ผู้เขียน หัวข้อ: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000  (อ่าน 21714 ครั้ง)

ออฟไลน์ extazy

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 40
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #30 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 00:29:29 »
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 00:32:24 โดย extazy »

ออฟไลน์ koruru

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 765
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #31 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 04:49:29 »
อย่าว่าแต่ภาษีรถยนต์เลยครับ
ราคาน้ำมันดีเซล ราคาแก๊สLPG ราคาน้ำมันเบนซิน ก็แบบเดียวกันเลย ;D

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #32 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 08:23:44 »
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ





จากประสบการณ์อยู่ใน ลอนดอนและสวิสเซอร์แลนด์หลายปี  พวกเค้าชอบรถขนาดเล็กกว่า พวก yank จริง แต่ก็เน้น performance ไม่แพ้ครับ  พวก AMG, M วิ่งกันเพียบ  ในสวิสเองก็มีพวกรถ murica อยู่เยอะพอสมควร 

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #33 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 08:29:02 »
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น  
ขอแย้งอีกเรื่องนะครับ คุณเอารถคนละระดับที่ต่างกันสุดขั้วมาวัดไม่ได้นะครับ เบนซ์แบรนด์หรูราคาขายแพงกว่าเทคโนโลยีดีกว่ายิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วslkมันน้ำหนักเบากว่าvigoตั้งเยอะ มันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ ใจจริงผมก็ไม่มีปัญหากับกฏหมายนี้ แต่แค่ไม่อยากสนับสนุนให้คนไทยมีค่านิยมใช้ของฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ซื้อแค่พอขับก็พอ

เทียบกันเรื่องเครื่องยนต์ล้วนๆ ต้องการให้เห็นภาพชัดๆ ผมเลยเอาตัวอย่างให้เห็น ดีเซลที่หลายคนอวยว่าประหยัดสุดๆ มาเทียบกับเบนซินบล็อกใหญ่ที่พวก over-protectionsim เชื่อว่ากินจุมาเทียบกัน  ผลออกมาแบบนี้ คงกระจ่างดีนะครับว่า ดีเซลที่พวกคุณอวยกันสุดๆ มันใช้น้ำมันมากกว่าหรือเท่าๆกับพวกเบนซินบล็อกโต แถมปล่อยมลพิษมากกว่าอีก  ส่วนที่ราคากะบะแหนบมันถูกกว่าก็เพราะ subsidy ล้วนๆ

ถ้าคุณอยากได้ตัวอย่างใกล้เคียงกันมากกว่านี้ เดี่ยวจัดให้ได้ครับ

Fortuner 3.0 D4D vs Fortuner 4.0V6

Fortuner 3.0 ดีเซล 25.9-26.8 mpg  Co2 emission 228g/km

Fortuner 4.0 เบนซิน ทำได้ 30.6-35.4 mpg  Co2 emission 309g/km

ถ้ามอง การกินน้ำมันอย่างเดียวล้วนๆเหมือนที่คุณ localgame โต้มาตลอดในเม้นบนๆ  ดีเซลแพ้ครับ 

ข้อสรุป ดีเซลไม่ใช่ประหยัดกว่าเบนซินบล็อกใหญ่  และเผลอๆอาจพ่นควันพิษมากกว่าเบนซินบล็อกใหญ่หลายๆคันอีก ฉะนั้นความเชื่อผิดๆในไทยแลนด์นี้โดน demyth เรียบร้อยซะแล้น 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 08:51:10 โดย Ivy Modernist »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #34 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 08:35:13 »
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม

ตรรกะแบบนี้ มันก็จะต่างกันตรงไหน
ระหว่าง กระบะ 4 ประตู 3200cc co2ไม่เกิน200 เสียภาษีแค่ 12%
กับ เก๋งเล็กเครื่อง 1500cc co2ไม่เกิน200 เช่นกัน เสียภาษี 40% เติมe85เสีย 35%
จริงไหมล่ะครับ แง่นี้ มันโคตรจะไม่เป็นธรรมยิ่งกว่าที่ท่านยกตัวอย่างมาเลย
เห็นด้วยเลยครับที่จะจัดระเบียบภาษีกันใหม่
แต่ต้องทำทุกรุ่นนะครับ ไม่ใช่ว่าช่วยแคารถแบบใดแบบนึง
เอาเป็นแบบเดียวกันไปเลย แฟร์ๆ

