Review Volkswagen Scirocco 2.0 TSI by User
มาแล้วจ้า ... ตามคำสัญญา
ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เรื่องราวและที่มาของการที่ผมตัดสินใจเลือกเจ้าพายุน้อยคันนี้มาเป็นพาหนะคู่กาย ก่อนอื่นขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับถ้าภาพไม่สวย เพราะ
ถ่ายรูปไม่เก่งแถมกล้องก็ธรรมดาๆ เข้าเรื่องกันเลยนะครับ...แรกเริ่มเดิมทีก่อนมาครอบครอง Scirocco คันนี้ ตัวผมเองใช้ Civic FD2.0 มาก่อน ทำให้Review นี้อาจจะ
มีการเปรียบเทียบความแตกต่างของเจ้า Scirocco กับ Civic FD2.0 ซึ่งน่าจะมีจุดที่หลายๆท่านคงอยากทราบนั้นคือ อัตราการกินน้ำมันระหว่าง 2.0NA กับ 2.0Turbo
ว่า...ถ้าต่างกันที่รถแต่คนขับคนเดียวกัน เส้นทางเดียวกัน ในการใช้งานจริง มันจะกินน้ำมันต่างกันมากน้อยขนาดไหน ... CivicFD2.0เติมโซฮอล95 ผมใช้อยู่ 7-10โล
ลิตร ส่วนเจ้าพายุน้อยSciroccoจากการใช้งานจริงกินอยู่เท่าไหร่ลองอ่านดูช่วงท้ายนะครับ
2.0NA vs 2.0Turbo
ตัวผมเองในตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเจ้าพายุน้อยคันนี้มาก่อน เนื่องจากใช้ CivicFD2.0 อยู่และเป็นรถคันแรกที่ซื้อด้วยตัวเองทำให้ภูมิใจและอยากใช้งานไป
นานๆ เป็นที่รถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน Concept ในการเลือกซื้อรถสำหรับผม เริ่มต้นมองอัตราเร่งที่ดีมาเป็นอันดับต้นๆ ตามด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม อัตรากินน้ำมันที่
ไม่โหดร้ายจนเกินไป(7km/L+) การซ่อมบำรุงที่ไม่ยุ่งยากมากนัก ปรับแต่งเพิ่มเติมได้(รวมถึงการทำให้รถแรงขึ้น) รวมถึงใช้งานในชีวิตประจำวันได้(ขับทุกวัน)
เจ้าFDคันโปรดแต่งไปพอสมควรไม่เน้นสวยมากเน้นขับสนุก
หลังจากใช้งานเจ้า CivicFD อยู่หลายปี ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้งานและการปรับแต่งรถอยู่พอสมควร จาก Concept ในการเลือกรถของผม ทำให้เริ่มมี
ความอยากจะให้เจ้า CivicFD2.0 ของผมแรงขึ้น!!! ตัวเลือกที่นิยมกันคงไม่พ้นการวางเครื่องใหม่ โดยเฉพาะ
K20A FD TypeR 225แรงม้า เพื่อนๆพี่ๆที่รู้จักกันก็เริ่มมีลง
กันบ้าง ก็ได้แรงกันสมใจ ส่วนตัวผมเองอยากได้ความแรงแบบนั้นบ้างแต่เริ่มรู้สึกว่า... นอกจากความแรงแล้วอยากได้ความหล่อที่ดูเป็นแนวสปอร์ตมากขึ้นจากBody
รถด้วย
ถ้าไม่ได้เจอกับ Scirocco คงหันมาคบกับเครื่องยนต์ตัวนี้
จากนั้นทำให้ผมเริ่มมองตัวเลือกใหม่นั้นคือ การซื้อรถใหม่ ณ ตอนนั้นเริ่มมองๆไว้หลายรุ่น ตั้งแต่ 350z , Impreza , Evo , DC5 , RX8 รวมถึงค่ายยุโรปอย่าง
320d , CooperS แต่Conceptเดิมบวกกับโตขึ้นทำให้เริ่มให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองรวมถึงค่าน้ำมันมากขึ้น เพราะตั้งใจจะว่าต้องเป็นรถที่ใช้ขับทุกวันได้
แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน
ในตอนนั้นไม่ได้มี Scirocco มาอยู่ในหัวเลย จนได้มีโอกาสเห็น Review ของพี่จิมมี่ ช่วงนั้นอ่านผ่านๆไม่ได้อ่านละเอียด ทำให้รู้สึกว่า น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี
แต่ก็ไม่ได้โดนใจอะไรมาก เพราะด้วย Spec ของ Scirocco แล้ว มองผ่านๆ เหมือนจะไม่มีอะไรมากกับตัวเลขแรงม้า 210ตัว แรงบิด 280nm จากเครื่อง 2.0
พ่วงเทอร์โบ....
