ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าว] สรุปไม่มี E220d ตัวประกอบในประเทศแล้ว !?!  (อ่าน 21126 ครั้ง)

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: [แจ้งข่าว] สรุปไม่มี E220d ตัวประกอบในประเทศแล้ว !?!
« ตอบกลับ #60 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2016, 20:42:39 »
รถระดับ price tier (4-5 ล้าน) นี้ควรเป็นเบนซินล้วนๆครับ

ตัวต่ำสุดควรเป็น E300 2 ลิตร เทอร์โบ 245 ม้า

ตัวกลาง E400 3 ลิตร เทอร์โบคู่ 333 ม้า

ส่วนตัวแรงจัดไป E43 AMG 3 ลิตร เทอร์โบคู่ 401 ม้า

ตัว 220d มันคือรถ taxi/ private hire เมืองนอกใช้กันคับ LOL
อะไรกันนักกันหนาหรอคับ กะเครื่องดีเซล อยากรุ้จังว่าใช้รถอะไรอยู่

เคยมีผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้านวิศวกรรมโครงสร้างบอกผมว่า คนซื้อ MB BMW ซื้อทำไมดีเซล ติดหรา CDI ไม่รวยจริง (แอบเคืองตอนได้ยินเพราะบ้านผมมีทั้ง E300 Hybrid และ BMW X5 23d)

ทุกวันนี้ผมอยากกลับไปบอกผู้ใหญ่ท่านนั้นว่า ผมละโคดอิจฉาคนไม่รวยจริงพวกนั้นเลยครับ รถคนไม่รวยจริง ทั้งแรงทั้งประหยัด ... รถดีเซลทั้ง 2 คันนั้น ใน 1 เดือนวิ่งเยอะว่ารถเบนซินที่ผมใช้ ถังน้ำมันใหญ่กว่านิดหน่อย แต่ผมเติมน้ำมันเบนซินบ่อยกว่ารถดีเซลทั้ง 2 คันนั้นครับ ...

ผมมองว่า ในระดับ price tier แบบนั้น fuel consumption ไม่ใช่ factor 

Shopper ของรถ segment นั้นเค้าไม่ได้แคร์เรื่องน้ำมัน  คุณมีตังค์จ่ายรถคันละสี่ห้าล้านอัพ แต่กังวลเรื่องประหยัดน้ำมัน มันrational ไหมคับ

สิ่งที่กลุ่มshopper ต้องการ คือ luxury, prestige and power ซึ่งฟิลแบบดีเซลมันตอบสนองแบบนั้นไม่ได้  จริงที่เสียงดีเซลเงียบกว่ากะบะไทย แต่ก็ยังเสียงเหมือน และเสียงดังแบบไม่โอครับ

ผมว่าฟิลแบบนั้นมันไม่ใช่ premium tier (entry model หรือเป็น taxi/fleet car ที่เมืองนอก แต่ pricing แบบ premium tier ในบ้านเรา)

คุณคิดแบบนั้น  แต่ผมและคนส่วนใหญ่ไม่คิดแบบคุณแน่นอนครับ

เพื่อนๆ ผม ที่ฐานะดี ชอบสมรรถนะกัน
เวลาคุยกัน ต่างคนต่างอิจฉา อยากขับรถผม BMW 520d
ทั้งๆ ที่คนอื่น ก็มีรถดีๆ ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ต หรือรถฟรีเมียมเบนซินค่ายเบนซ์

จะว่าไป ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมรวยขนาดที่ไม่แคร์เรื่องน้ำมันเลย  แต่ผมมี 520d
และต่แให้ถ้าผมสามารถซื้อรถเครื่องเบนซินอย่าง 528i ได้   
แต่ถ้าสำหรับผม ที่ขับรถเดินทางเยอะมากๆ   ปีนึงวิ่งประมาณ 3 หมื่นกิโล
สำหรับผม 520d ถูกใจผมที่สุดแล้ว 
ที่จริง 525d น่าจะถูกใจกว่า  แต่พอดีว่า สมรรถนะ 525d ในไทย มันโดนล็อคแรงม้าไว้ ทำให้ผมไม่ไปทางนั้น  ส่วน option ตัว 525d อย่างประตูดูด,  active steering, etc
ผมถือว่าเป็นของเล่น  ที่ผมไม่ค่อยแคร์

สรุปคือ 520d ยังไงในเมืองไทย ก็เป็นรุ่นที่ขายได้ดีที่สุดแน่นอนของ ซีรี่5
ส่วนที่ต่างประเทศ อย่างอังกฤษ 520d ก็คือรุ่นที่ขายดีที่สุดเช่นกันสำหรับทั้งประเทศ  ทั้ง fleet, ทั้งส่วนตัว 