ถ้าเล่นกันแบบแฟร์ๆ  กะบะดีเซลแหนบ  จะโดนภาษีหนักกว่า เบนซินบล็อกใหญ่อีกนะครับ  เพราะพ่นควันพิษเยอะกว่า  co2 เกิน 200g/km ไปไกล แถมอาจใช้น้ำมันพอๆกับ เบนซินบล็อกโตอีก

ออฟไลน์ 2k

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,755
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #35 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 08:58:45 »
แม้ใครๆจะบอกว่าประเทศไทยภาษีรถยนต์แพงแต่ภาษีด้านอื่นๆถูกมาชดเชยแทนแต่ผมมองว่าภาษีด้านอื่นก็ไม่ได้ถูกถึงขั้นที่จะชดเชยเรื่องราคารถที่แสนแพงเลยนะครับ ไหนจะมีเรื่องความเหลื่อมล้ำของการจ่ายภาษีที่คนรวยมีช่องทางหลบหลีกภาษีได้มากภาระการจ่ายภาษีตกเป็นของชนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่มาทับถมเสียอีก  :-X ทุกวันนี้ราคาอาหารก็ไม่ได้ถูกเลยกินอาหารนอกบ้านในราคาทั่วๆไปตอนนี้ต้องอยู่ที่ระดับ50บาทเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่รายได้ของคนในประเทศส่วนใหญ่กลับไม่ได้สูงขึ้นตามราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้น ไหนจะโดนกระทืบซ้ำด้วยการถูกลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีก.....ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่ผมรู้สึกว่าเกี่ยวนะ  ;D

ถ้าเลือกได้ผมขอราคารถยนต์ที่มันโดนภาษีสมเหตุสมผลแล้วมาอัดตอนจ่ายค่าประกันและต่อทะเบียนรถยนต์ ค่าภาษีรถเข้าเมืองไปเลยดีกว่า คนไทยก็ต้องวางแผนเลือกซื้อรถให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่เราก็จะมีทางเลือกรถที่ดีขึ้นให้เลือกมากมายอีกเยอะแยะ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการกีดกันเอื้อให้รถญี่ปุ่นทำยอดขายเยอะๆได้เป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องรอให้รถญี่ปุ่นที่นานๆทีจะหันมาใส่ระบบความปลอดภัยที่ครบครันแย่งลูกค้ากันที่นึง ม่านนิรภัยแอร์แบกรอบคันมีมาให้ทีไรก็แทบจะดีใจกันยกใหญ่ทั้งที่มันควรจะป็นอุปกรณ์ที่ใส่มาให้เป็นมาตรฐานแท้ๆ   :-\  ถ้าหากว่ารถญี่ปุ่นที่ขายในตอนนี้ที่ราคาค่าตัวห่างจากรถยุโรปสองสามเท่าแบบนี้ แต่มีระบบต่างๆพร้อมแบบที่มีในการทดสอบชน euro N cap มันคงไม่ทำให้รู้สึกเหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่ แต่นี่แค่คานกันกระแทกในกันชนหลังในรถขนาดเล็กยังถอดทิ้งลดต้นทุนเลยฮือๆๆๆ  :'(
หมาเฝ้าบ้านแจกฟรีจ้า www.dogfindhome.com


MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #36 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 09:07:42 »
แม้ใครๆจะบอกว่าประเทศไทยภาษีรถยนต์แพงแต่ภาษีด้านอื่นๆถูกมาชดเชยแทนแต่ผมมองว่าภาษีด้านอื่นก็ไม่ได้ถูกถึงขั้นที่จะชดเชยเรื่องราคารถที่แสนแพงเลยนะครับ ไหนจะมีเรื่องความเหลื่อมล้ำของการจ่ายภาษีที่คนรวยมีช่องทางหลบหลีกภาษีได้มากภาระการจ่ายภาษีตกเป็นของชนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่มาทับถมเสียอีก  :-X ทุกวันนี้ราคาอาหารก็ไม่ได้ถูกเลยกินอาหารนอกบ้านในราคาทั่วๆไปตอนนี้ต้องอยู่ที่ระดับ50บาทเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่รายได้ของคนในประเทศส่วนใหญ่กลับไม่ได้สูงขึ้นตามราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้น ไหนจะโดนกระทืบซ้ำด้วยการถูกลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีก.....ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่ผมรู้สึกว่าเกี่ยวนะ  ;D