จนกระทั่ง!!!แวะมาดูเจ้าพายุน้อยหลังจากนั่งเรือมาจากแดนไกลสู่ไทย
โชคชะตาก็พามาเจอกับ Scirocco อีกรอบ ณ ห้างแห่งหนึ่ง มีจัด mini motorshow มีหลายค่ายมาเปิดบูธรวมถึง VW ด้วย ผมมองๆจับๆ Scirocco อยู่พักนึงมีเซล
ท่านนึงเดินมาชวนลอง Test drive ผมตอบตกลงง่ายราวกับโดนยาเสน่ห์ หลังจากผมได้ลอง test Scirocco บนทางด่วน 1 รอบ...แต่นั้นทำให้ผมหลงรัก Scirocco
โดยไม่รู้ตัว
จากวันนั้นทำให้ผมคิดถึงเจ้า Scirocco อยู่ทุกวัน และในระหว่างนั้นก็เริ่มเก็บข้อมูลจากหลายๆท่านที่ใช้ Scirocco อยู่ ทำให้ยิ่งมั่นใจว่า เจ้าพายุน้อยนี่แหละ เนื้อคู่ผม
บั้นท้ายดูน่ารัก...ตรงข้ามกับนิสัยเครื่องยนต์
หลายท่านคงได้ยินและได้รู้จักเจ้า Volkswagen Scirocco 2.0 TSI ตัวนี้มาบ้างพอสมควร ในบ้านเราจะมีรุ่น TSI ที่ศูนย์นำเข้ามาขายกับ Scirocco R ที่ตัวแทน
อิสระนำมาขาย ความแตกต่างเบื้องต้นที่ผมลังเลอยู่ช่วงแรกคือ จะเลือกตัวไหนดี เพราะตัว TSI มี 210แรงม้ากับ 280nm ในขณะที่
Scirocco R มีม้ามาให้ถึง 265ตัว
กับแรงบิดระดับ 350nm ความต่างอาจจะมีหลายส่วนแต่ที่สังเกตุง่ายสุดคือ เทอร์โบ ครับ ตัว R จะเป็น
เทอร์โบK04ลูกใหญ่กว่า TSI ที่ใช้ K03 แต่ที่น่าสังเกตุคือ
รหัสเครื่องยนต์ของตัว R จะเป็น EA113(รุ่นเก่า) ในขณะที่ TSI เป็น EA888(รุ่นใหม่) ทำให้การปรับแต่งหลายๆอย่างเท่าที่ทราบมาคือตัว EA888 จะปรับแต่งได้ไกล
กว่า (ผิดพลาดประการใดรบกวนผู้รู้ช่วยแก้ไขให้ด้วยนะครับ) ผมจึงเลือกตัว TSI ตัว Top จากศูนย์ เพื่อความสะบายในการใช้งานในชีวิตประจำวัน
บวกกับมีช่องทาง
ทำให้ TSI แรงได้เทียบเท่าหรือมากกว่า R (ติดตามช่วงท้าย)
TSI เลขสุดที่ 280 ถ้าเป็นตัว R จะเป็น 300km/h
=== เครื่องยนต์ === เริ่มจากที่มาของสมรรถนะของ Scirocco2.0TSI คันนี้มาจาก เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,984 cc รหัส EA888 พร้อมพ่วงเทอร์โบตัวน้อยรหัส
K03 (เป็นเครื่องยนต์พื้นฐานเดียวกับที่ใช้ใน Golf GTI , Audi TT และหลายๆรุ่นของ AudiและVolkswagen ที่เป็น 2.0 Turbo) สามารถผลิตพละกำลังได้
210 แรงม้าที่ 5,100-6,000รอบต่อนาที
แรงบิด 280 Nmที่ 1,700-5,000รอบต่อนาที ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยระบบเกียร์สุดฉลาด
DSG 6 speed คลัชคู่เปลี่ยนเกียร์เร็ว
มากๆ(เทียบกับรถระดับเดียวกัน)เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ใช้กันในเครือ Volkswagen และ Audi สามารถเติมโซฮอล95 ได้ปกติ(ทุกวันนี้เติมอยู่อย่างเดียว)
