปรับปรุงการขับรถอย่างไรได้บ้างครับ
ผมดูจากค่า K สปริงแล้ว มันไม่ได้แข็งมากนะครับ แข็งกว่าของติดรถแต่ไม่ได้มากมายอะไร
ถ้าว่ากันไปแล้ว รถแต่งทั่วไปที่มีน้ำหนักมากกว่า City ZX มีค่า K ล่อกันที่ 6-10 ด้วยซ้ำไป อย่าง Jazz One Make Race นี่ค่า K 14 เลยนะ
เวลาเราเปลี่ยนช่วงล่างมา ความรู้สึกของรถจะเปลี่ยนไปมากอยู่แล้วครับ
นี่ยิ่งพร้อมกับยางชุดใหม่ด้วย รถอาจจะตอบสนองเราได้ต่างไปจากเดิมพอสมควร
กรณีนี้ ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวที่คุณว่ามาแหละ ยางใหม่ โช้คใหม่ อาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก
ลองให้วิ่งไประดับ 500 กม. ขึ้นไป อาจจะเห็นอะไรที่ดีขึ้นและกลมกล่อมขึ้นก็เป็นได้
จริงจริง ผมอยากจะให้ลองปรับตัวและเรียนรู้ไปกับมันมากกว่า เพราะอาจจะเป็นว่าพอรถไม่เอียง
เลยทำให้เรารู้สึกว่าท้ายพร้อมจะหลุดก็เป็นได้
อีกอย่างนึงที่ต้องบอกไว้คือ รถหลายคันพอโหลดต่ำ พร้อมกับทำช่วงล่างให้แข็งขึ้นแล้ว
มีโอกาสที่จะทำให้ด้านท้ายนั้นหลุดออกง่ายกว่าเดิม ผลส่วนนึงมากจากช่วงล่างที่มีระยะทำงานน้อยลง Re-act กับพื้นถนนเร็วขึ้น
จนบางที เมื่อเจอถนนที่เป็นรอนคลื่น หรือขรุขระไม่เรียบ ล้อจะเกิดอาการ Hopping หรือกระโดดลอยจากพื้นสั้นสั้น ทำให้เสียอาการได้
และอีกส่วนหนึ่งมาจาก Grip ด้านหน้าที่เพิ่มมากขึ้นมาก จนเปลี่ยนบุคลิกจากรถที่จะ Understeer กลายเป็น Oversteer ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจจะเป็นที่โช้คยังใหม่ ยังทำงานไม่เข้าที่นัก ลองให้มันได้ขยับตัวจนลูกสูบและวาล์วต่างต่างทำงานสักพัก น่าจะดีขึ้นครับ
ยังไงก็ตาม ผมขอเน้นว่าเราต้องเรียนรู้จากอาการของรถ แล้วเปลี่ยนวิธีการขับใหม่ครับ
อย่างที่ว่าไปข้างบน ถ้าปกติเป็นคนชอบมาเร็ว ใช้ความเร็วหน้าโค้งสูง ผมว่าควรจะแก้ใหม่โดยการชะลอความเร็วลง
แล้วเร่งออกจากโค้งเมื่อผ่านจุด Apex ไปแล้วแทน รถจะมั่นคงขึ้น ไปได้เร็วขึ้น และปลอดภัยขึ้นครับ
อ้อ ไม่ต้องเปลี่ยนไปใช้ช่วงล่างเดิมหรอกครับ
ผมมั่นใจว่าช่วงล่างชุดใหม่สามารถรักษาเสถียรภาพของรถคุณได้ดีกว่าแน่นอน
อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ต้องหักหลบสิ่งกีดขวาง ประเภท ขวา-ซ้าย-ขวา จะทรงตัวดีกว่าช่วงล่างเดิม
ที่พอเจอสถานการณ์เดียวกัน อาจจะหมุนขวางไปตั้งแต่จังหวะที่สองแล้วก็เป็นได้
3. เวลาเบรก ผมกะระยะเบรกกับผ้าเบรก na-p ไม่ค่อยถูกครับ
แบบว่า ผมกลัวชนท้ายคันหน้า เลยกดเบรกห่างพอสมควร
ซึ่งเพื่อนที่นั่งไปด้วย ยังถามเลยว่า ทำไมเบรกห่างขนาดนั้น
(ผมมักจะทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 3 4 ช่วงคันรถ
