ผู้เขียน หัวข้อ: *Trip Review: ตะลุยให้พุงแตก ฝรั่งเศส-เยอรมัน สวยกว่าที่คาดมันส์กว่าที่คิด!!!  (อ่าน 42136 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
-หลังจากปี 2016 ผ่านไป มานั่งดูตารางวันหยุดช่วงสงกรานต์ ปิดร้านได้หลายวันมองหน้ากับแฟนว่าแอบหนีเที่ยวที่ไหนดี
แฟนบอกยังไม่เคยไปยุโรปเลย เปิดดูราคาตั๋วเครื่องบิน ....... การบินไทยราคาตั๋วในช่วงสงกรานต์ไปยุโรปกับไปญี่ปุ่น ราคาต่างกันแค่หลักพัน
แล้วจะรออะไรรีบจองทันทีปารีส! เดินทางวันที่ 14 - 21 เมษายน 2017


เตรียมตัวก่อนเดินทาง
-หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินแล้วก็เริ่มดูทริปคร่าวๆ เพื่อจองโรงแรมและจะได้ทำเอกสารยื่นขอวีซ่า ช่วงแรกจะจองโรงแรมที่ยกเลิกได้
ไว้ให้วีซ่าผ่านก่อนค่อยมาดูอีกทีว่าจะนอนที่ไหนกันบ้าง และทำประกันการเดินทางยื่นคู่กันไป

-จองเสร็จก็ไม่รอช้ารีบจัดการเรื่องวีซ่าทันที โดยขอวีซ่าเชงเก้นชนิดเพื่อท่องเที่ยวผ่าน TLScontact เข้าไปกรอกข้อมูลและนัดหมายวันยื่นเอกสาร
 กรอกข้อมูลทางออนไลน์ (https://fr.tlscontact.com/th/BKK/page.php?pid=Home)
กรอกไม่ยากเท่าไหร่มีภาษาไทย หลังจากนัดวันแล้วก็เตรียมเอกสาร หลักฐานที่ต้องยื่นรูปถ่าย (สำคัญมากต้องถูกต้องตามข้อกำหนด)
เตรียมเงินยัดเข้าไปในบัญชีให้ดูสวยงามหน่อย ถึงวันนัด ก็รีบไปทันที TLScontact


-แลกบัตรขึ้นไปชั้น12 ตึก สาทรซิตี้ทาวเวอร์  เข้าไปฝากแล้วยื่นเอกสารใบนัด รับบัตรคิวจากนั้นก็รอเรียกชื่อ
พอถึงคิวก็แค่เข้าไปยื่นเอกสารโดยเจ้าหน้าที่จะเพียงตรวจสอบเอกสารว่าครบตามที่สถานทูตต้องการหรือไม่
ของแฟนโดนให้ไปถ่ายรูปใหม่เลยเสียเวลาพอสมควร (รูปที่ยื่นใส่คอนแทคเลนส์ บิ๊กอาย)


-หลังจากตรวจเอกสารผ่านแล้วก็เข้าไปสแกนลายนิ้วมือ และไปจ่ายเงินค่าขอวีซ่า ค่าบริการของ TLScontact ค่าจัดส่ง Passport ประมาณ 3,800 บาท
จากนั้นก็มานั่งลุ้นกันว่าจะวีซ่าจะผ่านหรือไม่ โดยเข้าไปตรวจสอบเอกสารของเราได้ตลอดว่าตอนนี้อยู่ขั้นตอนไหนแล้ว



-เริ่มวางแผนทริปว่าจะไปไหนกันบ้าง โดยหลักๆ จะอยู่ที่ปารีส และจะออกต่างจังหวัดเพื่อดูธรรมชาติ
ทริปนี้มีจุดหมาย 2 ประเทศ คือฝรั่งเศสและเยอรมนี
การเดินทางใช้ระบบขนส่งมวลชนเป็นหลัก ใช้รถเมล์ รถไฟใต้ดิน รถไฟ รถไฟความเร็วสูง และมีขับรถ โดยใช้ application Google Map ในการนำทางและบอกการขึ้นรถสาธารณะต่างๆ ทั้งสายรถเมล์และรถไฟ
-การเดินทางในตัวเมืองปารีสจะใช้รถเมล์เป็นหลัก พยายามใช้รถไฟใต้ดินให้น้อยที่สุดเพราะได้ยินคำร่ำลือกันมาอย่างมาก ว่าการลงไปในรถไฟใต้ดินในกรุงปารีสเหมือนลงไปในดงโจร!
โดยตั๋วรถทั้งรถบัสและรถไฟจะใช้ตั๋วชนิดเดียวกันคือ Ticket t+ ซื้อเป็นชุด ชุดละ10ใบ เฉลี่ยตกใบละ 1.45 ยูโร (ซื้อผ่านตู้ซื้อตั๋ว) ถ้าซื้อบนรถเมล์ใบเดียวจะตกใบละ 2 ยูโร (http://www.ratp.fr/en/ratp/r_61635/ticket-t/)

-การเดินทางในตัวปารีสถือว่าไม่แพงมาก ตั๋วจะเริ่มใช้เมื่อสอดตั๋วเข้าไปในเครื่อง และเราจะมีเวลา 90 นาทีในการเดินทาง ถ้าเปลี่ยนสายรถก็ยังใช้ได้จนครบ 90 นาทีจึงจะต้องใช้ตั๋วใบใหม่
รถไฟความเร็วสูงระหว่างเมือง จองล่วงหน้า(https://en.voyages-sncf.com)เหมือนตั๋วเครื่องบินและจะมีโปรโมชั่นออกมาเป็นช่วงๆ แนะนำให้จองล่วงหน้านานๆ จะได้ราคาไม่แพง
-ส่วนการขับรถก็จองรถล่วงหน้า รอบนี้ใช้บริการจากบริษัท Sitx (https://www.sixt.com/) จองไม่ยากเพียงเลือกพื้นที่ และเลือกวันรับรถ - วันส่งรถคืน จากนั้นก็เลือกรถได้ตามใจชอบ
ถ้าจองแล้วจ่ายเลยก็จะถูกกว่าจองก่อนจ่ายทีหลัง (แนะนำว่าทำประกันตัวสูงสุดไปเลยจะได้สบายใจ เพิ่มนิดหน่อยดีกว่าโดนค่าซ่อมแล้วไม่คุ้ม)
-การสื่อสารระหว่างอยู่ต่างประเทศ ลองใช้ Sim2Fly ยุโรป &USA พร้อมโปรโมชั่น ใช้งาน data ความเร็วสูงสุด 4G/3G ได้ 3GB ใช้งาน 15 วัน สามารถโทรออกรับสายได้และรับส่ง SMS ได้ ราคา  899 บาท ซื้อได้ที่ AIS SHOP ทั่วประเทศ


-เนื่องจากมีการขับรถเอง ที่ขาดไม่ได้เลยคือใบอนุญาตขับขี่สากล ไปทำได้ที่กรมขนส่งทางบกของทุกจังหวัด เพียงเตรียมเอกสารดังนี้
-รูปถ่าย 2 นิ้ว
-สำเนาใบขับขี่พร้อมตัวจริง
-สำเนาบัตรประชาชนพร้อมตัวจริง
-สำเนาหนังสือเดินทาง (Passport)พร้อมตัวจริง
-ค่าธรรมเนียม 505 บาท
ไม่ต้องสอบใหม่ แค่ยื่นเอกสารและนั่งรอ ไม่เกินชั่วโมงก็ได้แล้ว


-เตรียมอาหารไทยไปเล็กน้อย กลัวเจอของจริงแล้วจะเลี่ยนจนทานไม่ไหว เลยเตรียมไปหน่อยเน้นพวกพร้อมทานไม่ต้องปรุง ได้ยินมาว่าไม่ค่อยมีกาต้มน้ำ แบบแช่น้ำร้อนในห้องน้ำพออุ่นๆ แล้วกินเลย!

-ข้อดีของประเทศฝรั่งเศสคือการจองล่วงหน้า จองได้หมด ทั้งร้านอาหาร และสถานที่เข้าชมสำคัญๆ สามารถซื้อล่วงหน้าได้เลย แต่ก็อาจจะทำให้ทริปเครียดๆ กับเวลา เพราะบางสถานที่ต้องใส่เวลาที่จะเข้าชม ข้อดีคือไม่ต้องรอต่อคิวซื้อตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ

-ความปลอดภัยในการท่องเที่ยว เหนือสิ่งอื่นใดคือประกันการเดินทางเพราะยังไงก็ต้องทำเพื่อยื่นขอวีซ่า การท่องเที่ยวประเทศฝรั่งเศสโดยเฉพาะตัวกรุงปารีส ที่มีชื่อเสียงในเรื่องโจรขโมย เลยต้องมาวางแผนกันสักหน่อย โดยแผนของผมจะแบ่งเงินเท่าๆ กัน และจะไม่เก็บเงินไว้ที่เดียว ผมแบ่งเงินเป็นสามกระเป๋า
โดยที่ปลอดภัยสุดจะใส่เงินเยอะสุดเก็บไว้ในกระเป๋าซ่อนในเสื้อ ส่วนอีกกระเป๋าเป้เป็นค่าอาหารและค่าใช้จ่ายต่อวัน และกระเป๋าเล็กสุดไว้ใส่เหรียญ เงินย่อยและตั๋วเดินทาง จะเก็บไว้กระเป๋าเสื้อด้านหน้าเพื่อง่ายในการหยิบใช้