=== มิติ === เมื่อเทียบกับ CivicFD เดิมเท่าที่จำได้ Scirocco ความยาวตัวรถจะสั้นกว่าประมาณ 1 ฟุต แต่เตี้ยและกว้างกว่านิดนึง ตัว Scirocco เองอยู่ที่
4,256(ยาว)x1,810(กว้าง)x1,410(สูง) มม.ความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,575 มม. ระยะห่างล้อคู่หน้า 1,569 มม. คู่หลัง 1,575 มม. *มิติจากโบชัวร์ของศูนย์
ใส่สปริงโหลด เตี้ยลงมา 20mm ลดระยะห่างระหว่างยางกับซุ้มได้ดีเลยทีเดียว
อีกมุม...ความสูงระดับนี้ขึ้นห้างไปที่ต่างๆได้สบายครับ เน้นใช้งานได้ทุกวัน วิ่งงานหลายที่ได้
มองจากด้านหลังท้ายมนๆ
ทำสีดำที่ดิฟหลังเพิ่ม
ล้อและยางจากโรงงานให้มาเป็น Pirelli 235 - 40 - 18 ทั้ง 4 ล้อ
ขอบประตูมียางกันกระแทกอย่างดี สังเกตุผิวของสีใต้ขอบยางจะเป็นผิวขรุขระเพื่อง่ายต่อการทำความสะอาดสีผิว
ม่านบังแดดหลังคาแก้ว & ปุ่มเปิด/ปิด
เลื่อนม่านออก ใสกริ๊ง ติด V kool VK40 เปิดม่านกับปิดม่านความร้อนต่างกันพอรู้สึกได้
แง้มสุดได้พอให้ระบายอากาศ (ตอนวิ่งในสนามละปิดแอร์รู้สึกมีประโยชน์อยู่)
มาดูภายในกันบ้างเริ่มจากพวงมาลัยและหน้าจอแสดงค่าต่างๆ
อันนี้ตอนกลางคืน
เกียร์ DSG 6 speed ชิพเกียร์เองได้ที่คันเกียร์และพวงมาลัย(เหมือนเล่นเกม)
ชิพเกียร์เองที่พวงมาลัย ด้านซ้ายเครื่องหมาย - ลดเกียร์
ฝั่งขวาเคร่ืองหมาย + เพิ่มเกียร์
ปุ่มปรับไฟหน้า
ห้องโดยสาร
ปุ่มระบบควบคุมเสถียรภาพรถ ESP (Electronics Stability Program)และช่วงล่างไฟฟ้าDCCปรับ 3 ระดับ
ที่จับประตูทรงสุดเก๋
แผงควบคุมแอร์อัตโนมัติพร้อมปรับอุณภูมิแยกซ้ายขวา กับเครื่องเสียงคุณภาพดี(ใช้ได้เลย)
เบาะทรงสปอร์ตมีให้เลือกสีดำกับสีเบส ฝั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า
อีกมุม (มืดไปหน่อย >_<)
เบาะสปอร์ตทั้งคู่หน้าและคู่หลัง
ไฟท้ายตอนกลางคืน
ท้ายอีกมุม
บรรยากาศในการขับ
หลังจากได้มีโอกาสลองกดเต็มๆ จากที่เซลลองพาไปลอง test บนทางด่วน ( ผม + เซลอีก 2 ) ก็ได้พอสัมผัสถึงแรงดึงจากแรงบิดที่ล้อคู่หน้าถ่ายทอดลงพื้นนั้น ลากไป 230km/h สร้างความประทับใจให้ผมมากๆ
พอได้มาเป็นจับจองเป็นเจ้าของพายุน้อย Scirocco คันนี้รู้สึกว่า "ไม่ผิดหวัง" ทั้งเรื่องของการทรงตัว ช่วงล่าง เบรค เสียงเครื่องยนต์ การเก็บเสียงห้องโดยสาร การออกแบบภายใน และแน่นอนมีสิ่งที่ผมไม่ประทับใจเลยอยู่เช่นกัน แต่เป็นสิ่งที่ไม่ประทับใจแต่ผมรับได้ นั้นคือ กระจกข้างต้องพับด้วยมือ กับ ไม่มี Cruise Control (น่าจะติดเพิ่มได้) แน่นอนสิ่งที่สร้างความประทับใจให้ผม คือ "อัตราเร่ง" นั้นคือเป้าหมายหลักที่ผมต้องการ อัตราเร่งจากรถยุโรปเดิมๆจากโรงงานที่นอกจาก Audi TT (แน่นอนหละใช้เครื่องและเกียร์พื้นฐานเดียวกัน) ในราคาไม่เกิน 4 ล้าน(หรืออาจมากกว่านั้น)มากิน Scirocco ค่อยข้างยาก สิ่งที่ทำให้ Scirocco คึกคักได้ขนาดนั้นก็คงต้องยกความดีความชอบให้ทาง Volkswagen ที่ออกแบบเครื่องและเกียร์ให้ทำงานสัมพันธ์กันได้ลงตัวมากๆ นอกจากเครื่องยนต์ที่ทันสมัย ยังคงต้องมีเกียร์ที่ชาญฉลาดในการบรรจงถ่ายทอดกำลังจากเครื่องสู่ล้อ ด้วยการทำงานแบบครัชคู่และระบบการทำงานของ DSG นั้น การเปลี่ยนเกียร์ถือว่าเร็วมาก บางท่านที่ได้สัมผัสกับการทำงานของเกียร์ชุดนี้ ถึงกับบอกว่า "เปลี่ยนเร็วกว่า สับเอง(เกืยร์MT)อีก" แต่ก็ขึ้นอยู่กับความคล่องของแต่ละท่าน สำหรับผมอยากแรง + สบายหน่อย ในบรรดาเกียร์ AT ตัว DSG นี่คงอยู๋ในใจผมเสมอ เทียบกับรถที่เคยใช้บ่อยๆ อย่าง CivicFD2.0 และ Ford Focus 2.0TDCi บอกได้ง่ายๆเลยว่า FD2.0 ช้ากว่าอย่างรู้สึกได้ ส่วน Focus ดีเซล ช้ากว่าหน่อย(แต่ดีกว่าFD2.0)
2.0 Turbo Vs 2.0 Turbo
=== อัตราเร่ง === ด้วยเครื่องยนต์ 2.0 Turbo และเกียร์ DSG 6 speed (ที่กล่าวไว้ข้างบน) ทำให้ตัวเลขที่ออกมาดูน่าใจ 0-100 ประมาณ 7วินาที ในความเป็นจริง(รวมถึงรีวิวพี่จิมมี่) ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเลข 7 วินาทีในการใช้งานจริง ทำได้สบายๆ กับพายุน้อยน้ำหนักประมาณ 1,400 Kg
ในความรู้สึกของผมถามว่าตอนกดคันเร่งจมมิดเท้าตอนออกตัวรู้สึกยังไง คงตอบง่ายๆ ว่า "เหมือนมีคนมาผลักผมให้ผมไปติดกับเบาะคนขับ" แรงดึงดั่งกล่าวมาจากเทอร์โบตัวน้อยที่เริ่มทำงานตั้งแต่รอบต่ำ แรงดึงเริ่มมาตั้งแต่ก่อน 2,000 รอบ นิดหน่อย แล้วก็ดึงแบบไหลมาเทมาจากถึงประมาณปลายๆ 5,000รอบต่อนาที ข้อดีของเทอร์โบตัวเล็ก คือ มาไว แต่ก็ไปไว ถ้าเป็นตัว Scirocco R จะมาช้ากว่าหน่อยแต่มาหนักช่วงหลัง จากเทอร์โบที่ใหญ่กว่า)
บางจังหวะของการออกตัวถ้าถนนมีเศษทรายหรือรถมีการขยับตัวเล็กน้อยก่อนกดคันเร่งเต็มเท้าอาจทำให้ยาง 235-40-18จากโรงงานฟรีทิ้งได้เล็กน้อย หลักจากนั้นถ้าเรายังคงกดคันเร่งเต็มเท้าพลังจากเจ้า Scirocco ตัวนี้จะพาเราทะยานความเร็วอย่างต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่กี่อึดใจความเร็วแตะ 200km/h หลังความเร็ว 200 ความเร็วยังคงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องและจนเริ่มช้าลงหลังความเร็ว 230 km/h ความเร็วปลายที่กดได้ประมาณ 240 นิดหน่อย