ก็กดเบรกในระยะนั้นครับ ซึ่งรถผมก็จะหยุดห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 ช่วงคันรถ
ซึ่งผมรู้สึกว่า ผ้าเบรก na-p มันเป็นผ้าเบรกที่ดีนะ หยุดรถได้ดี
แต่มันไม่ค่อยเข้ากับรถและวิธีการขับของผมเลย
ซึ่งผมควรจะ
3.1 ปรับตัวเข้าหาผ้าเบรก na-p
3.2 เปลี่ยนผ้าเบรกยี่ห้ออื่นแทน
ปัญหานี้ แก้ด้วยวิธีการคุมน้ำหนักเบรกครับ
เบรกมีประสิทธิภาพขึ้น เราไม่จำเป็นต้องกดหนักเท่าเดิมเพื่อให้รถชะลอลง
จากที่เราเคยกดแป้นทีละลึกแล้วหนัก ก็กลายมาเป็นกดไม่ลึกแทน
ผมอยากจะบอกว่า เบรกแบบนี้จริงจริงช่วยฝึกทักษะเราเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะจากของเดิมที่ไม่ว่าจะเจออะไรขวางหน้า ก็ต้องกดซะจมกันหมด ไม่รู้จักการคุมน้ำหนักเบรก
ของใหม่นี่ Sensitive กว่ามาก ดังนั้นเราจะรู้ว่า ณ สถานการณ์ไหน เบรกยังไงจึงจะเหมาะสม
พอขับแบบนี้ไปสักพักแล้ว กลับไปเจอรถที่ใช้ผ้าเบรกเดิมคุณอาจจะเหวอเอาก็เป็นได้ ว่าทำไมมันทื่อได้ขนาดนี้
และด้วยความ Sensitive นี่แหละ จะทำให้คุณกลับไปแก้ปัญหาแตะเบรกแล้วหมุนขวางอยู่กลางโค้ง แบบกระทู้ที่แล้วได้ด้วย
เอาล่ะ จากที่ผมอ่านมาทั้งหมด ไม่โกรธกันนะครับ แต่ผมคิดว่าคุณอาจจะต้องเรียนรู้ทักษะในการขับรถอีกมาก
เพราะหลายคำถามสอดคล้องกัน และต่อเนื่องไปจนอุบัติเหตุที่เกือบจะเกิดขึ้นคราวที่แล้วด้วย
ผมเข้าใจว่า คุณอาจจะขับรถค่อนข้างเร็ว เข้าโค้งเร็ว และเบรกทีละมากมาก ซึ่งมันอาจจะสาแก่ใจ แต่ทำให้รถเสียอาการง่ายด้วย
การเรียนรู้อาการของรถ และรู้จักรับมือกับมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เพราะรถแต่ละคันในโลกตอบสนองต่างกันไม่มากก็น้อย
เวลาจะขับเร็วอยากให้คิดอย่างนึงครับ ว่ารถก็เหมือนขวดน้ำที่มีน้ำอยู่ครึ่งนึงวางตามแนวนอน
เราจะขับรถได้ดี ก็ต่อเมื่อทำให้น้ำในนั้นกระฉอกน้อยที่สุด ไม่ใช่เร่งแรงน้ำทะลักไปท้ายขวด เบรกหัวทิ่มน้ำพุ่งมาตรงฝาขวด
เข้าโค้งทีสาดกันไป น้ำก็เทไหลรวมไปข้างนึง พอเข้าทางตรงสะบัดพวงมาลัยกลับ น้ำในขวดทะลักทะเล้นวิ่งพล่านไปกันหมด
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราสามารถควบคุมให้รถวิ่งไปได้อย่างลื่นไหล คิดเป็นน้ำในขวดก็ไม่ให้มันกระฉอกไปมาอย่างรุนแรงได้
เมื่อนั้นเองเราก็จะถือว่าเป็นคนที่มีทักษะการขับรถที่ดีขึ้น แถมยังปลอดภัยมากขึ้นและไปได้เร็วขึ้นอีกด้วยครับ
ดังนั้น ใช้อะไรก็ตามที่มีอยู่บนรถต่อไปก่อนครับ แล้วเรียนรู้กับมันไป
ถึงเวลาถ้าคิดว่าอยากเพิ่มเติมอะไร ก็ใส่เข้าไปอีกชิ้นแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
นี่แหละ คือความสนุกของการแต่งรถ และได้เรียนรู้ไปกับมัน ทีละชิ้น ทีละก้าว ครับ