-ประมาณ10 วันหนังสือเดินทางก็ส่งกลับมาถึงบ้าน..... สรุปได้วีซ่าเชงเก้น 1 ปี 


-เช็คสภาพอากาศทุกวันเพื่อเตรียมชุดให้ถูก เป็นช่วงเปลี่ยนฤดู อุณหภูมิอยู่ที่ 10 องศาต้นๆ และอาจเจอฝน สภาพอากาศแปรปรวนพอสมควร 
เมื่อทุกอย่างพร้อม ถึงวันก็พร้อมเดินทาง!!!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 10, 2018, 06:59:03 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY1
-เดินทางคืนวันที่ 13 เมษายน 2017 ด้วยสายการบิน Thai Airways เที่ยวบิน TG930 เวลา 00.05 น. ด้วยเครื่องบิน Airbus A380 จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไปยัง สนามบิน Charles de Gaulle ประเทศฝรั่งเศส ถึงเช้าวันที่ 14 เมษายน 2017 เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า
ไปถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ช่วงเช้าช่องเปิดน้อยกว่าจะออกมาถึงสายพานรับกระเป๋าเล่นไปเกือบชั่วโมง รับกระเป๋าเรียบร้อยรีบไปขึ้นรถไปกรุงปารีส โดยใช้ RoissyBus ราคาตั๋ว11.50 ยูโร/คน


-ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง RoissyBus ออกทุก 15 นาที มีรถตลอด


-ตารางเดินรถต่างๆ แผนที่การเดินรถที่ใช้ในกรุงปารีส ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ และรถไฟ RER




-วิ่งตรงจากสนามบิน Charles de Gaulle นำไปยังย่าน Opéra


-ถึงย่าน Opéra ซึ่งเป็นที่พัก เดินลากกระเป๋าไปฝากที่โรงแรมประมาณสิบโมงเช้า  ก็เริ่มออกเที่ยวกันเลย โดยแวะซื้อขนมรองท้องสักหน่อย จัดมาการองชื่อดังอยู่ใกล้ๆ ที่พัก ร้าน Laduree มาการองกลิ่นกุหลาบ อร่อย ไม่หวานมาก รู้สึกว่ารสไม่หวานจัดเหมือนเคยกินที่ไทย


-เดินไม่ไกลเลยแวะเที่ยวโบสถ์ลามาดแลน (La Madeleine พิกัด : 48.870020, 2.324696)   ที่สร้างอุทิศแก่นักบุญมารีย์ชาวมักดาลา ตัวอาคารเป็นแบบเทวสถานโรมัน


-ภายในโบสถ์ มีแท่นบูชา มีรูปปั้นนักบุญมารีย์ชาวมักดาลาขึ้นสวรรค์ ด้านบนเป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าประวัติของศาสนาคริสต์ สวยงามมาก


-ชมโบสถ์เสร็จเริ่มหิว ไปจัดมื้อเที่ยงกันดีกว่า ไม่ไกลจากโบสถ์ลามาดแลน เดินไปผ่านถนนช็องเซลีเซ สวยงามถนนใหญ่โตอลังการ สักพักก็มาถึงร้านอาหารมื้อแรกที่ปารีส
ร้าน Chez Andre (พิกัด : 48.867788, 2.302920) ร้านอยู่หัวมุมถนนหาไม่ยาก


-เมนูยอดนิยมร้านนี้ เป็นอาหารพื้นเมืองฝรั่งเศษ จานแรกพลาดไม่ได้ "Escargot" หรือหอยทากนั้นเอง รสมันๆหอมเครื่องเทศ โรยเกลือนิดๆรสดี


-จานต่อมาขากบทอดจานใหญ่ ออกมันๆ เนื้อขากบแน่นๆ บีบเลมอนได้รสเปรี้ยว โรยเกลีอนิด ตัดเลี่ยนได้ แปลกดี มาพร้อมกับข้าวอีกจาน

 
-จานสุดท้าย อยากลองมานานสเต็กทาร์ทาร์ หรือสเต็กเนื้อวัวดิบ ปรุงด้วยหัวหอมและมะกอก เนื้อรสหวานมัน หอม ตัดด้วยรสเปรี้ยวของมะกอก เข้ากันอย่างดีและไม่คาวอย่างที่คิด
สรุปโดยรวมมื้อแรกอร่อยแบบฝรั่งๆ เลี่ยนนิดหน่อย ถือว่าเป็นการประเดิมที่ดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 10, 2018, 07:08:02 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
-อิ่มแล้วก็เดินต่อไม่ไกลก็จะถึงประตูชัยฝรั่งเศส  (Arc de Triomphe พิกัด : 48.873852, 2.295024) ซึ่งตั้งอยู่กลางวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีถนน 12 สายตัดกันที่วงเวียนนี้
ส่วนตัวจำประตูชัยฝรั่งเศส ได้เพราะเหมือนเคยดูรายการ Fifth Gear ของประเทศอังกฤษ ที่ให้คนหัดขับรถเกียร์ธรรมดา ขับเข้ามาในวงเวียนประตูชัยนี้ ดูตอนนั้นสนุกมาก
พอมาเจอของจริงสนุกกว่า วิ่งกันวุ่น จะชนกันตลอดเวลา บันเทิงมากๆ


-ถ่ายรูปเสร็จจะเดินเข้าไปตรงประตู เดินหาทางลงอยู่นาน หาทางข้ามไม่เจอ สรุป ต้องเดินลอดอุโมงค์ใต้ดินไป


- Arc de Triomphe สร้างในปี พ.ศ. 2349 ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน
เดินรอบๆ ชมความสวยงาม ใช้เวลาพอสมควรแล้วก็ได้เวลาไปต่อ




- ขึ้นรถเมล์ จาก Arc de triomphe แต่ต่อเดียวมาลงที่ Place de la Concorde เจอกับเสาหินโอเบลิสก์ กับชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่
ปลัสเดอลากงกอร์ด(Place de la Concorde  พิกัด : 48.865606, 2.321223)มีความสำคัญคือเป็นจัตุรัสที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสและพระนางมารี อองตัวแนตถูกประหารด้วยกิโยตีน ณ จัตุรัสแห่งนี้ในสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส




-เดินถ่ายรูปเสร็จ เริ่มง่วง ตาจะหลับ เลยเดินไปหากาแฟกระแทกปากให้ตาตื่น ใกล้มีคาเฟ่ Angelina (พิกัด : 48.865029, 2.328629) ขอจัดสักแก้ว


-จำได้ว่ามีขนมดังเลยสั่งมาด้วยคนละชิ้น
Mont-Blanc Fruits Rouges ขนมมองบลังค์รสหวานมัน ตัดด้วยผลไม้รสเปรี้ยวๆ


-ทานคู่กับโกโก้ร้อน รสเข้ม เพิ่มความมันด้วยวิปครีม อร่อยสะใจ


-ขนมอีกชิ้นตามมาติดๆ
Millefeuille à la vanille Bourbon ขนมมีลเฟย พายกรอบกลิ่นหอมกาแฟเข้ากับครีมรสวนิลา อร่อยมากกกก


-เติมพลังเรียบร้อย เดินเล่นเตรียมไปพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ระหว่าทางผ่านสวน Tuileries(พิกัด : 48.863503, 2.327596) คนเดินเพียบ ฝุ่นกระจาย แต่จัดสวนได้สวยงาม


-เดินต่อจนถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์(Louvre Museum พิกัด : 48.860604, 2.337665)ช่วงเย็นพอดี  ด้านบนคนเยอะเลยเข้าทางเข้าใต้ดิน เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยขึ้นมาถ่ายด้านบน


-เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์สุดอลังกาล แต่เป้าหมายหลักคือไปดูรูปผู้หญิงคนนี้ ไปช่วงเย็นคิวไม่แน่น


-ส่วนอื่นๆ ขอเก็บไว้มันเยอะมาก มีศิลปะมากมาย จนเรียบเรียงไม่ถูก ใครชอบศิลปะและวัฒนธรรม มีครบทุกชาติ ใช้เวลาแค่สองสามชั่วโมงไม่พอแน่ๆ








-ดูจนครบเท่าที่จะหาเจอ เพราะมันใหญ่มากกก เดินจนปวดขา ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ขึ้นมา 2 ทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศดีมาก....