ถ้าเลือกได้ผมขอราคารถยนต์ที่มันโดนภาษีสมเหตุสมผลแล้วมาอัดตอนจ่ายค่าประกันและต่อทะเบียนรถยนต์ ค่าภาษีรถเข้าเมืองไปเลยดีกว่า คนไทยก็ต้องวางแผนเลือกซื้อรถให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่เราก็จะมีทางเลือกรถที่ดีขึ้นให้เลือกมากมายอีกเยอะแยะ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการกีดกันเอื้อให้รถญี่ปุ่นทำยอดขายเยอะๆได้เป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องรอให้รถญี่ปุ่นที่นานๆทีจะหันมาใส่ระบบความปลอดภัยที่ครบครันแย่งลูกค้ากันที่นึง ม่านนิรภัยแอร์แบกรอบคันมีมาให้ทีไรก็แทบจะดีใจกันยกใหญ่ทั้งที่มันควรจะป็นอุปกรณ์ที่ใส่มาให้เป็นมาตรฐานแท้ๆ   :-\  ถ้าหากว่ารถญี่ปุ่นที่ขายในตอนนี้ที่ราคาค่าตัวห่างจากรถยุโรปสองสามเท่าแบบนี้ แต่มีระบบต่างๆพร้อมแบบที่มีในการทดสอบชน euro N cap มันคงไม่ทำให้รู้สึกเหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่ แต่นี่แค่คานกันกระแทกในกันชนหลังในรถขนาดเล็กยังถอดทิ้งลดต้นทุนเลยฮือๆๆๆ  :'(

เรื่องเอื้อประโยชน์ให้พวกยุ่นนี้ทำมานานมากแล้วครับ ในช่วงยุค 70 ถึงต้น 90 เล่นห้ามไม่ให้นำรถเข้า   คนได้ประโยชน์เต็มๆคือไอ้ยุ่นขายเอาๆ ฝั่งเดียว  ส่วนคุณภาพรถที่ขายสุดยอดมากๆครับ ยกตัวอย่าง Sunny รุ่นนึงในยุค 70 ไม่มีที่บังแดดให้มา ดัสสันไทยมันอ้างไม่จำเป็นต้องใช้  พอไปเทียบกับตัวที่ไอ้ยุ่นส่งไปขายในโลกที่หนึ่งแล้วสยองมากครับ ของนอกเหนือกว่ามากๆ เผลอๆราคาถูกกว่าที่พวกยุ่นยัดเยียดขายในไทยอีก 

ออฟไลน์ coolcarrera

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 518
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #37 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 10:55:49 »
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ
E3, D15 Carb, 2E
F22B VTEC, J30A VTEC
1TR, 1NZ
D4CB
1GD, R18

