มองมุมต่างนะครับ
สิ่งที่ ford ให้ไม่ได้เลยคือความเชื่อมั่น ความมั่นใจในการใช้รถครับ ไม่ว่าจะระยะสั้น ระยะยาว รวมทั้งการซื้อง่ายขายคล่อง ราคาขายต่อ บริการหลังการขาย
ทำไมไม่คิดละครับว่า toyota ลงทุนไปเยอะแล้วในส่วนนี้และนานกว่า ford และหลายๆยี่ห้อครับ
เหมือนสินค้าจีนนะแหละครับ ที่เราบอกว่าถูกๆกัน แต่จริงๆแล้วนี้แหละต้นทุนสินค้าจริงๆเน้นขาย ไม่เน้นกำไรมาก เหมือน ford ที่ยัดๆออฟชั่นมาเยอะๆให้เต็มเพื่อที่จะอัพขายรถราคาหลักล้าน แต่พอใช้งานจริง
ถูกและดีมีที่ไหนละครับ
เรื่องของบริการหลังการขาย ผมมองแยกจากตัวรถนะครับ
ศูนย์ฟอร์ดห่วยแตก และช่างไม่เก่งแก้ไม่จบ อันนี้ผมยอมรับว่าจริงแท้แน่นอนเลยครับ
แต่ศูนย์บริการมันคือการลงทุนของเจ้าของโชว์รูมนะครับ โตโยต้าเขาไม่ได้มาลงทุนสร้างให้ ดังนั้นจะบอกว่าจุดนี้คือต้นทุนรถคงไม่ใช่ครับ
ส่วนราคาขายต่อเกิดจากความต้องการของตลาดมือ2 พูดง่ายๆก็คือ มันถูกกำหนดโดยตลาด โตโยต้าไม่ได้เอาเงินลงไปซัพพอร์ตตลาดมือ2เพือให้อัลติสราคาขายต่อดีกว่าสักหน่อย
ผมมองว่าต้นทุนรถ มันก็พอๆกันครับ อยู่ที่ใครจะเอากำไรต่อคันมากกว่า
จุดนี้ผมมองว่า โตโยต้าเอากำไรต่อคันเยอะมากเกินไป เพราะเขามองว่ายังไงเขาก็ขายได้
ด้วยความเคารพ มันเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ในทางปฏิบัติสำหรับคนส่วนมากครับ และยิ่งในทางการคิดต้นทุนสินค้า ยิ่งแยกจากกันไม่ได้ใหญ่ครับ
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเราทำธุรกิจ เวลาเราลงทุนอะไรไป เราย่อมหวังผลตอบแทนกลับมา ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาสิ่งเหล่านั้นก็ย่อมถูกบวกเข้าไปในราคาขายสินค้าเพื่อให้ได้กำไรคืนกลับมาชดเชยสิ่งเหล่านั้นครับ
ตัวอาคารหรือทรัพย์สินโชว์รูม โตโยต้าไม่ได้ลงทุนครับ แต่การมีปริมาณโชว์รูมมหาศาลกว่าใครเขา และการอบรมช่าง การอบรมพนักงานขาย การควบคุมคุณภาพทั้งในแง่ของงานบริการ และงานซ่อม ระบบการบริหารเครือข่าย hidden cost ต่างๆนานา หากมามองกันดูดีๆผมว่านั่นเป็นตัวเลขไม่น้อยแน่ๆครับ
ด้านราคาขายต่อ นอกจากถูกกำหนดโดยดีมานด์ของตลาดแล้ว โตโยต้าเองก็ยังมีส่วนดันราคารถตัวเองให้สูงขึ้น ผ่านทาง Toyota Sure ด้วยครับ การที่ออกมาเปิดชัวร์นั้น นอกจากจะเอากำไรจากการขายรถมือสองสภาพดีแล้ว ยังส่งผลในแง่ของการสร้างภาพลักษณ์คุณภาพตัวรถแม้เป็นมือสองอีกด้านนึงด้วย และที่สำคัญก็คือทำให้ราคามือสองของโตโยต้านั้นแลดูสูงครับ (เพราะที่ชัวร์ขายแพงใช้ได้อยู่ แลกกับความสบายใจที่เค้าตรวจสภาพรถละเอียด และมีการซ่อมคืนสภาพให้ไม่เหมือนเต๊นท์รถ)