พละกำลังจังหวะเร่งแซงหายห่วงครับ ไม่ต้องกดลึกก็เร่งแซงได้สบายๆ อย่างเช่น จังหวะความเร็วประมาณ 60-70km/h ขับสบายๆ แล้วอยู่ๆเราก็กดเต็มๆเท้า เกียร์ DSG จะกระชากเกียร์ลงมาเพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนให้รถพุ่งไปข้างหน้า เหมือนกับมีคนตัวใหญ่ๆ 2 คนมาผลักหน้าอกเราให้ไปติดกับเบาะ ไม่ว่าจะอยู่ช่วงความเร็วไหน ถ้าเรากดเต็มเท้าเจ้า Scirocco 2.0 TSI คันนี้จะพาเราพุ่งไปข้างหน้าตามใจปรารถนา
พามาออกกำลังกาย
=== ช่วงล่าง === ช่วงล่างเดิมๆ ของพายุน้อยคันนี้ ถูกออกแบบมาให้ซับแรงกระแทกได้อย่างดี แม้ล้อและยางเดิมจะเป็น 235-40-18 ในโหมด normal แล้วถ้ายิ่ง ปรับ DCC ไปโหมด Comfort โช๊คไฟฟ้าจะทำการปรับความหนืดมาช่วยให้แรงกระแทกจากล้อที่ถ่ายทอดสู่คนขับลดลงอย่างพอรู้สึกได้ และถ้าเราปรับไปโหมด Sport จะรู้สึกถึงความกระชับของช่วงล่างมาอีก step นึง ให้ยึดเกาะถนนได้มั่นใจขึ้นอีกหน่อย
ความรู้สึกส่วนตัวช่วงล่างเดิมๆ ในโหมดปกติ ความกระด้างแทบไม่ต่างจากความกระด้างจากช่วงล่างเดิมของ Honda CivicFD2.0 กับยาง 215-45-17 ตัวเก่าผมสะอีก (ออกแนวดีกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ) ถ้าในโหมด Comfort ก็ออกแนวสบายๆกว่า และ แข็ง&หนึบในโหมด Sport
ทำให้ผมกลับไปคิดถึงชุดโช๊ค HKS Hipermax V sport + ค้ำโช๊คหน้าที่ใส่ใน CivicFD คันเก่ากว่าช่วงล่างเดิมๆโหมดปกติหนึบน้องๆกันเลย !!! และใกล้เคียงกันมากเมื่อกดโหมด Sport ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่ารถที่ดี ราคามันก็สูงตามจริงๆ ความคุ้มค่ามันอยู่ตรงนี้นี่เอง
ที่ความเร็วเกิน 230km/h ช่วงล่างเดิมๆ ยังเอาอยู่สบายๆเลยครับ แม้จะลากต่อไปแตะ 240 ก็ยังไม่เครียดมากกับช่วงล่างที่เซตมา (โหมด Sport เอาอยู่)
ส่วนระบบเบรคเดิมๆมาทุกย่านความเร็วที่สมตัวครับเอาอยู่ค่อนข้างหนึบไร้กังวลในการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าซัดหนักๆ ยาวๆ อย่างตอนที่ผมเอาไปลองที่สนามวิ่งติดกันหลายรอบก็เริ่มมีอาการเฟสให้เห็นบ้างนิดหน่อย แต่ก็ยังพอไหว ใช้ชีวิตประจำวันคงไม่ได้ซัดขนาดนั้น ข้อสังเกตุคือ ความเร็วต่ำเวลาเบรคถ้าคนยังไม่ชินรถจะกดทีนึงหัวทิ่มเลย ต้องเรียนรู้ธรรมชาติของเบรคเจ้าพายุน้อยคันนี้สักเล็กน้อย
=== อัตราการกินน้ำมัน=== ในความเข้าใจเดิมของผมเวลาได้ยินเครื่องเบนซิน 2,000cc เทอร์โบ มักคิดถึง Evo , Im ซึ่งรถแรงขับเคลื่อน4ล้อเหล่านั้นต้องแลกมาด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันแบบกระหายระดับ 4-9 km/L ในขณะที่ Scirocco 2.0 TSI ผมก็แอบหวังลึกๆไว้ว่า ข้อเคลื่อน 2 ล้อและเทคโนโลยีต่างๆ น่าจะช่วยให้กินน้ำมันน้อยกว่านั้น ระหว่างเก็บข้อมูลก่อนซื้อ Scirocco ก็ได้สอบถามผู้ใช้จริงอยู่หลายอย่างผมก็ยังแอบสงสัยว่า "กินแค่นั้นเองหรอ?"