-อยู่รอจนค่ำเก็บภาพด้านหน้า สวยจริง ....... จากนั้นกลับโรงแรม ซื้อขนมจากร้านสะดวกซื้อแถวที่พัก กินอาหารไทยที่หอบมาพอให้หายเลี่ยน จากนั้นก็ ... จบวันที่ 1

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 10, 2018, 07:15:08 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY2
-ตื่นแต่เช้าออกจากโรงแรมมาขึ้นรถเมล์จากแถวที่พักคือย่าน Opéra ไปลงแถว Pont des Arts ชมสะพานปงเดซาร์ (Pont des Arts พิกัด : 48.858341, 2.337475) เป็นสะพานเหล็กแห่งแรกของปารีส
คนส่วนใหญ่จะเรียกว่าสะพานคู่รัก แต่ก่อนจะมีกุญแจส่ายยูมาคล้องที่สะพานแสดงความรักของคู่รัก แต่คงเพราะกุญแจเยอะจนหนักมากทำให้สะพานชำรุด จึงมีการบูรณะใหม่และไม่ให้คล้องกุญแจแล้ว


-เดินมาไม่ไกลข้ามสะพานกันอีกรอบไปที่เกาะกลางแม่น้ำแซน ไปชมรูปปั้นของพระเจ้าพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ( พิกัด : 48.857141, 2.340965) สูงเด่นเป็นตระหง่าน
และรั้วรอบๆ มีกุญแจคู่รักคล้องกันอยู่หนาแน่นพอสมควร




-กำลังจะไปเป้าต่อไปเจอ Cafe เลยแวะเติมพลังกันสักหน่อย อาหารเช้าแบบยุโรปส่วนใหญ่จะมีแค่ขนมปัง ครัวซองต์และกาแฟน้ำส้ม ขายเป็นชุดแบบนี้


-ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพราะจะไปที่นี่ แซ็งต์-ชาแปล (Sainte Chapelle : พิกัด 48.855415, 2.344987 ) ด้วยสถานที่ไม่ใหญ่และนักท่องเที่ยวสนใจเยอะถ้าไปสายอาจจะต้องต่อคิวเป็นชั่วโมงแน่ๆ เลยมากันแต่เช้า
ซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ที่นี้ ( http://www.sainte-chapelle.fr/en/)


-แซ็งต์-ชาแปลเป็นตัวอย่างสำคัญของการวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมแรยอน็องซึ่งเป็นสมัยหนึ่งของสถาปัตยกรรมกอทิก ที่เป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมที่พยายามทำให้สิ่งก่อสร้างดูเหมือนปราศจากน้ำหนัก


-สิ่งที่สวยสุดของแซ็งต์-ชาแปลคือหน้าต่างประดับกระจกที่สูงและสวยงามมีความละเอียดและสีสันอลังการมากๆ


-หน้าต่างกุหลาบอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่แซ็งต์-ชาแปลนี้ สวยจริงๆ แต่สถานที่ไม่ใหญ่ควรรีบมาแต่เช้า คนไม่เยอะ แนะนำๆ ห้ามพลาด


-เดินจนรอบคนเริ่มเยอะไปต่อดีกว่า เดินกันต่อไปจนถึงศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติฌอร์ฌ ปงปีดู (Le Centre Pompidou : พิกัด 48.860640, 2.352267 )
ตัวอาคารดูแปลกตาเป็นการออกแบบนวัตกรรมเชิงไฮเทค โดยการนำเสนอโครงสร้างภายในมาไว้ด้านนอก ทั้งท่อไฟ ท่ออากาศ โครงเหล็ก


-ผู้ริเริ่มให้สร้างอาคารแห่งนี้ขึ้นคือฌอร์ฌ ปงปีดู ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนที่ 2 โดยเปิดเริ่มใช้เมื่อ 31 มกราคม ค.ศ. 1977 และยังเป็นที่นิยมเข้าชมของนักท่องเที่ยวและชาวฝรั่งเศสในกรุงปารีส
เพราะมีสมุดสาธารณะขนาดใหญ่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งชาติ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ดูจากคิวคนรอเข้าชมแล้วไม่ธรรมดา


-ขึ้นไปชั้นบนสุดแล้วเดินชมลงมาทีละชั้น ดูศิลปะร่วมสมัย....... ดูยังไงก็เข้าไม่ถึง ><




-เต็มอิ่มศิลปะแล้ว ท้องก็ร้องทันที ดูนาฬิกาเกือบจะเที่ยงแล้ว รีบไปร้านดัง ได้ข่าวว่าคนเยอะ เดินไม่ไกลมาก กับร้าน Benedict Paris (พิกัด : 48.858164, 2.356084)


-มีคนเคยบอกไว้ ร้านชื่ออะไรให้สั่งอาหารชื่อเดียวกับร้าน จัดไป Eggs Benedict : A La Truffe + Frites Maison
Eggs Benedict บนขนมปังนุ่มๆ ราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิล  ทุกอย่างเข้ากันดีละมุนลิ้นกลิ่นซอสเห็ดทรัฟเฟิล คล้ายๆ แก๊สขึ้นจมูก โรยเกลือเพิ่มความเค็มหน่อย
นัวมาก ฟินนนนนน ทานคู่มันฝรั่งทอดเสิร์ฟมาพร้อมกัน ทานเกือบไม่หมด


-อีกจานก็ไม่ธรรมดา Benedict Berger เบอร์เกอร์กับฟัวกราส์ เมนูเด็ด เนื้อลีนแน่นๆ บวกกับความมันของฟัวกราส์ เข้ากันอย่างดี เด็ดจริง ตัดเลี่ยนกับ Ratatouille
รสเปรี้ยวหวาน ลงตัวมาก หมดสองจาน สองคนอิ่มกำลังดีแต่ตัวเบากันไป ราคาเอาเรื่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2018, 19:34:44 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
-อิ่มแล้วก็นั่งรถกลับไปย่าน  Opéra คุณแฟนอยากเสียเงินเลยพาไปเดิน Galeries Lafayette (พิกัด : 48.873586, 2.332149)
เสียเงินเรียบร้อย ขึ้นไปดาดฟ้าดูวิวกันเล็กน้อย เพราะจุดหมายต่อไป หอคอยไอเฟล


-นั่งรถเมล์จากย่าน Opéra ไปลงแถวTrocadéro Gardens (พิกัด : 48.861642, 2.289338)
มาดูจุดชมวิวหอคอยไอเฟลยอดนิยม คนล้นหลามมาก


-เดินเข้าไป ก็มืดลงเรื่อยๆ จนถึงหอคอยไอเฟล (Tour Eiffel พิกัด :48.858342, 2.294971) หอคอยสร้างจากเหล็กที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ใครได้เห็นก็ทราบทันทีว่าอยู่ที่กรุงปารีส ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลกในปีค.ศ. 1889 
ตั้งอยู่มาร้อยกว่าปีแล้วเข้าไปใกล้ก็ยังดูใหม่ ฟ้าเริ่มมืดเปิดไฟยิ่งดูสวยงาม


-ดูเวลาก็จะสี่ทุ่ม กลับโรงแรมดีกว่าพรุ่งนี้ต้องออกเช้า ยืนรอรถเมล์อากาศหนาวทีเดียว
กลับมาถึงหน้าโรงแรมแล้วท้องร้อง ต้องหาอะไรเติมกระเพาะจะได้หลับสบาย ข้างๆ โรงแรมมีร้านอาหารคนเยอะ ไปลองสักหน่อย
ชื่อร้าน Léon de Bruxelles สาขา  Opéra (พิกัด : 48.871378, 2.335439)
ร้านนี้ดังเมนูหอยแมลงภู่อบ จัดหอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาว มาเป็นหม้อ รสเบาออกเปรี้ยวๆ กินแลัวสดชื่น


-อยากหนักท้องหน่อยเลยสั่ง fish and chips อีกจานมาร้อนๆ ปลาสดเนื้อแน่น กรอบนอกนุ่มใน จิ้มซอสรสเลมอนเข้ากั๊น เข้ากัน  อิ่มพอดีกลับห้องหลับสบาย ... จบวันที่ 2

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2018, 19:37:00 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY3
-ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้ารีบลงรถไฟใต้ดิน รอบนี้จะซื้อ Pass 1 วัน โดยใช้ตั๋ว Mobilis (http://www.ratp.fr/en/ratp/c_21148/mobilis/) สามารถใช้เดินทางขนส่งมวลชนได้หมด ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถไฟ แต่มีข้อจำกัดว่าใช้ได้ 1 วัน
และอยู่ในบริเวณ Zone ที่เราเลือกไว้ เพราะราคาแต่ละ Zone ไม่เท่ากัน สถานที่เราไปในวันนี้ไปไกลสุดแค่ Zone 4 เลยจัด Mobilis Zone1-4 ราคา 12 ยูโรต่อคน


-เริ่มจากลงรถไฟใต้ดินสาย 8 จากสถานี Opéra ไปลงสถานี Invalides แล้วต่อรถไฟ RER สาย C จากสถานี Invalides ไปลงสถานี Gare de Versailles Château Rive Gauche
*ปล. รถไฟ RER สาย C จะแยกไปหลายทาง ให้สังเกตหน้ารถไฟจะมีคำว่า VICK หรือให้ดูสถานีปลายทาง  Versailles Château ก็ขึ้นได้เลย ตอนผมไปเจอเจ้าหน้าที่พอดีเค้าเลยบอกให้กระโดดขึ้นไปเลย
เนื่องจากออกแต่เช้าเลยไม่มีคนเลย นั่งกันอยู่สองคน


-ถึงสถานีปลายทาง Gare de Versailles Château Rive Gauche ก็รีบไปต่อกันเลย พระราชวังแวร์ซายส์ (Palace of Versailles : พิกัด 48.804826, 2.120405)


-ใครได้มาเที่ยวฝรั่งเศสก็คงไม่พลาดที่จะได้ไป พระราชวังแวร์ซายส์ ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่มาแต่เช้าเพราะว่านักท่องเที่ยวเยอะ มาถึงก็ไปต่อคิวแรก
รีบไปต่อคิวไม่วอกแวกไปไหน และที่สำคัญแนะนำเลย ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปเร็วขึ้นเยอะ (http://en.chateauversailles.fr/plan-your-visit/tickets-and-prices)
ตั๋วที่ซื้อเป็นตัว Palace ticket ราคาคนละ 18 ยูโร เพราะเน้นไปดูพระราชวังอย่างเดียว สวนยังไม่ใช่ช่วงดอกไม้บานเลยตัดออก
Versailles Château