คุณอาจจะไปเห็นแต่ใน London ที่คนรวยๆ อยู่กันเยอะ และที่จอดรถหายากมาก  คนที่มีรถจึงต้องเป็นคนที่มีฐานะมากพอสมควร  จึงเห็นรุ่นtop ได้เยอะ เช่น M5
แต่จากข้อมูลที่ผมศึกษามา และได้อาศัยอยู่ที่อังกฤษ  สุดท้าย520d ก็คือรุ่นที่ขายดีที่สุด

ส่วนที่ไทย  ถ้าคนที่รวยล้นฟ้าไปเลย ก็คงไปเล่น 528i, 525d หรือรุ่นอื่นเลย
แต่คนที่รวยระดับนึง และสามารถเอื้อมถึง BMW ได้  ในฐานะรถในฝันของคนมากมาย
คนเหล่านั้น เค้าไป 520d แบบไม่ต้องคิดเลยครับ 


เค้าไม่เอา 520i เพราะเบนซิน แรงใช้ได้ แต่กินน้ำมันกว่าดีเซลเยอะ  กินกว่าน่าจะ 4-6 km/l คือ 520i ก็ได้ 11-14 km/l ทางไกล

เค้าไม่เอา 525d เพราะราคาแรงกว่า 520d ไปอีก 4-5 แสน  ในขณะที่แค่ 520d สมรรถนะก็เหลือๆ แล้วสำหรับคนส่วนมาก  แถมประหยัดน้ำมันพอๆ กัน  วิ่งทางไกลก็ได้ 16-19 km/l

ส่วน 528i ถ้าคนที่อันจะกิน และขับสั้นๆ ไม่ได้ขับปีละ >3 หมื่นกิโล  แบบนี้คงชอบแน่นอน เพราะแรงขับสนุกจริงๆ   แต่สำหรับคนที่ขับ BMW ซีรี่5  ต้องบอกว่าจำนวนไม่น้อยเลย  ที่ไม่ได้เรียกว่ารวยล้นฟ้า   คนมากมายที่ทำธุรกิจหลักสิบ-ร้อย-พัน ล้าน  แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจครับ  มีขึ้นมีลง  คุณจะบอกว่าคนทำธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน  จะมาแคร์อะไรกับค่าน้ำมัน   มันไม่ rational

ผมตอบให้เลยนะ  คนรู้จักผม ก็มีทรัพย์สินหลักร้อยล้าน  มีห้องเช่าในเมือง  แต่ทุกๆ วันเค้าขับ Prius ครับ  ผมถามว่าทำไม  เค้าบอกว่ามันใช้งานดี ประหยัดน้ำมัน  แถมไม่จุกจิก
ทั้งๆ ที่เค้ามีรถหลายคัน ทั้งรถสปอร์ตเยอรมัน  รถกระบะ  และรถเก๋งเยอรมัน

คนรวยมีหลายระดับ 
รวยพร้อมร่วง 
รวยค้างฟ้า 
รวจแต่เบียดเบียนตัวเองก็มี  เช่นคนรู้จักผมอีกคน  บ้านอยู่แถวทองหล่อ มูลค่าตีไปน่าจะหลายร้อยล้าน  มีลูก แต่ลูกค่อนข้างเบียดเบียนพ่อแม่  พ่อแม่มีเงินเหลือมากมาย  แต่อยู่บ้านแบบสภาพดูไม่ได้  บ้านโทรม และขับรถ Nissan Sunny เก่ามากๆ
ส่วนลูก ขับ BMW ซีรี่7  และไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อแม่  ถามว่ารวยมากๆ เงินสดมีพร้อมทำไมไม่ขับรถดีๆ  เค้าบอกว่าเพราะเค้าไม่เห็นความจำเป็น  และมันไม่ได้ทำให้เค้ามีความสุข  แต่ที่ผมบอกว่าเค้าเบียดเบียนตัวเอง  เพราะบ้านเค้าไม่จ้างแม้กระทั่งพยาบาล คนรับใช้ หรืออะไรเลย  แถมจากการคุยกัน  เค้าเป็นคนที่อมทุกข์  อายุก็เยอะมากๆ รวยมากๆ  แต่คุยกันที่ไร  เขาพูดจากแบบคนแบกโลก  ลูกไม่รัก  แต่ลูกกอบโกยพ่อแม่ 