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #38 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 11:10:11 »
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 11:15:06 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #39 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 11:54:48 »
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
ตลกดีนะครับยกตัวอย่างรถ1รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินเครื่องใหญ่มันประหยัดกว่า เอาง่ายรถบ้านเราW212 E300 กับ W212 E250 CDI ผมเอามาเทียบกันละแรงม้าใกล้เคียงกัน แรงบิดใกล้เคียงกัน CDIก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าประหยัดกว่าด้วย ผมแนะนำว่าคุณมองภาพรวมดีกว่าครับยังไงดีเซลมันก็ประหยัดกว่าเบนซิน แล้วรถเพื่อการพาณิชย์จะให้ใช้เบนซินเครื่องโตเพื่อต้องการแรงบิดไปดีเซลคุ้มกว่าไหมครับ บ้านเรารถติดเฉลี่ยติดท็อปๆของโลกดันจะไปสนับสนุนให้ขายเครื่องเบนซินบล็อกโต เข้าใจว่าขับทางไกลมันประหยัดแต่ในเมืองมันคุ้มหรอ เอารถดีเซลกับเบนซินที่ccเท่ากันมาสตาทเครื่องหรือวิ่งในเมืองยังไงดีเซลก็ประหยัดกว่า ผมไม่ได้ปกป้องรถที่ผลิตในบ้านเราแต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปสนับสนุนให้เอาเข้ามาขายในปริมาณมาก ยุโรปรถน้อยกว่าบ้านเราแต่ทำไมไม่เห็นมีใครโหยหารถเครื่องใหญ่ๆเลยครับ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #40 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 11:57:54 »
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
ตลกดีนะครับยกตัวอย่างรถ1รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินเครื่องใหญ่มันประหยัดกว่า เอาง่ายรถบ้านเราW212 E300 กับ W212 E250 CDI ผมเอามาเทียบกันละแรงม้าใกล้เคียงกัน แรงบิดใกล้เคียงกัน CDIก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าประหยัดกว่าด้วย ผมแนะนำว่าคุณมองภาพรวมดีกว่าครับยังไงดีเซลมันก็ประหยัดกว่าเบนซิน แล้วรถเพื่อการพาณิชย์จะให้ใช้เบนซินเครื่องโตเพื่อต้องการแรงบิดไปดีเซลคุ้มกว่าไหมครับ บ้านเรารถติดเฉลี่ยติดท็อปๆของโลกดันจะไปสนับสนุนให้ขายเครื่องเบนซินบล็อกโต เข้าใจว่าขับทางไกลมันประหยัดแต่ในเมืองมันคุ้มหรอ เอารถดีเซลกับเบนซินที่ccเท่ากันมาสตาทเครื่องหรือวิ่งในเมืองยังไงดีเซลก็ประหยัดกว่า ผมไม่ได้ปกป้องรถที่ผลิตในบ้านเราแต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปสนับสนุนให้เอาเข้ามาขายในปริมาณมาก ยุโรปรถน้อยกว่าบ้านเราแต่ทำไมไม่เห็นมีใครโหยหารถเครื่องใหญ่ๆเลยครับ

ดูที่เปรียบเทียบ fortuner ดีเซล กับ 4.0V6 หรือยังครับถึงว่าหาว่าผมยกตัวอย่างมาแค่รถรุ่นเดียว ถ้ายังไม่พอที่จะ demyth ความเชื่อว่าดีเซลประหยัดกว่า เดียวผมจัดให้เพิ่ม อีกเรื่องดูที่คุณ coolcarrera ชี้แจงด้วยนะ   

ปล คุณหาว่าเบนซินบล็อกโตกินกว่า ผมก็หามาเปรียบเทียบให้ล่ะ ตอนนี้มาโต้ว่าต้องเอา ความจุเท่ากัน เอ๋ยัังไง

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #41 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 12:15:28 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 12:26:20 โดย localgame »

ออฟไลน์ GoatGoat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 895
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #42 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 12:27:15 »
ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการซดน้ำมันที่เค้า Claim มามันรวม Factor รถติดบ้าเลือดแบบใน กทม. หรือยังนะครับ เพราะเพื่อนผมขับ Z นี่ด่าซดน้ำมันมาก แต่ยอมเพราะได้เท่ 55
ตอนเรียนที่อเมริกา ผมขับ Camaro V6 วิ่งโล่งๆเพราะซิ่งมากก็โดนจับ บางครั้งยังจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าขับ Accord 2.4 ไป เพชรบุรี สุขุมวิท สาธร ที่บางทีเจอไป 6-7 โลลิตรเลยครับ อยากได้ข้อมูลของจริงพวก V6 V8 เครื่อง 4000-5000 cc วิ่ง กทม. มากครับว่าจะได้สักกี่โลลิตร ;D

ออฟไลน์ coolcarrera

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 518
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #43 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:10:31 »
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 
E3, D15 Carb, 2E
F22B VTEC, J30A VTEC
1TR, 1NZ
D4CB
1GD, R18

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #44 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:29:06 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ 

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 13:33:45 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #45 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:30:27 »
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 

ที่ผมบอกว่ายกตัวอย่าง1รุ่นแล้วมาเหมาหมดนี่คือ รถtoyotaดีเซล3.0 กับเบนซิน 4.0ครับ เปรียบเทียบดีเซลกับเบนซินเครื่องใหญ่ที่คุณIvyยกตัวอย่างขึ้นมา ไม่ได้พาดพิงถึงรถเบนซินที่คุณขับมาครับ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #46 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:37:53 »
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 