-ประตูเปิดผ่าน ระบบรักษาความปลอดภัย แล้วก็วิ่งเลย ยังไม่สนอะไรทั้งนั้น เพื่อสิ่งนี้ รูปแบบไม่มีคน เข้าไปก็ตื่นเต้น จากจุดเริ่มต้นเป็นเพียงพระตำหนักขึ้นมาในปีค.ศ. 1624 โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ใช้ในการล่าสัตว์
จากนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีพระประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปีค.ศ. 1661 ใช้เวลาปรับปรุงกว่า 30 ปีกับเงินมหาศาล
จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวัง ในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส




-และห้องนี้คือห้องที่ต้องมาชม ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) ถือว่าเป็นห้องสวยงามและมีชื่อเสียงที่สุด
 เป็นห้องที่มีความสำคัญใช้ในการลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 และใช้เป็นที่ลงนาม ในเมื่อเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
 ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกยักษ์ 17 บาน ถ่ายรูปเสร็จค่อยออกไปชมแบบละเอียดๆ อีกรอบ สวยงามจริงๆ


-ดูจนครบ ออกมาคนเยอะมากกกก โชคดีที่มาเช้า สวยงามสมคำร่ำลือจริงๆ เดินกลับไปนั่งรถไฟ สายเดิมกลับเข้าตัวกรุงปารีส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2018, 19:41:14 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
-มาลงที่สถานี Invalides ขึ้นมาจากสถานีเจอสะพานอเล็กซานเดรที่ 3 สะพานที่ชื่อว่าสวยที่สุดในปารีส แดดดีเลยถ่ายมาแต่วิว ><


-เที่ยงพอดี ต่อรถเมล์ไปหาอะไรกระแทกปาก เคยไปกินบุฟเฟ่โรงแรมชอบบอกว่าหอยนางรมจากฝรั่งเศส เลยขอจัดสักครั้งหอยสดๆ กับร้านHuitrerie Régis (พิกัด : 48.852780, 2.336012)


-ไปถึงยังไม่มีคนตอนแรกนึกว่าร้านไม่เปิด เข้าไปพนักงานดูไม่ค่อยต้อนรับเท่าไหร่ช่างมัน ร้านนี้ขั้นต่ำอย่างน้อยต้องสั่งคนละ 12 ตัว จะสั่ง 12 ตัวมาหารกันไม่ได้ เลยสั่งมา 1 ชุดกับอีก 12 ตัว
อยากกินกุ้งเลยต้องจัด ขนมปังเรียกน้ำย่อยมาก่อน ตามมาด้วยหอยถาดใหญ่ม่าก หอยตัวใหญ่มี 2 สายพันธุ์ ตัวเล็กตัวใหญ่ตามชุดที่เลือกละมีกุ้งต้ม
-หอยสดใช้ได้ และสองสายพันธุ์มีความต่างกันที่ความหวานและกลิ่นเล็กน้อย ติดที่น้ำจิ้ม เป็นน้ำส้มสายชูหรือน้ำเลมอน ความอร่อยลดลง 30% ถ้าได้พริกเผา น้ำจิ้มซีฟู๊ด กับยอดกระถิน คงจะฟินกว่านี้
แต่ว่าหอยอร่อยแล้ว กุ้งอร่อยกว่า หวาน กรอบ กินกันจนหมด เรียกเก็บเงิน เจ๊พนักงานทำเนียน ในชุดจะมีกาแฟ 1 แก้วทำเป็นไม่สนใจ จนเราถามก็บอกว่ากำลังจะมาถามว่าเอากาแฟอะไร
หอยอร่อย แต่ทำใจพนักงานบริการไม่ดี ราคาแรงพอสมควร แต่ถ้าชอบหอยไม่ผิดหวัง อย่าลืมเอาน้ำจิ้มซีฟู๊ดบ้านเราไปด้วย ^^


-เนื่องจากกาแฟได้มาแค่แก้วเดียว และแค่หอยยังไม่ทำให้หนังท้องตึงได้ เดินไปอีกไม่ไกล ไปคาเฟ่ดังร้าน Café de Flore (พิกัด : 48.854149, 2.332615)


-คาเฟ่เก่าแก่และมีชื่อเสียงร้านหนึ่งของกรุงปารีส เปิดตั้งแต่ปีค.ศ. 1870 ซึ่งเป็นร้านโปรดของนักเขียนชื่อดัง วิคตอร์ ฮูโก ไปถึงหน้าร้านตกใจคนเต็มร้าน ต้องขึ้นไปชั้นสอง


-ไม่ได้หิวมากแค่มีความอยากเล็กน้อย จัดกาแฟคนละแก้วกับเค้กอีกหนึ่งชิ้น แซนวิชหน้าชีสกับไข่ร้อนๆ อีกสักอัน เติมความอุ่นก่อนจะไปต่อ
-ร้านดูเก่าแก่พนักงานดูแลดี ราคาเร้าใจหน่อย แต่ถ้าได้มาแถวนี้ก็ไม่ควรพลาด ^^


-อาหารสองร้านติดๆ ต้องเที่ยวบ้างแล้ว ก่อนจะไปจุดหมายต่อไป ไปถ่ายรูปวิวระยะไกลกันก่อน นั่งรถเมล์ไป ไปลงที่ตึก Arab World Institute (พิกัด : 48.848934, 2.357219)
-ความโดดเด่นของตึก Arab World Institute ออกแบบโดยฌ็อง นูแวล ตัวอาคารเป็นกระจกและความพิเศษคือภายในตัวอาการสามารถปรับแสงได้เอง โดยที่หน้าต่างจะติดตั้งชุดปรับแสงทรงกลมเล็กๆ
สามารถหรี่และขยายได้เหมือนม่านตา


-แล้วบนชั้นบนสุดสามารถชมวิวมหาวิหารน็อทร์-ดาม ได้อย่างสวยงามและไม่เสียค่าเข้าด้วย


-เดินทางสู้เป้าหมาย มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Cathédrale Notre-Dame de Paris พิกัด : 48.852891, 2.349936)
อยู่ไม่ไกลกันมากเดินเรียบแม่น้ำแซนไปก็ถึง


-มหาวิหารน็อทร์-ดาม เริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1163 ระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 และสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1345 และในปี ค.ศ. 1793 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส โบสถ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ประติมากรรมและศิลปะทางศาสนาถูกทำลายไปมาก มหาวิหารได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19


-ภายใน มหาวิหารน็อทร์-ดาม เข้าชมฟรี แต่ถ้าใครอยากชมวิวมุมสูงโดยขึ้นบันได 387ขั้น ไปถ่ายรูปการ์กอยล์ ต้องจ่ายเงินค่าขึ้น ซึ่งผมกับแฟนก็บาย เดินทั้งวันเริ่มปวดขาแล้ว><


-ชมเสร็จก็ไปต่อ นั่งรถเมล์ไป ออแตลเดแซ็งวาลีด (Hôtel des Invalides พิกัด : 48.855170, 2.312695)


-ภายในออแตลเดแซ็งวาลีด สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ปัจจุบันประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์การทหารของฝรั่งเศส
และยังเป็นสุสานของวีรบุรุษนักการทหารของชาติ และสุสานของนโปเลียน โบนาปาร์ตอีกด้วย


-ตัวสุสานของนโปเลียน โบนาปาร์ต อลังการและสวยมาก ทำจากหินอ่อนเกือบทั้งหมด เดินดูจนเกือบหมดเวลาเลยได้เข้าพิพิธภัณฑ์ทางทหารได้แป๊ปเดียว
เสียดายจริงๆ


-ต้องรีบกลับห้องมาเก็บของเพราะพรุ่งนี้ออกต่างจังหวัด เลยหากินง่ายๆ แถวโรงแรม
-อากาศหนาวๆ ระหว่างทางกลับโรงแรมเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะเลยคิดอยากลองอาหารญี่ปุ่นในปารีส ถึงหน้าโรงแรมตรงข้ามเจอ ร้านราเมน Higuma(พิกัด : 48.870917, 2.335413) ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คงดีต้องจัดสักหน่อย


-อาหารสั่งเป็นชุด ชุดละประมาณ สิบกว่ายูโร ถือว่าไม่แพงมาก จัดไปชุดแรก SHIO LAMEN กับเกี้ยวซ่า (เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส) รสเบากำลังดีไม่เค็มมาก แต่มันไปนิด
เกี้ยวซ่าแป้งกรอบดี แต่แผ่นแป้งร่วนไปหน่อย รสชาติดี อร่อย มาตราฐาน   




-ชุดที่สองตามมา KIMUCHI LAMEN.... อ่านแล้วแปลกๆ กับข้าวผัด ราเมนกิมจิรสไม่เผ็ดเท่าไหร่ได้พอแสบๆ ข้าวผัดหอมอร่อยกำลังดีมีกลิ่นกระทะ
สรุปทั้งสองชุดนี้ผ่าน พอให้ลืมรสอาหารฝรั่งมันๆ เลี่ยนๆ ไปได้บ้าง
-ทานเสร็จกลับห้องรีบเก็บของ นอน ... จบวันที่ 3


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 08:38:30 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY4
-ตื่นแต่เช้า ให้โรงแรมเรียกTaxi ให้ไปสถานีรถไฟ Gare de l'Est เตรียมนั่งรถไฟความเร็วสูง TGV!!!