นอกจากนั้น การใช้จ่ายงบประมาณด้านการโฆษณาที่โตโยต้ามี ad spending เยอะเป็นอันดับต้นๆในบ้านเรา (ติดอันดับประมาณ 2-3 จากทุกอุตสาหกรรม ที่มา:
http://www.adassothai.com/index.php/main/ad_expenditure) สิ่งเหล่านั้นก็คือต้นทุนทั้งสิ้นครับ
จริงอยู่ว่าราคาทะลุล้านบาท อาจดูแพง แต่นี่ก็เป็นราคาที่เคยตั้งมาแล้วสมัยรุ่นหน้าหมูช่วงปลายๆอายุ ที่อัดออพชั่นมาให้แล้วราคามันเกินล้านมานิดๆครับ แต่เอาเข้าจริงผู้บริโภคก็มีทางเลือกหลายทาง ทั้งรุ่นล่างกว่า หรือยี่ห้ออื่นอยู่แล้ว ปกติรุ่นที่ขายดีที่สุดก็เป็น 1.6G / 1.8E
นอกจากนั้น เครื่อง 1.8 บล๊อคนี้ทุกคนก็ทราบกันดีว่าสมรรถนะมันใกล้เคียง 2.0 ของชาวบ้านเขามาก แถมไวกว่าบางยี่ห้อด้วยซ้ำ และก็ดีกว่าเพื่อนร่วมรุ่น 1.8 แทบจะทั้งหมดอ้างอิงจากการทดสอบโดยคุณจิมมี่ในบทความทดสอบ Pulsar อันเป็น C-Segment คันล่าสุดที่ทดสอบไป
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=5718:%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A-Nissan-PULSAR-1-8-V-1-6-V-CVT-%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B3-Sylphy-%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B9%87%E0%B8%94&catid=64:c-segment-1600-2000-cc&Itemid=76 ถ้าดูแค่เกมส์ 0-100 กม/ชม จะเห็นว่าโฉมที่แล้วที่ใช้เครื่องเดียวกัน ทำเวลาได้ช้ากว่าก็แค่ Altis 2.0 พี่ของมัน, Proton Preve, และโฟกัส 2.0 Diesel TDCi (ยังไม่มีตัวเลขโฟกัสเบนซินใหม่) เท่านั้นเลย
จริงๆแล้วอยากให้มองมันอย่างเข้าใจครับ กลไกการตั้งราคามันมีที่มา ฟอร์ดเองเป็นค่ายรอง ยอดขายไม่ได้มาก (พูดถึงโฟกัสนะครับ) การจะแย่งชิงพื้นที่ตลาดในสมรภูมิตลาด Red Ocean ที่ห้ำหั่นกันด้วยราคานั้น ฟอร์ดย่อมต้องยอมเฉือนกำไรตัวเองมากกว่าแน่นอนครับ
หากมองในมุมกลับกัน คุณคิดว่ารถคันไหนทำกำไรให้บริษัทได้มากกว่ากัน? เหลือเงินให้บริษัทนำมาพัฒนางานหลังการขาย หรือผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นไปได้มากกว่ากัน? หรือแม้กระทั่ง มองในมุมที่ว่า การเป็นเจ้าของโฟกัส มีค่าใช้จ่ายแฝง hidden costs ประมาณอีกเท่าไหร่? รวมๆแล้วกับค่าตัวรถจะกลายเป็นเท่าไหร่?