ที่ผมบอกว่ายกตัวอย่าง1รุ่นแล้วมาเหมาหมดนี่คือ รถtoyotaดีเซล3.0 กับเบนซิน 4.0ครับ เปรียบเทียบดีเซลกับเบนซินเครื่องใหญ่ที่คุณIvyยกตัวอย่างขึ้นมา ไม่ได้พาดพิงถึงรถเบนซินที่คุณขับมาครับ

ตอนนี้มี ข้อมูล demyth ความเชื่อว่าดีเซลประหยัดกว่าดังนี้ครับ

- Vigo 3.0D4D vs Mercedes SLK350 vs Mercedes SLK55AMG
- fortuner 3.0D4D กับ 4.0V6
- ตัวอย่างรถยนต์จากคุณ coolcarrera เอามาเทียบกับการกินน้ำมันของ vigo และ fortuner ที่ขายในไทย

ผมสงสัยว่าคุณ localgame คงต้องการข้อมูลมา demyth มากกว่านี้ใช่ม่ะคับ 

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #47 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:51:03 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ 

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ 
BMW ครับ


MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #48 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 13:58:21 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ



ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 14:00:51 โดย Ivy Modernist »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #49 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 14:15:13 »
BMW M4 3.0 Slant six

34mpg Co2 194g/km

BMW M235i 3.0 Slant six

37.2mpg Co2 176g/km

ความจุเท่าๆกับพวกดีเซลขวัญใจไทยแลนด์แต่ จิบน้ำมันไล่เลี่ยกัน  ปล่อยควันพิษยังน้อยกว่าอีก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 14:17:51 โดย Ivy Modernist »

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #50 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 14:21:47 »
ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการซดน้ำมันที่เค้า Claim มามันรวม Factor รถติดบ้าเลือดแบบใน กทม. หรือยังนะครับ เพราะเพื่อนผมขับ Z นี่ด่าซดน้ำมันมาก แต่ยอมเพราะได้เท่ 55
ตอนเรียนที่อเมริกา ผมขับ Camaro V6 วิ่งโล่งๆเพราะซิ่งมากก็โดนจับ บางครั้งยังจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าขับ Accord 2.4 ไป เพชรบุรี สุขุมวิท สาธร ที่บางทีเจอไป 6-7 โลลิตรเลยครับ อยากได้ข้อมูลของจริงพวก V6 V8 เครื่อง 4000-5000 cc วิ่ง กทม. มากครับว่าจะได้สักกี่โลลิตร ;D

จุดนี้คุณ localgame เค้ายังไม่รู้ว่า fuel consumption จะออกมาเท่าไร เป้นรถรุ่นไหนบ้าง พี่แกเล่นยกความเชื่อที่ปลูกฝังโดย ภาษีงี่เง่าไทยแลนด์มาอ้างว่า รถบล็อกโตกินจุซะแล้วครับ

เนื่องจากรถพวกนั้นไม่มีในไทย จึงไม่รู้ว่าเท่าไร ดังนั้นการเปรียบเทียบจึงใช้ ข้อมุลการทดสอบจากต่างประเทศโดยเฉพาะของโลกที่หนึ่งมาเทียบกับรถที่มีในไทยซึ่งความจุน้อยกว่า โดยเทียบทั้ง fuel consumption และ emission   แต่คุณ localgame ยังคงอ้างความเชื่อให้ดูรวมๆกันต่อไป แม้ตัวเลขมันจะเปิดเผยออกมายังไงก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 14:24:12 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ localgame

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,592
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #51 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 14:27:28 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ



ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ

ผมเอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29

ถ้าเอาดีเซลในประเทศที่เกิน3000CC. ในรถระดับเดียวกันผมหาแทบไม่ได้เลย อย่าเทียบรถข้ามsegment ครับ

เลยยกตัวอย่างBMW F30ขึ้นมา ไม่ได้เอามาVigo น้ำหนักเยอะกว่า SLKหลายร้อยกิโลมาเทียบ

จากที่คุณบอกมาคุณจะสื้อจะบอกว่าเบนซินบล็อกโตวิ่งเฉลี่ยนในเมืองและนอกเมืองประหยัดกว่าดีเซลแบบนี้หรอครับ


MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #52 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 14:45:31 »
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ



ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ

ผมเอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29

ถ้าเอาดีเซลในประเทศที่เกิน3000CC. ในรถระดับเดียวกันผมหาแทบไม่ได้เลย อย่าเทียบรถข้ามsegment ครับ

เลยยกตัวอย่างBMW F30ขึ้นมา ไม่ได้เอามาVigo น้ำหนักเยอะกว่า SLKหลายร้อยกิโลมาเทียบ

จากที่คุณบอกมาคุณจะสื้อจะบอกว่าเบนซินบล็อกโตวิ่งเฉลี่ยนในเมืองและนอกเมืองประหยัดกว่าดีเซลแบบนี้หรอครับ



กินน้อยกว่าหรือไล่เลี่ยกัน  และส่วนมากพ่นควันพิษน้อยกว่ารถยอดฮิตในไทยแลนด์ ฉะนั้นความเชื่อแบบไทยๆที่ว่า เบนซินบล็อกโตกินมาก ปล่อยพิษมาก จึงเป็นความเชื่อที่ผิดครับ  คุณมองข้ามพวกรถฮิตๆที่กลายเป็นว่า กินน้ำมันพอๆกัน แถมพ่นควันมากกว่า และจ้องแต่รถเบนซินนำเข้าจากนอกอย่างเดียว แบบนี้แฟร์มากๆครับ  

ถ้าเอาเรื่องกินน้ำมันอย่างเดียว ใกล้ๆตัวคุณก็ดู fortuner เอาในเมื่อคุณก็เทียบแค่ BMW F30
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 15:30:17 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #53 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 15:32:49 »
ผมเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยังไงก็ไม่เชื่อว่า
Fortuner 3.0D  จะประหยัดสู้ 4.0 V6  ไม่ได้  

และยังไม่เชื่อว่า  ที่ความจุเท่ากัน เครื่องเบนซิล จะประหยัดกว่าดีเซล     เมื่อวางอยู่ในบอดี้เดียวกัน   ลักษณะการขับเหมือนกัน  ภูมิประเทศเดียวกัน

ยังไงก็ไม่เชื่อ ถ้าไม่ได้ลองขับด้วยตัวเอง

และถ้าจะเอารถนำเข้าเครื่องใหญ่ๆ    มาเทียบกับรถในประเทศ    มันจะยิ่งเพี้ยนไปกันใหญ่

ตัวเลข ที่ทดสอบใน ตปท      ถ้าเอามาทดสอบในไทย ไม่น่าได้ตัวเลขหรูๆ แบบนั้นแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 16:16:18 โดย Koong »

ออฟไลน์ Blackforlife

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 418
  • FAST IS GOOD
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #54 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 16:11:08 »
ใจเย็นๆครับ ค่อยๆคุยกัน เรื่องภาษีเครื่อง 3000มหาโหดคงหาคำตอบที่สมเหตุสมผลได้ยาก เคารพความคิดเห็นทุกท่านครับ เชื่อทุกท่านก็เป็นผู้สนใจเรื่องรถเหมือนๆกัน เรื่องเบนซินเครื่องใหญ่ประหยัดมากๆ CO2 ต่ำๆคงมีไม่กี่ยี่ห้อที่สามารถทำได้ตอนนี้ เทคโนโลยีบางยี่ห้อยังตามไม่ทันเลย ผมว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ถ้าทุกๆค่ายทำได้หมดหรือมีเทคโนลียีใหม่ ภาษีคงลงมาแน่นอนครับ เหมือน HYBRID มา ภาษีลด

ผมก็อยากได้ครับ 555 ถ้ามันลงมาอาจจะได้สอยกบกับเค้ามั่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 17, 2015, 16:16:24 โดย Blackforlife »
N/A  