สรุปทั้งหมด คือมันไม่มีหรอก rational ที่ว่าขับ BMW ซีรี่5 แล้วต้องไม่แคร์ค่าน้ำมัน
เพราะคนรวยๆ เค้าก็มีสมองครับ  520d ทั้งประหยัดน้ำมัน แถมตีนต้นมาไว ตีนปลายก็ไหลไปได้ 230 km/h  มันยังไม่เพียงพออีกเหรอ
น้ำมันถังนึงวิ่งได้ 1000+ km   แต่ถ้า 520i, 528i  วิ่งได้ 600-750 km แค่นั้น
ขับในเมืองก็ไม่ต้องรอรอบแบบเบนซิน
เสียงเครื่อง นั่งในรถไม่เห็นได้ยินเลย  แล้วมันสั่นไหม  มันก็สั่นกว่าเบนซินนิดเดียว  แต่มันไม่ได้กระพือแบบในรถกระบะ Vigo เลย

ไปละ ผมตอบมาทั้งหมด คนที่คิดแบบคุณสุดท้ายก็คงไม่ฟังผมอยู่ดี  แต่สิ่งที่ผมพูดคือความจริง และคนมากมายคิดแบบผม สุดท้ายก็และแต่ความเชื่อละกันครับ

คุณตอบถูกอย่างนึงคือ  ตอนนั่งในรถไม่ได้ยินเสียง แต่ข้างนอก....คงไม่ต้องบรรยายครับ LOL

เมืองนอก mercedes, Bimmer มันเริ่มราคาเท่าไร คุณก็น่าจะรู้เอง ถ้าอ้างว่าเคยไปอยู่มาเหมือนกัล เป็นเรื่องธรรมดาที่รุ่น entry level แบบดีเซลบล็อกเล็กจะใช้กันโดยเฉพาะแบบ fleet, taxi แล้วที่ไทยราคารถสองแบรนด์นี้เป็นยังไง คงไม่ต้องถาม เพราะแค่รุ่นประกอบในราคาก็ mark up ไปโหดแล้ว ดังนั้นการทำ pricing เอา entry level มาปั้นให้เป็น  premium executive car จึงไม่น่าจะเหมานัก     

ส่วนตัวผมไปทางๆ Americophile การบริโภค รสนิยม แฟชั่น ความคิด ความเห็นจึงไปทางสายนั้น

สุดท้าย ใครมีความคิด เหตุผลยังไง ใส่กันมาได้เต็มที่ ตามแนว Freedom of expression ไม่ใช่ห้ามถาม ห้ามคิดต่าง   

 

รถครับ taxi ในเยอรมันไม่ได้มีอะไรด้อยหรือโดนเปรียบเทีบกับอะไรครับ คุณไม่ควรเอา taxi มันมาเปรียบเทียบกับ entry level ครับ มันไม่มีความเกี่ยวโยงกันแบบนั้น จะเอามุมมอง taxi ไทยมาเปรียบไม่ได้ครับ

ส่วนเรื่องที่ว่า benz รุ่นตัวสเปคตำ่แบบเดียวกับที่ใช้ใน taxi มันไม่โก้หรูสำหรับคนเยอรมัน ขอยืนยันว่าไม่จริงครับ แค่มีตราดาวก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะซื้อดีไหมเพราะมันดูโอ้อวดเกินไปครับ กลับกันพอถูกใช้เ็น taxi มันก็เป็น taxi ก็ไม่มีอะไร

งง ไหมครับ ถ้า งง ผมก็พอเข้าใจครับคงต้องคลุกคลีศึกษากับคนเยอรมันมากขึ้นครับ

คุณ nutcracker เข้าใจผมผิดไปไกลเลย 

- ผมไม่ได้เอา taxi ไทยมาโยงเลย มันเทียบไม่ได้ เพราะรถที่บ้านเราใช้ทำtaxi มันคนละแบรนด์ คนละ price tier

- ส่วนเรื่อง Mercedes อย่าง E220d สเปคต่ำที่ถูกใช้เป็น taxi/fleet car ในยุโรป ผมไม่ได้เท้าความถึงว่ามันโก้หรือไม่โก้สำหรับคนเยอรมันครับ รุ่นนี้ราคาที่ียุโรปค่อนข้างย่อมเยามากเมื่อเทียบกับในบ้านเราที่ตั้งกำแพงเบอร์ลินภาษี เพื่อ bootlicking ไอ้ยุ่นหนักหน่วง

แต่ถ้ามามองราคารุ่นเดียวกันมาไทยแลนด์ มันจะเกิดคำถามว่า ไอ้รุ่นนั้นมันสร้างความโก้หรูแบบที่บ้านเราติดค่านิยมได้จริงหรือ ทั้งปัจจัยในแง่ของฟิลลิ่งเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นแบบไม่เพราะ กับค่าตัวไปแล้ว 4-5 ล้านบาท ในจุดนี้ผมมองว่า รุ่น E300 เบนซิน 245 ม้าจะตอบโจทย์ได้เหมาะสมมากกว่า 

       