จริงอยู่ว่าถ้าพูดถึงคุณงามความดีของตัวรถ โฟกัสให้อะไรหลายๆอย่างที่อัลติสใหม่ไม่ได้มีมาให้ และจากที่เคยทดลองขับโฟกัส 2.0 มาผมก็ประทับใจหลายๆอย่างของมัน แต่ก็มีอะไรที่ผมไม่ชอบด้วยเช่นกัน อย่างเช่นเรื่องความอึดอัดในห้องโดยสาร การจัดวาง layout ปุ่มกด ที่ทำให้การขับขี่ดูใช้งานยากไม่เป็นธรรมชาติ ผมยังไม่ได้ลองอัลติสใหม่ และคงเป็นเวลาอีกนานกว่าจะได้ลอง (เพราะผมอยู่อังกฤษ) คงยังตอบไม่ได้ว่าของใหม่ช่วงล่างเป็นยังไง เครื่องเป็นยังไง
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าตัวรถจะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือ ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินครับว่า เงินที่จ่ายไปเท่าๆกันน่ะ มันคุ้มหรือไม่คุ้มครับ เขาจะบอกเองว่า blis เอย ระบบต่างๆเอย จะมีคุณค่ามากกว่าบริการหลังการขายที่ดีกว่ามากหรือไม่
ลองให้ฟอร์ดทำข้อด้อยต่างๆให้ดีขึ้นแล้วกลายเป็นว่าราคาโฟกัสตัวนี้ขึ้นไปสัก 1,1xx,xxx - 1,2xx,xxx เนื่องมาจากต้นทุนที่ต้องใช้จ่ายในการสร้างสิ่งที่ตนขาดเหล่านั้น...ลองถามใจดูสิครับว่า เรายังจะรู้สึกแบบเดิมกับมันหรือเปล่า?
รถทุกคันมันมีทั้งข้อดีข้อเสีย ทั้งที่มาจากตัวรถ และไม่ได้มาจากตัวรถครับ ถ้าเราซื้อแล้วเราซ่อมด้วยตัวเอง สร้างอะไหล่มาเปลี่ยนด้วยตัวเองไม่ได้ ยังไงเสีย บริการหลังการขายยังเป็นปัจจัยที่ไม่ควรแยกคิดจากกันตอนคิดจะเป็นเจ้าของรถครับ
แล้วดูทรวดทรงอัลติสออกมารอบนี้ ผมเชื่อว่ามันจะขายดีกว่าเดิม และเพิ่มความหนักใจให้แก่คู่แข่งทั้งหลายแน่นอนครับ อย่างน้อยมองในแง่ดี คู่แข่งทั้งน้อยใหญ่ ก็ต้องเร่งระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ออกมาต่อกรด้วย ทั้งส่วนลดของแถม หรือการออกไมเนอร์เชนจ์ให้มีอุปกรณ์เหนือกว่า ออกแบบให้สวยกว่า
แล้วอะไรที่ผมอยากด่าโตโยต้าจริงๆจังๆในอัลติสใหม่นี้?
ถุงลมน่ะจะงกอะไรกันนักหนา? ใส่มามันจะเป็นไรไป คนไทยก็รู้ๆกันอยู่ขับรถเร็วติดอันดับต้นๆของโลก แถมมีการตายจากอุบัติเหตุบนถนน (Road kill) สูงติดอันดับต้นๆของโลกด้วย (น่าจะมากสุดในเอเชียถ้าจำไม่ผิด) ถ้ามันแพงเพราะไอ้ Navi บ้าบอไรนี้ (ซื้อพาร์ทแท้มาติดเองของจากศูนย์โดนเกือบแสนครับ ถ้าตัดจาก supplier มาจะได้ราวๆ 40,000) เอาออกแล้วใส่ความปลอดภัยไม่ดีกว่าเหรอ? หรือไม่ก็หาทางทำให้ Navi มันถูกลง เช่นใช้ระบบของพวก Garmin แทนไม่ต้องพัฒนาเอง แล้วเอางบมาลงถุงลม มันจะตายหรือไงก๊านนนนน =_='
ปล. ขออภัยที่ยาวครับ แต่เชือว่าเหตุผลและข้อมูลสนับสนุนจะช่วยให้ความกระจ่างได้มากขึ้น ผมไม่ได้มีส่วนใด้เสียกับโตโยต้าแต่อย่างใด แต่อยากช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ครับ