-รีบมาถึงเพราะกลัวหลง ขอแอบมาดูชานชาลาก่อน แต่ว่ามาเร็วกว่ารถออก 1 ชั่วโมง เลยยังไม่ทราบว่ารถเข้าชานชาลาไหน จะทราบก่อนรถออก 20 นาที
เลยมาพักกินกาแฟก่อนจนได้เวลารถเข้าจอดที่ชานชาลา รถไฟตู้สองชั้น ใหญ่โตทีเดียว แต่เข้าไปภายในแล้วดูไม่ได้สวยงามเหมือน รถไฟ shinkansen ของญี่ปุ่น


-ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากกรุงปารีสสู่เมืองสตราสบวร์ก (Strasbourg)  ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านมนุษยชาติขององค์การยูเนสโกเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นอัลซาส (Alsace) เป็นเมืองชายแดนติดกับประเทศเยอรมนี
จึงเรียกได้ว่าเป็นเมืองสองวัฒนธรรม มีจุดเด่นคือเป็นเมืองที่มีคลองล้อมรอบ และคลองแต่ละเส้นมีความต่างระดับกัน จึงต้องมีประตูน้ำเพื่อยกเรือขึ้น-ลง ในการผ่านคลองแต่ละเส้น


-เราพักอยู่ในตัวเมืองเก่าเดินจากสถานีรถไฟไปประมาณ 500 เมตร เอากระเป๋าไปเก็บ วันนี้อยากชิวๆ เลยเดินเล่นเฉพาะในตัวเมือง
ดันมาเจอในช่วงเทศกาล   Easter Monday ทำให้ร้านค้าส่วนใหญ่ปิด เงียบสนิทโชคดียังมีร้านอาหารบางส่วนเปิดรับนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง


-เดินไปจุดชมวิว หอคอยและสะพาน Pont Couverts(พิกัด : 48.580113, 7.739288) ตั้งอยู่ปากทางเข้าเมือง สมัยก่อนไว้คอยตรวจเรือที่ผ่านเข้าเมืองและเก็บภาษี


-ใกล้เที่ยงแล้วหิวพอดีหาอะไรกินกันดีกว่า กับอาหารกลางวันร้าน La Corde à Linge (พิกัด : 48.581196, 7.742610)
ร้านคาเฟ่ ริมน้ำย่านเมืองเก่า บรรยากาศดี แต่ฝนตกหนาวมากเลยเข้าไปนั่งในร้านแทน
-จานแรกร้อนๆ มาเลย มีทบอลราดซอสมัสตาด เสิร์ฟพร้อมซาวเคราท์ หรือผักดองฝอย มีทบอลเนื้อแน่น ราดบนซอสมัสตาด รสมัน ฉุนขึ้นจมูกนิดๆ ตัดด้วยเปรี้ยวของผักกาดดอง


-ส่งสลัดมาตัดเลี่ยน แต่เจอชีสกลิ่นแรงเข้าถอยกันหมด แต่น้ำสลัดรสดีมาก


-จานสุดท้าย ไก่ผัดครีมซอส ทานคู่กับ.....เรียนอะไรไม่รู้แต่เหมือนแป้งเอาปั้นกลมๆ ยาวๆ แล้วไปจี่กับกระทะ จานนี้อร่อยจริง ซอสกับไก่หวานมันเข้ากันดีทานกับแป้ง
เหมือนทานกับข้าวกวาดจนหมดจาน ร้านนี้แนะนำ


-อิ่มกันแล้วไปต่อดีกว่า เดินไป จุดหมายต่อไป วิหารวิหารน็อทร์-ดาม แห่งเมืองสตราสบวร์ก (Cathédrale Notre Dame de Strasbourg : พิกัด48.581875, 7.751076)


-เป็นมหาวิหารแห่งพระแม่มาเรีย เป็นโบสถ์คาทอลิค ใช้เวลาสร้างถึง 400 ปี  ภายในมีบันได 332 ขั้นเพื่อขึ้นไปดูวิวมุมสูงแต่เสียค่าขึ้น รออะไรขึ้นอยู่แล้ว!!!


-วิวมุมสูงสวยงามทีเดียวแต่ฝนก็เริ่มตกอีกรอบ ลมแรงหนาวมากกกก ลงกันดีกว่า




-เข้าไปภายในวิหารหลบฝนสักหน่อย บรรยายกาศเย็นยะเยือก แต่ภายในดูสวยงามและดูอบอุ่นมาก




-เดินออกมาฝนหยุด แต่อากาศยังเย็นมาก โบราณว่าไว้หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง หนาวดีนัก จัดไป Gelato ร้านดัง Amorino หวานเย็นชื่นใจ หลังจากนี้ก็พากันเดินเล่นละลายเงินยูโรแต่ก็ร้านค้าปิดเกือบหมด
รวมทั้งหอยเมื่อวานเริ่มทำพิษเลยกลับห้องกินข้าวกล่องที่หอบมาจากไทย รีบเข้านอนเอาแรงเพราะพรุ่งนี้ต้องขับรถ! ... จบวันที่ 4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 08:42:13 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY5
-ตื่นสบายๆ นอนอิ่ม วันนี้ต้องไปขับรถเล่นกัน แต่ผิดแผนเล็กน้อย เพราะเมื่อวานคุณแฟนตามล่ากระเป๋าม้าน้อยไม่สำเร็จ เลยเดินไปรับรถก่อน
ยื่นเอกสารการจอง พร้อมใบขับขี่ตัวจริง และใบขับขี่สากลตัวจริง โชคดีที่น้องเค้าอัพเกรดรถให้ที่จองตอนแรกไปเป็นเกียร์ธรรมดาให้เป็นเกียร์ออโต้ จากนั้นน้องเค้าก็เชียร์ให้ซื้อประกันตางและกระจกเพิ่ม ฟังดูแล้วไม่แพงเลยซื้อเพิ่มไป
และยังบริการเติมน้ำมันให้เราขับรถเข้ามาได้เลยไม่ต้องเติมน้ำมันเต็ม แต่ดูระยะทางคร่าวๆ แล้วน้ำมันไม่หมดถังแน่ เลยไม่เอาเดี๋ยวเติมเอง น้องเค้าเลยบอกปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ที่จอดรถคืน จากนั้นรับกุญแจ
แล้วก็ไปต่อแถวดูกระเป๋าม้าน้อย ยืนรอจนร้านเปิดแต่สุดท้ายไม่ได้ อดไป คุณแฟนไม่ยอม จะไปต่ออีกที่ปารีส!!! ><


-กลับโรงแรมลากกระเป๋าไปที่จอดรถ เจ้า MINI Hatchback สีขาวนวล น่ารักจิงๆ
มันไม่ง่ายเลยกับการยัดกระเป๋าเดินทางขนาด 28 นิ้ว กับ 24 นิ้ว สองใบลงในท้ายของเจ้า MINI คันนี้ แต่สุดท้ายก็จัดระเบียบจนเรียบร้อย พร้อม ออกเดินทาง!!!

-การปรับตัวช่วงแรกรู้สึกงงพอสมควรแต่ขับไปสัก 5 นาทีก็เริ่มปรับตัวได้ แต่พอขับเผลอๆ รถมันก็จะไหลไปทางขวาอยู่บ้าง แฟนต้องเตือนเป็นระยะ ขับผ่านไปสัก1 ชั่วโมง ก็ผ่านไปได้สบายๆ
-จะมีติดขัดนิดหน่อยตรง GPS Google Map เปิดเป็นแบบออนไลน์ พิกัดและทิศทางจะบอกช้าและดูงงๆ ในบางจังหวะ พิกัดมีเด้งไปเด้งมาบ้าง


-ขับออกจากเมือง สตราสบวร์กประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงเมืองแรกที่เราจะแวะพักทานข้าวเที่ยง คือเมืองริโบวิลล์ (Ribeauvillé) เมืองเล็กๆ ที่ล้อมไปด้วยสวนองุ่น สองข้างทางตามถนนเต็มไปด้วยไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา
แต่คงไม่ใช่ช่วงเพาะปลูก เลยเห็นแค่กิ่งองุ่น ><


-ขับๆ ไปจอดข้างตัวเมืองมีที่จอดรถฟรีริมถนน ในตัวเมืองเป็นบ้านทรงเก่าท่าสีกันได้น่ารัก และเต็มไปด้วยร้านขายไวน์ ขายเต็มไปหมด
เข้าเดินเล่นยังไม่ทันไรฝนก็ตกอีกรอบ ฝนตกไปสักพักหิมะตามมา หนาวมากกกกกกกกก เลยรีบหาไออุ่น วิ่งเข้าร้านอาหาร ร้าน Wistub Zum Pfifferhus (พิกัด : 48.193730, 7.323018)


-พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ กะไว้แล้วเพราะออกนอกเมืองเลยทำการบ้านมาพอสมควร ถ่ายรูปเมนูอาหารของร้านที่คนเคยReview ไว้ในเว็บ Tripadvisor เปิดรูปให้หนักงานดูพร้อมพยักหน้าแล้วยิ้มหวานๆ
เมนูแรกมา พายยัดไส้หมูสับและแฮม พายกรอบนอก หมูภายในนุ่มหวามหอมพริกไทย แฮมรมควันตรงกลางหนานุ่มมีรสเค็มกำลังดี อร่อยมากกก ทานคู่กับมันฝรั่ง อิ่มกำลังดี จานใหญ่ใช้ได้