แต่พอผมเอามาใช้เองก็พบว่า... CivicFD2.0 เดิมผมใช้โซฮอล95(มีการปรับแต่งท่อไอเสียและกรองอากาศ ล้อและยาง spec ขนาดเท่าโรงงาน 215-45-17) ชีวิตประจำวันผมใช้งานรอบนอกบ้างในเมืองบ้างสลับกัน สาทร สยาม อนุสาวรีย์ รังสิต นนทบุรี รวมๆผมขอเรียกว่า
"ขับในเมือง" FD2.0 ถ้าขับสบายๆ ไม่กดหนัก เหยียบเรื่อยๆ 70-120 km/h กินอยู่ประมาณ
8-9 km/L แต่ถ้ากดหนักๆบ่อยก็ตกอยู่ที่ประมาณ 7km/L ส่วนขับออกต่างจังหวัดความเร็วประมาณ 80-140km/h คันเร่งนิ่งๆยาวๆ อยู่ที่
9-11km/L สำหรับ Scirocco 2.0 TSI ด้วยเทอร์โบที่ทำให้แรงตั้งแต่รอบต่ำไม่ต้องลากรอบมาก "ขับในเมือง" เส้นทางเดียวกับ FD2.0 ขับแบบสบายๆ ไม่กดหนัก หรือมีบ้างไม่เกิน 1 ถึง 2 ครั้ง (ครั้งนึงไม่นานนัก) กินอยู่ที่
8-10 km/L แต่ถ้ากดหนักๆบ่อยๆก็ตกอยู่ที่ 7ปลายๆ8km/L ส่วนขับออกต่างจังหวัดความเร็วนิ่งๆ เหมือนตอนใช้ FD กลับกินอยู่ที่
10-12km/h !!! คำถาม ? Scirocco 2.0TSI กินน้ำมันน้อยกว่า CivicFD2.0 หรือ ?คำตอบ คือ... เนื่องจาก Scirocco มีเทอร์โบมาช่วยทำให้เวลาเพิ่มความเร็วไม่ต้องกดเยอะเหมือน FD อย่างเวลาขึ้นทางชัน สะพาน หรือ ห้าง Scirocco ใช้รอบแค่พันกว่าๆ ก็ขึ้นสบาย ในขณะที่ FD ใช้มากกว่านั้น การไต่ความเร็วเช่นกัน Scirocco ทำได้เร็วกว่าใช้รอบน้อยกว่าในขณะที่กินพอกันทำให้ผลที่ออกมา คือ ถ้าขับสบายๆไม่กดหนัก เหยียบเรื่อยๆ 70-120km/h รถไม่ติดมากนักผมยกให้ Scirocco ประหยัดกว่านิดหน่อย แต่ถ้าเจอรถติดหนักๆ ผมยกให้ CivicFD2.0 ประหยัดกว่านิดหน่อย แต่ถ้ากดหนักๆซัดกระจายแน่นอนครับ Scirocco กินกว่าอย่างรู้สึกได้ กรณีต่างจังหวัดด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้ขับต่างจังหวัดเวลาเร่งแซงหรือขับยาวๆ รอบนิ่งๆแม้ว่าเกียร์ 5 ของ CivicFD2.0 จะอยู่ประมาณ 3,000รอบโดยประมาณ แต่เกียร์ 6 ของ Scirocco ที่ใช้รอบสูงกว่ากลับประหยัดกว่า (น่าจะเพราะเทอร์โบ)
* ปล. ใช้โซฮอล95ปกติทั่วไปเหมือนกันทั้ง Scirocco และ CivicFD === มีต่อด้านล่างนะครับ ===