ออฟไลน์ WASADM

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 560
Re: [แจ้งข่าว] สรุปไม่มี E220d ตัวประกอบในประเทศแล้ว !?!
« ตอบกลับ #61 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2016, 10:51:34 »
ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อและ ถ้าถามว่าจ่ายเงิน 4-5 ล้านบาทแล้วได้ E220d มันเหมาะสมไหม ผมตอบเลยว่าไม่ครับ ให้ผมเลือก ผมคงเลือกเป็น E300/E350e มากกว่าครับ ได้ทั้งประหยัดกว่า แรงกว่าและเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า แต่คุณต้องเข้าใจอย่างนึงครับ คนไทยเป็นประเภทขี้กลัว ติ๊ต่างไปก่อนแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เกิด ถ้ามันมาแบบ ford fiesta ที่พังกันเยอะๆ แล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แบบนี้สิครับน่าคิด อันนี้ยังไม่พังเลย ยังไม่เริ่มเลย ก็กลัวกันไปซะแล้ว แต่ผมสังเกตุเห็นว่าเจ้า E300 ตัวก่อนนี้ค่อนข้างมีปัญหาอยู่เหมือนกัน คนจะกลัวก็ไม่น่าแปลกอะไรครับ แถมคอมโบด้วยกฏหมายที่อ่อนแอ เอาผิดผู้ผลิตไม่ได้อีก ทำให้คนยิ่งขี้กลัวกันเข้าไปกันใหญ่ ถ้า Hybrid รถแพงๆ อันนี้ผมพอเข้าใจครับ ว่าวารันตีมันน้อย แถมค่าซ่อมก็แพงเกินเหตุ เพราะรัฐบาลไม่เข้าควบคุม แต่อย่างว่าหละครับ ขนาดรถ Hybrid อย่าง Toyota ที่ว่าทนสุดๆ คนยังกลัวเลยครับ เพราะฉะนั้น การที่เอาเจ้า E220d เข้ามาขาย มันจึงตอบสนองลูกค้าได้มากกว่า เพราะคนไทยขี้กลัว ขายราคาเท่าเดิม แต่ได้กำไรมากขึ้น ใครจะไม่อยากขายหละครับ จริงไหม  ;D

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
Re: [แจ้งข่าว] สรุปไม่มี E220d ตัวประกอบในประเทศแล้ว !?!
« ตอบกลับ #62 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2016, 11:47:52 »
ผมเข้าใจที่คุณจะสื่อและ ถ้าถามว่าจ่ายเงิน 4-5 ล้านบาทแล้วได้ E220d มันเหมาะสมไหม ผมตอบเลยว่าไม่ครับ ให้ผมเลือก ผมคงเลือกเป็น E300/E350e มากกว่าครับ ได้ทั้งประหยัดกว่า แรงกว่าและเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า แต่คุณต้องเข้าใจอย่างนึงครับ คนไทยเป็นประเภทขี้กลัว ติ๊ต่างไปก่อนแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่เกิด ถ้ามันมาแบบ ford fiesta ที่พังกันเยอะๆ แล้วแก้ปัญหาไม่ได้ แบบนี้สิครับน่าคิด อันนี้ยังไม่พังเลย ยังไม่เริ่มเลย ก็กลัวกันไปซะแล้ว แต่ผมสังเกตุเห็นว่าเจ้า E300 ตัวก่อนนี้ค่อนข้างมีปัญหาอยู่เหมือนกัน คนจะกลัวก็ไม่น่าแปลกอะไรครับ แถมคอมโบด้วยกฏหมายที่อ่อนแอ เอาผิดผู้ผลิตไม่ได้อีก ทำให้คนยิ่งขี้กลัวกันเข้าไปกันใหญ่ ถ้า Hybrid รถแพงๆ อันนี้ผมพอเข้าใจครับ ว่าวารันตีมันน้อย แถมค่าซ่อมก็แพงเกินเหตุ เพราะรัฐบาลไม่เข้าควบคุม แต่อย่างว่าหละครับ ขนาดรถ Hybrid อย่าง Toyota ที่ว่าทนสุดๆ คนยังกลัวเลยครับ เพราะฉะนั้น การที่เอาเจ้า E220d เข้ามาขาย มันจึงตอบสนองลูกค้าได้มากกว่า เพราะคนไทยขี้กลัว ขายราคาเท่าเดิม แต่ได้กำไรมากขึ้น ใครจะไม่อยากขายหละครับ จริงไหม  ;D

+1 คุณ title41 เข้าใจที่ผมสื่อครับ

E300 ที่ผมพูดถึงหมายถึง ตัวเครื่องเบนซินล้วน 2.0 ลิตร เทอร์โบ 245 ม้า เครื่องเดียวกับ C300 Cabrio ครับ