-จานต่อมา อาหารเยอรมันชัดๆ เมืองชายแดดติดกันเลยไม่แปลกใจ แฮมรมควัน กับไส้กรอก  มันฝรั่งต้ม กับ ซาวเคราท์ หรือผักดองฝอยอยู่ด้านใน แฮมหอมอร่อย ไส้กรอกหนักกรอบเผ็ดผริกไทยนิดๆ ทานคู่ผักดองเปรี้ยวๆ เข้ากัน แต่วันท้ายๆ
เริ่มมีเลี่ยนเหมือนกัน จานใหญ่มาก ทานเกือบไม่หมด


-เมืองไวน์ก็ต้องชิมไวน์ คุณแฟนซดหมดแก้วอุ่นร่างกายสู้ภัยหนาว ก่อนคิดเงินพร้อมไปต่อ


-เดินเล่นนิดหน่อย ร้านค้ายังไม่ค่อยเปิดเลยไปต่อดีกว่า เมืองต่อมาเมืองริคเวีย (Riquewihr) เมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยไร่องุ่นเช่นกันได้ขึ้นทะเบียนหมู่บ้านมรดกโลก
และติดอันดับหมู่บ้านที่สวยที่สุดในฝรั่งเศส แต่......ฝนยังตกไม่หยุดเลยเก็บภาพมาได้น้อยมาก ><


-ผ่านหน้าร้านคุณพี่ยื่นขนมมาให้เกือบจะยัดเข้าปาก กัดหมับ ...... อร่อยมากกก เหมือนทำจากมะพร้าวอุ่นๆ จากเตาเลยที่เดียว จกเงินออกมาซื้อไม่ทัน สรุปมันคือขนม Macaroon คล้ายๆ ขนมบ้าบิ่น
แต่พอออกจากร้าน คุณพี่หยิบอีกถุงมาให้ ไม่ร้อนเหมือนที่ชิมตอนแรก ความอร่อยตกลง 40%


-ฝนยังตกไม่หยุดสลับกับหิมะ เลยคิดว่าไปต่อดีกว่า เมืองต่อมา เมืองเคเซอส์เบอร์ก (Kaysersberg)
เมืองเล็กคล้ายสองเมืองแรก แต่จะมีคลองไหลผ่าน ฝนก็หยุด หนาวสุดๆ


-ชมเมืองจนครบ กำลังเดินกลับไปที่รถ.......แดดออก!!!


-เมืองสุดท้ายของวันนี้ แวะมาพักแรม คือเมืองกอลมาร์ (Colmer) เป็นเมืองหนึ่งในเส้นทางไวน์ของอัลซาส เป็นเมื่องใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองที่แวะเที่ยวในวันนี้ ถือว่าเป็นเมืองหลวงของไวน์แห่งอัลซาสเลยทีเดียว “Capitale des vins d'Alsace”


-ในสมัยสงครามกลางเมืองปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองกอลมาร์ ได้รอดพ้นการถูกทำลายทำให้ตัวเมืองยังคงสภาพเหมือนในสมัยก่อน


-คลองที่ล้อมรอบตัวเมือง ที่มีบ้านเรื่อนเรียงรายมีความสวยงามจนได้รับฉายาว่า "เวนิสน้อย"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 08:47:02 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
-เที่ยวเล่นจนรอบเมือง ดูเวลาต้องไปแล้ว จองร้านอาหารไว้ ร้านอาหารคืนนี้ คือร้าน JY'S (พิกัด : 48.074109, 7.358677) ร้านอาหารดังอีกหนึ่งร้านของที่นี้ ได้รับ Michelin star 2 ดาว
รถจอดหน้าร้านน่าจะเป็นรถเจ้าของร้าน.....ไม่ธรรมดา!


-ตัวร้านตั้งอยู่ริมน้ำ บรรยากาศดี
ร้านนี้ต้องจองล่วงหน้าที่ http://www.jean-yves-schillinger.com/ แล้วจะได้เมลกลับมายืนยันเวลาที่จอง ถึงเวลานัดก็เข้าไปเลย
การตกแต่งดูดีทั้งภายนอกและภายในร้านเข้าไปในร้านมีบริกรถอดเสื้อกันหนาวให้ โชคดีที่ร้านนี้ไม่เคร่งเรื่องเครื่องแต่งกายใส่กางเกงยีนเข้าได้ไม่มีปัญหา


-โต๊ะในร้านอยู่ห่างกันไม่อึดอัดอาจจะเพราะต้องการให้บริกรเดินวนเสิร์ฟได้รอบโต๊ะ
-พนักงานต้อนรับดีมาก(และหน้าตาดีมาก) ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ เค้าก็พยามสื่อสารจนเข้าใจ เมนูมา สั่งไม่ยาก เป็นชุดตามราคาเลย เลยจัดกันง่ายๆชุดเล็ก 4 จานให้คุณแฟน ชุดใหญ่ 7 จานผมจัดเอง!


-สั่งเสร็จเรียบร้อย จานเรียกน้ำย่อยก็มาทันที เริ่มจากขนมปังPopover ด้านนอกกรอบมากกกก ไม่แข็ง และภายในนุมละมุน ทานกับเนยอร่อยฟิน เป็นจานเริ่มที่ดี


-ต้นไม้ประดับโต๊ะตอนแรกนึกว่าไม่มีอะไร จนพนักงานเข้ามาบอกว่ามีมะกอกทานได้ จิ้มกับน้ำมันมะกอก เปรี้ยวๆ มันๆ น้ำลายแตกฟองเลยทีเดียว


-ขนมปังทานคู่กับอาหาร ก็เสิร์ฟมาในถุงที่ทำจากหนัง ไว้รักษาความอุ่นของขนมปัง ดูใส่ใจในรายละเอียด


-เริ่มจากจานทานเล่น เสิร์ฟมาเหมือนกันทั้งสองชุด เป็นเหมือนครีมนุ่มๆ มีสามรสชาติ อร่อยแบบแปลกๆ หวาน มัน เค็ม ทานกับแป้งแผ่นบางกรอบ


-จานแรกของชุด 4 จาน ฟัวกรา ท่านคู่กับขนมปังร้อนๆ กับซอสสัปปะรดหวานอมเปรี้ยว เข้ากับความมันของตับห่านได้อย่างดี


-จานแรกของชุด 7 จาน มาพร้อมกัน ปลาแมกเคอเรล กับผลไม้รสหวานกับซอสโยเกิร์ตรสเปรี้ยวเข้ากันได้ดีทานแล้วสดชื่น


-จานที่ 2 ของชุด 4 จาน ตามมา ปลา Maigre นึ่งกับกะหล่ำปลีบดในซอสแครอตรสเผ็ด เนื้อปลาเด้งๆ เนื้อหวาน ไม่คาว ซอสรสเข้ากัน แต่เผ็ดสำหรับคนไทย ที่ชอบคือกะหล่ำปลีบด บดได้เนียน หอมมันเหมือนมันบดเลย


-จานที่ 2 ของชุด 7 จาน มันๆ กลิ่นเขียวนิดๆ ปั่นจนเนียนทานคู่กับหัวไชเท้าอ่อน กัดดัง "กร๊อบ" เหมือนกินแอปเปิลเลยทีเดียว รสแปลกดี


-จานที่ 3 ของชุด 7 จานขากบชุปแป้งทอดกับซอสกระเทียม จานนี้เด็ด ขากบกรอบนอก นุ่มใน ซอสเผ็ดนิดๆ


-จานที่ 4 ของชุด 7 จาน น่าจะเป็นเนื้อวัวทอดกรอบ คิดว่าเป็นลิ้นกรอบๆ หนึบๆ กับซอสเผ็ดมัน รสไทยๆ เหมือนแกงข่าไก่ อร่อยดี


-จานที่ 5 ของชุด 7 จาน ปูยักษ์คิงแครบในซอสกลิ่นตะไคร้ จานนี้รสออกไทย ทานแล้วคิดถึงอาหารไทย


-จานที่ 3 ของชุด 4 จาน เป็นจานหลัก เนื้อแกะอบไม่ติดมันมาแบบลีนๆ แต่ไม่เหนียวและไม่เหม็นสาบ กลิ่นหอมเครื่องเทศต่างๆ



-จานที่ 6 ของชุด 7 จาน เนื้อนกพิราย มาแบบแดงๆ กับเกี้ยวซ่ากับมันหวาน เนื้อนกคาวนิดๆ สุกที่หนังแต่เนื้อ แรร์..... ทานกับซอสรสขมหน่อยๆ


-มาเมืองไวน์ก็ต้องลองให้หมด ไวน์ขาว ไวน์แดง แชมเปญ ถึงกับเมา


-ของคาวหมดแล้ว ดูจานเล็ก จานละคำสองคำก็หมด แต่มาเป็นชุดก็จุกเหมือนกัน จานต่อมามาแบบงงๆ เป็นของท่านเล่นก่อนของหวาน
ไข่เป็นฟอง แต่รสเหมือนสไปรท์ กับเมลอน สดชื่นนนนนน


-ของหวานมาติดๆ จานนี้ได้ทั้งสองชุด เหมือนเป็นคุกกี้กับครีม กับวุ้นอะไรสักอย่างรสวนิลา หวาน มัน หอม กรุบๆ


-จานที่ 4 ของชุด 4 จาน เป็นเชอร์เบทโยเกิร์ต กับผักผลไม้เชื่อมดอง มีรสเปรี้ยวนำ หวานตาม ทานพร้อมกันรสชาติมะรุมมะตุ้มกันไปหมด


-จานที่ 7 ของชุด 7 จาน ซอสส้มกับเชอร์เบทรสรสคล้าย Ginger Ale ทานคู่กับขนมคล้ายเมอแรงรสช็อคโกแลต หวาม มัน อร่อย