ออฟไลน์ Highway Star

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,934
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #55 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 16:51:58 »
เห็นด้วยกับจขกท แต่ไม่ทั้งหมดเรื่องภาษีนี่เห็นด้วยจริงๆเพราะรถ3000ccหลายรุ่นที่เทคโนโลยีสูงแต่กินน้อยกว่าเครื่อง2.4ลิตรมีถมเถไป  เห็นด้วยอย่างมากว่าไม่แฟร์ แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องรถเบนซินกินน้อยกว่าดีเซล อัตราปล่อยco2ล่ะไม่เถียงแต่ไปเอามาจากไหนว่ารถเบนซืนกินน้อยกว่าดีเซล แล้วดูถูกดูแคลนรถดีเซลไปไหนครับว่าเครื่องแทรคเตอร์ใช่เรื่องเสียงผมไม่เถียงแต่มันก็มีดีของมันแหละคุณลองเอาfortuner 4.0 V6กับดีเซล3.0d4d ไปลุยป่าออฟโรดโหดๆ ลุยน้ำด้วยอะไรด้วย อะไรพาคุณรอดได้ดีกว่ากัน หรือลองbmw 320iกับ320d ก็ได้ลองนั่ง4คนสัมภาระเต็มท้ายรถ คันไหนทำเวลาดีกว่าและคันไหนจ่ายน้ำมันน้อยกว่าครับ ทุกอย่างมันมีข้อดีของตัวเองเอาให้เหมาะสมกับการใช้งานครับ

ออฟไลน์ azx001

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 41
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #56 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 17:15:30 »
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ





รัสเซีย ใหญ่กว่าอเมกา สองเท่า ยังใช้รถเล็กๆ ที่อเมกาใช้รถใหญ่ ก็มีเรื่องฐานะการเงินมาเกี่ยว อเมกา เค้ารวยนี่

ออฟไลน์ Koong

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #57 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 17:25:10 »
ผมพอเข้าใจ จขกท แล้ว ว่ารถเครื่องโตบางรุ่นทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และ การปล่อยมลพิษ ดีกว่ารถเครื่องเล็ก   ท่านก็เลยไม่เห็นด้วยเรื่องจำกัด ซีซี


แต่ในความเข้าใจของผม   ค่าการปล่อยมลพิษ และอัตราบริโภคเชื้อเพลิง    

2 ตัวเลขนี้ แต่ละบริษัทรถก็จะเอาตัวเลขที่ทำได้ดีที่สุดมาโชว์กัน     ถามว่าแล้วตัวเลขที่แย่ที่สุดที่รถคันนั้นทำได้ล่ะ  เท่าไหร่????

รถที่เครื่องยนต์ใหญ่ๆ    กำลังสูงๆ     มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสทำตัวเลขแย่ๆ ออกมาได้ตลอดเส้นทาง   ยิ่งรถแรงก็ยิ่งเร่งแซงเร็ว ยิ่งขับเร็ว

เปรียบเทียบ
 รถเครื่อง 1500  จะขับให้แรงแบบเครื่อง 1200 ก็ทำได้    แต่จะขับให้แรงเต็มที่มันก็แค่ที่เครื่อง 1500 จะทำได้
 รถเครื่อง 3000  ขับให้แรงแค่เครื่อง 1200  ก็ทำได้   และเวลาจะขับให้แรงเต็มที่มันก็แรงถึงใจเท่าที่เครื่อง 3000 จะทำได้

ถามว่าในชีวิตจริง  ขับใช้งานกันจริง เครื่องตัวไหนกินน้ำมัน และปล่อยมลภาวะมากกว่ากัน ????

ออฟไลน์ belkw202

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 419
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #58 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 18:16:40 »
ชอบรถเครื่องใหญ่ โดยเฉพาะ american muscle
เกลียดเครื่องดีเซลแบบสุดติ่ง
เรื่องการเก็บภาษีรถยนต์ในเมืองไทย และ "over protectionism"

ผมเห็นจขกทชอบโพสอะไรในทำนองนี้มาหลายรอบแล้ว

ขอแสดงความคิดเห็นทีละเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1. ผมก็ชอบรถเครื่องใหญ่เหมือนกัน แม้ผมจะไม่ได้ใช้พวก v8 ทั้งหลาย แต่ก็เคยขับมาหลายคัน รถที่ผมใช้ทั้งที่ไทยและที่อยู่ตอนนี้ก็เครื่องเกิน 3000 ทั้งคู่
มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่ารถสี่สูบเทอร์โบที่ทำให้แรงเท่ารถเครื่องที่ใหญ่กว่าจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันไม่ประหยัดและปล่อยมลภาวะน้อยเท่า 4 สูบเทอร์โบ
คุณเอาตัวเลขโรงงานมาวัด แต่ผมเอาตัวเลขจากที่ใช้งานจริงครับ ยังไม่เคยขับรถเครื่อง 6 สูบขึ้นไปคันไหนแล้วได้เกินสิบโลลิตรเลย ตั้งแต่เก่ายันใหม่ คล้ายๆกับที่คุณ koong ว่าไว้เลย ว่ามันทำให้ประหยัดได้ แต่การใช้งานจริงยังไงมันก็คงสู้กันไม่ได้ครับ รถเครื่องโตมันประหยัดขึ้น แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่ารถเครื่องเล็กมันก็ประหยัดขึ้นด้วยเช่นกัน

2. ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเบนซิลกับดีเซล ผมเลือกเบนซิลแบบไม่ต้องคิดเลย จขกทก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่คุณก็ต้องเปิดใจบ้างนะครับ ถ้ามันไม่มีอะไรดีเลยมันขายไม่ได้หรอก แรงบิดรอบต่ำอย่างแรกเลยที่ยังไงเบนซิลก็ให้คุณไม่ได้ ยิ่งถ้าบรรทุกเต็มดีเซลแรงจะแทบไม่ตกเลย แต่พอเป็นเบนซิล c63 amg ยังรู้สึกเลยครับว่ากดคันเร่งเท่าเดิมมันไม่ไปเท่าเดิม ความประหยัดคุณเทียบ benz bmw audi ทั้งหลายดูก็ได้ ว่าดีเซลมันประหยัดกว่าเบนซิลหมด ผมไม่ดูตัวเลขในโบรชัวร์นะ ผมเอาการใช้งานจริง
ดีเซลกดนิดนึงก็ไปแล้วแต่เบนซิลต้องเติมคันเร่งเยอะกว่าพอสมควร แต่พอกดเต็มส่วนใหญ่เบนซิลมักจะไปเร็วกว่า ในพิกัดเท่าๆกัน
อีกอย่างนึง ผมว่าคุณก็ไม่ควรจะพูดจาประชดประชันว่ามันเป็นเครื่องรถเทรคเตอร์หรืออะไร เพราะคงมีคนที่เขาใช้แล้วเขาอ่านแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีนะครับ เหมือนถ้าสมมุติคุณใช้ mustang v8 แล้วผมบอกว่าคุณมันเป็นพวกทำลายทรัพยากรโลกแบบนั้นแหละ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็น่าจะจบ ไม่รู้ว่าคุณจะด่ามันไปเพื่ออะไร?

3. เรืองภาษีผมก็เห็นด้วยกับคุณอีกนั่นแหละ ดู CO2 แล้วจะดู cc อีกทำไม แต่ติดนิดเดียว คุณจะเหน็บประเทศไทยทำไมครับ? เหมือนเรื่องเครื่องดีเซลนั่นแหละ
ชอบอะไรไม่ชอบอะไรไม่มีใครว่าคุณครับ แต่พอคุณเริ่มเหน็บ ประชด หรือจิกกัด คนเขาก็เกิดความรู้สึกด้านลบครับ
ผมว่าคุณมีประเด็นที่ผมเห็นด้วยหลายประเด็น และคิดว่าน่าจะมีคนที่คิดแบบผมเหมือนกัน แต่การแสดงความคิดเห็นแบบ egocentric และการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมันจะให้ไม่มีใครอยากฟังคุณครับ
Tesla Model 3 Highland LR
G08 iX3 M Sport
Cx5 2.5s
Mazda 2 1.3 S
w202 c36 AMG
w212 e63 AMG
w204 c250 AMG Sport Plus
w207 e350 4matic
e90 325i

ออฟไลน์ Arado_kung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,070
    • อีเมล์
Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
« ตอบกลับ #59 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 21:14:01 »
ผมเห็นด้วยกับ จขกท.ในเรื่องการกำหนดความจุของเครื่องอยู่ในเมื่อเราใช้เกณฑ์ CO2 แล้วทำไมยังต้องกำหนดความจุเครื่องยนต์ให้มันซ้ำซ้อนอีกหว่า มันจะแทบไม่ต่างจากของเดิมที่กำหนดความจุเครื่องยนต์กับแรงม้าเลย เพราะยังเครื่องยนต์ความจุเยอะก็เสียภาษีประจำปีอ่วมอรทัยอยู่แล้ว