-สุดท้ายมีขนมทานเล่น สายไหมและ ช็อกโกแลต ถือว่าปิดท้ายได้ดี ทานไม่หมดเอากลับบ้านได้


-จบคอสใช้เวลาสองชั่วโมงเกือบสามชั่วโมง เรียกเก็บเงินกับประสบการณ์ร้านอาหาร Michelin star ครั้งแรกในชีวิต การบริการดีมาก การนำเสนอของอาหารทำได้แปลกและน่าสนใจ
รสอาหารโดยรวมเป็นแนวฟิวชั่นผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออก รสชาติและกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ สับขาหลอกกันได้อย่างสนุกสนาน แย่งความโดดเด่นไม่น้อยหน้ากันแต่ออกมาแล้วเข้ากันทีเดียว
อาหารก่อนจานหลัก อร่อย และสนุกกับการเดารสชาติของอาหารแสะการตกแต่งที่สวยงาม แต่จานหลักรู้สึกธรรมดาไปหน่อย
โดยรวมแล้วถือว่าเป็น ประสบการณ์ที่ดี แลกกับราคาที่สูงพอสมควร แต่ถ้าเทียบ Michelin star ดาวเท่ากันแต่ไปทานที่ปารีส ราคานี้คงไม่ได้แน่ๆ......
-จบไปอีกหนึ่งวันเดินกลับโรงแรม ... จบวันที่ 5
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 08:52:32 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY6
-ตื่นแต่เช้า หากาแฟกระแทกหนังตาแล้วก็ไปต่อ วันนี้ไป เยอรมัน!!! เมืองที่ไปในวันนี้คือเมือง ไฟร์บูร์ก (Freiburg) เมืองที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในเขตป่าดำ (Sudschwarzwald)
ขับมาจาเมืองกอลมาร์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขับผ่านชายแดนได้เลย ไม่ต้องตรวจหนังสือเดินทาง แต่มีทหารประจำการเปิดกระจกถามเล็กน้อยแต่ผ่านได้ สบายๆ
-มาถึงเมืองไฟร์บูร์ก ก็ขับตรงไปที่ โบสถ์ Freiburger Münster (พิกัด : 47.995559, 7.852779) เดินไปถึงทั้งฝนทั้งหิวมะตกสลับกันไม่หยุดเลยรีบเข้าไปหลบฝนด้านใน


-ภายในสวยงานไม่แพ้โบสถ์ทางฝรั่งเศส




-ฝนเริ่มเบาลง คิดว่าพอไปต่อได้แล้ว รอบๆ โบสถ์จะมีตลาดเลยหาเสบียงระหว่างทาง


-มาเยอรมันก็ไม่พลาด ไส้กรอกร้อนๆ กับผลไม้สด ลูกใหญ่ๆ




-จุดหมายหลักของวันนี้คือการขับรถเข้าไปในป่าดำ (Black Forest) และไปจุดชมวิวบนยอดเขา Kandel (พิกัด : 48.062302, 8.011472)
ระหว่างทางหิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ขับผ่านหมู่บ้านอะไรไม่รู้เห็นโบสถ์สวยดีแวะหน่อย ตามหากาแฟอุ่นๆ เมื่องที่แวะพักคือเมือง St. Peter


-แอบแว๊บเข้าไปในโบสถ์ Klosteranlage (พิกัด : 48.016975, 8.032933) ภายในโบสถ์สวยมากสีขาวตัดทอง ดูสว่างสดใส แอบเหลือบไปเห็นโลงศพตั้งด้าน..... อ่าวจะมีงานศพนี่น่า


-เติมกาแฟในกระแสเลือดเรียบร้อย เมืองเล็กน่ารัก ชอบๆ แต่ต้องไปต่อ หิมะหยุดแล้ว


-กด GPS มุ่งตรงไปยอดเขา Kandel รถน้อยมากไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมทาง ทางคล้ายๆ ขับขึ้นดอยอินทนนท์ ขับขึ้นยิ่งสูงตัวเลขอุณหภูมิเริ่มลดลงเรื่อยๆ
พอเห็นอีกทีหิมะเต็มสองข้างทาง อุณหภูมิภาคพื้นตั้นนั้น -3 องศา!!! จอดๆ ลงไปรับความหนาวหน่อย


-หนาวมากขึ้นรถขับต่ออีกไม่กี่กิโลจะถึงแล้ว แต่หิมะก็ยังตกไม่หยุด สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสน มีหิมะโรยด้านบนเป็นวิวที่สวยงามจริงๆ


-จากความสนุกในช่วงแรกๆ เริ่มกลายเป็นความตื่นเต้น หิมะหนาจนเกือบไม่เห็นพื้นถนน ถึงบริเวณขึ้นเนินที่มีหิมะปกคลุมหนา ล้อก็เริ่มฟรีทิ้งแล้วรถก็หยุดไม่ไปต่อ!!!
ชิบหายแล้ว!!!!! จอดรถเปิดไฟฉุกเฉินท้นที
-ลองถอยหลังไปสักหน่อย ปิด ESP แล้วลองพุ่งขึ้นไปรักษาแรงส่ง เหมือนจะรอดแต่สุดท้ายรถก็ส่ายแล้วก็ไปต่อไม่ได้ สงสัยยางที่ติดรถมาไม่ใช่ยาง Winter เลยไปไม่ไหว
-เปิดไฟฉุกเฉินค่อยๆ ถอยลง ถนนลื่นมาก รถไหลไปไหลมา จนมีรถตู้ตามมาแซงเราแล้วจอด แล้วลงมาช่วยเหลือเราทันที เค้าบอกถ้ายางธรรมดาน่าจะขึ้นไม่ไหว แต่หิมะน่าจะยังไม่หนามากเค้าเลยบอกให้ลองตามเค้ามา แต่ทิ้งห่างหน่อย
-ลองครั้งที่ 3 ก็ไม่รอด กลับดีกว่าไม่อยากฝืน ถึงขึ้นไปไหวแต่ขาลงยางไม่พร้อมคงจะยิ่งอันตรายเลยเปิดกระจก โบกมือ บ๊าย บาย  แล้วค่อยๆ กลับรถลงทางเดิม ><
ขอบคุณน้ำใจชาวเยอรมัน แค่เห็นเราเปิดไฟฉุกเฉินรีบจอดรถมาช่วยทันที ประทับใจจริงๆ รอบหน้าขอมาพิชิตใหม่นะ เขา Kandel!!!


-ขับเข้าป่าดำไม่ได้ ไปขับลุยออโต้บาห์น แทนละกัน ถนนดีขับสนุกมาก 140-160 ธรรมดาไปเลย แต่ต้องพยายามอยู่เลนขวามือ เลนซ้ายไว้ใช้แซงเท่านั้น
และพอเวลาใกล้แยกเข้าเมืองต่างๆ จะมีป้ายจำกัดความเร็วเป็นระยะ ขับไปคันข้างๆ เห็นป้าๆ แต่ร้อยสี่ร้อยห้านะคร้าบ!!!


-ขับกันสนุกสนานประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เตรียมเข้าสู่เมืองสตราสบวร์กเพื่อคืนรถ แต่ก่อนอื่นแวะเติมน้ำมันเต็มถังก่อน
ที่ฝรั่งเศสตู้จ่ายน้ำมันจะเป็นแบบเติมเอง ใช้บัตรเครดิตจ่าย ดังนั้น.....ใครจะไปอย่าลืมขอ Pin Code กดเงินสดของบัตรเครดิตไปด้วยเพราะบางตู้จ่ายน้ำมันเวลาเสียบบัตรเข้าไปแล้วตู้จะถามหา Pin Code
แต่บางตู้ก็ใช้บัตรเครดิตได้เลย


-คืนรถเรียบร้อยเดินกลับสถานีรถไฟเตรียมกลับกรุงปารีส วันกลับนี้แดดแรงแสบหน้าเลยนะ ><


-นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV กลับเช่นเดินถึงกรุงปารีสเรียบร้อย หมดแรง ไม่ลากกระเป๋าละ TAXI ละกัน ที่ปารีสรถก็ติดไม่ใช่เล่น
-ถึงโรงแรม หมดแรง หมดสภาพ กินขนมบนรถไฟอิ่มแล้วเลยอาบน้ำ ... จบวันที่ 6
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 09:01:52 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
DAY7
-วันสุดท้ายจะตื่นเช้าไม่ไหวเลยขอสายๆ ละกัน ตื่นมาเมียก็จูงมือไปตามหากระเป๋าม้าน้อย เดินไปถึงที่ร้านตอนเก้าโมงเช้า คิวยาวไม่ใช่เล่น
-สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว ตัดคิวตรงหน้าพอดี เสียใจ แนะนำใครอยากได้ต้องมาต่อคิวเช้ากว่าเก้าโมง!!!
-ตรงข้ามร้านม้ามีร้านชา ขบวนผู้คนก็ข้ามถนนไปที่ร้านชาโดยอัตโนมัติ


-วันนี้เลยว่างๆ ไปเก็บตกตามสถานที่ยังไม่ได้ไป เริ่มด้วยนั่งรถเมย์ไปวิหารซาเคร-เกอร์ (Sacré-Cœur พิกัด : 48.886359, 2.343110)
ตั้งอยู่ในย่านมงมาทร์ อยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของกรุงปารีส


-ตัวโบสต์ก่อจากหินปูนประเภททราเวอร์ทีน โดยคุณสมบัติพิเศษของหินชนิดนี้จะมีการคายแคลเซียมออกมาเป็นระยะ
ทำให้คงความขาวของสิ่งปลูกสร้างได้ยาวนาน ในสภาวะภูมิอากาศต่างๆ ได้


-ภายในจะออกสีขาวตัดกับสีทอง สวยงามไม่ธรรมดาจริง




-ย่านมงมาทร์ เป็นย่านที่เลื่องชื่อเรื่องความไม่ปลอดภัย อย่าพยายาม*อย่า*ไปช่วงเย็นหรือคนน้อย ผมไปเกือบเที่ยงยังโดนพี่มืดเป็นกลุ่มกระชากมือ ผมกระชากกลับแล้ววิ่งเลยเลยรอดไป
เดินขึ้นวิหารต้องเดินขึ้นเนิน ถ้าใครไม่อยากฝ่าฝูงคนก็ลองนั่งรถรางขึ้นไปแทนได้ ถึงหน้าวิหารเลย


-เดินมุดๆ ข้างวิหาร งงๆ หลงทางอยู่ดีๆ ก็ไปเจอ "ผนัง ฉันรักคุณ" (le mur des je t'aime พิกัด :  48.884834, 2.338551) โดยบังเอิญคนเยอะทีเดียว
ย่านนี้เป็นย่านศิลปะ เลยจะมีงานปั้น งานเพนท์ตามพนัง และร้านขายของอาร์ทเต็มไปหมด ไม่พลาดขอสักรูปก่อนไปต่อ


-ต่อมาก็มาถึง โรงละครมูแลงรูจ (Moulin Rouge พิกัด : 48.884148, 2.332249) อาคารโรงละครเป็นรูปกังหันลมสีแดงขนาดใหญ่ สักรูป!


-จากนั้นก็นั่งรถเมย์ต่อมาลง  Opéra แวะเยี่ยมชมโรงอุปรากรปาแลการ์นีเย (Palais Garnier; Opéra de Paris พิกัด : 48.871929, 2.331787)


- เป็นโรงอุปรากรตั้งอยู่ในกรุงปารีส ที่สร้างโดย ชาร์ล การ์นีเย ริเริ่มโดยจักรพรรดิ์นโปเลียนที่ 3 เป็นสถาปัตยกรรมแบบฟื้นฟูบาโรก โรงอุปรากรปาแลการ์นีเยถือกันว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของยุค
และยังเปิดใช้ในการแสดงถึงทุกวันนี้ วันที่ไปก็มีการแสดงบัลเล่ต์ เลยไม่สามารถเข้าไปชมด้านใน ได้เดินชมรอบๆ เท่านั้น ><




-ชมรอบๆ จนไปถึงห้องโถงใหญ่สุดอลังการ ดูไป ดูมาสวยกว่าห้องกระจกของพระราชวังแวร์ซายส์ ซะอีก
ดูจนครบก็เย็นแล้ว ถึงเวลา ดินเนอร์ มือสุดท้ายก่อนกลับไทย ขอล่องเรือชมแม่น้ำเซนดีกว่า


-ร้านชื่อ Le Calife เป็นเรือล่องไปตามแม่น้ำเซนชมกรุงปารีสพร้อมกับดินเนอร์ใต้แสงเทียน แต่....ต้องจอง (http://www.calife.com/english/index.html)
ไม่ได้จองล่วงหน้าไว้หน้าเว็บไม่ให้จองแล้วเลยเลยโทรไปถาม สรุปยังว่าง ส่งเมลยืนยันการจองกันอีกรอบเสร็จแล้วถึงเวลาก็ไปเลย


-เดินไปขึ้นท่าเรื่อ Le Calife (พิกัด : 48.857978, 2.336838) แจ้งชื่อกับแล้วพนักงานพาไปที่โต๊ะ ขนมคลายชูครีมทอดสอดใส่ชีส ทานคู่กับแชมเปญ
มอมกันตั้งแต่เรือยังไม่ออก พอสองทุ่มครึ่งกัปตันก็บอกพร้อมเดินทาง.....


-เรือล่องไปอย่างช้าๆ แสงอาทิตย์ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากท้องฟ้าเช่นกัน 


-เรือล่องผ่านวิหารมหาวิหารน็อทร์-ดาม จากนั้นก็กลับลำและล่องต่อไปอย่างช้าๆ ให้ได้เก็บรูปสวยๆ


-จากนั้นบริกรก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร ในเรือเป็นกระจกรอบ ข้างในอุ่นดีแต่ข้างนอกหนาวมากกกก


-ชุดเมนูที่เลือกเราเลือกชุดถูกสุด มี 3 จาน ใน STARTERS มีให้เลือก 3 อย่าง แฟนผมเลือก แซลมอนทาทา รสเบาๆ เปรี้ยวนิดๆ เรียกน้ำย่อย


-จาน STARTERS ของผมเลือก สลัดฟัวกราส์ น้ำสลัดรสเปรี้ยวตัดความมันของฟัวกราส์ กับผักสด สดชื่น...


-ทานเสร็จเรือก็ลอยมาถึง จุดที่สวยที่สุดก็ว่าได้ คือหอไอเฟล ฟ้ามืดพอดีและหอไอเฟลเปิดไฟได้สวยงาม


-ออกไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศได้ไม่นาน ทนหนาวไม่ค่อยไหว รีบลงกลับมาที่โต๊ะ MAIN COURSES ก็มาพอดี ของแฟนเลือกสเต็กปล้ากระพงเสิร์ฟพร้อมข้าว
อร่อยแบบเบาๆ รู้สึกสุขภาพดี


-จานของผม สเต็กเนื้อสะโพก แบบมีเดียม หันแล้วเลือดอาบ ฉ่ำๆ ท่านกับซอสพริกไทย อิ่มกำลังดี


-เรือล่องไปจนสุดกำลังวนกลับ ไปถึงเทพีเสรีภาพอันน้อยได้มา 1 รูป ประทับใจทีเดียว


-ของหวานเลือกเหมือนกัน อยากได้อะไรเปรี้ยวๆ เลยสั่ง แป้งทอดสอดไส้แอบเปิล มาคู่กับไอสครีมรสวนิลา เป็นจานปิดท้ายได้ลงตัว


-เรือกลับถึงท่า เป็นการปิดทริปที่ดี การล่องเรือที่โรแมนติกจริงๆ  แต่อาหารไม่ได้ว้าวมาก หรืออาจจะเพราะเริ่มเบื่ออาหารฝรั่งแล้ว
แนะนำให้ไปแต่วันแรกๆ ของทริป คิดว่าจะฟินทั้งอาหารและบรรยายกาศแน่นอน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

-เป็นทริปเที่ยวยุโรปครั้งแรกที่ไปกันเอง ถือว่าประทับใจทีเดียว ได้เที่ยวครบที่อยากไปในราคาที่รับได้ หมดท้ังทริปค่ากิน-ค่าเที่ยว-ค่าเดินทางทุกอย่างไม่รวมช็อปหมดไปประมาณ7x,xxx-
-แต่ที่ทำให้หมดสนุกอยู่บ้างก็คงเป็นการระวังตัวจากพวกโจรขโมย แต่โชคดีช่วงที่ไปเป็นช่วงใกล้วันเลือกตั้ง ทำให้มีตำรวจและทหารเดินวนเวียนแถวสถานที่สำคัญ และรถไฟใต้ดินในบางสถานี
รู้สึกอุ่นใจขึ้นนิดนึง แต่ก็ยังต้องระวังตัวโดยเฉพาะรถไฟใต้ดิน

-เคยได้ยินก่อนที่จะไปว่าคนฝรั่งเศสไม่ค่อยมีน้ำใจ แต่พอไปสัมผัสเองก็ต้องยอมรับว่ามีบ้างแต่ก็มีคนน่ารักๆ อีกเยอะ คุณลุงที่เจอบนรถเมล์ช่วยบอกวิธีการใช้ตั๋วรถ ชาวเยอรมันที่เข้ามาช่วยเหลือตอนขับรถลุยหิมะ
พนักงานที่ช่วยบอกว่าทำไมต้องถอดชุดนอกทุกครั้งเวลาเข้าในร้านหรือสถานที่อุ่นกว่าสภาพอากาสภายนอก การต้อนรับการบริการของพนักงานมีทั้งดีบ้างแย่บ้าง

-ทริปหน้าถ้ามีโอกาสได้ไปอีกก็คงจะเป็นยุโรปเป็นตัวเลือกแน่นอน ส่วนจะตะลุยประเทศไหน....ค่อยว่ากัน!!!
-ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ไว้มีโอกาสจะมา Review ทริปเที่ยวเรื่อยๆ นะครับ












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2017, 09:07:43 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
ฝากผลงานย้อนหลังไว้อ่านเล่นนะครับ ^^

29.Review Mazda 3 2.0SP SPORTS Hatchback(MY2017)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=56354.0

28.CHEVROLET Trailblazer LTZ A/T4x2 (MY2017)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=54977.0

27.Lamborghini Huracan LP580-2/LP610-4
http://www.headlightmag.com/2016-first-impression-lamborghini-huracan

26.Ford EVEREST 2.2L Titanium 4x2AT (MY2016)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=52294.0

25.ศึกวันกระทิงเดือด Lamborghini Blancpain Super Trofeo Asia ณ สนามช้าง บุรีรัมย์
http://www.headlightmag.com/lamborghini-blancpain-super-trofeo-asia-2016/

24.1Day Trip กินๆ นอนๆ ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=51991.0

23.Chevrolet Captiva 2.0 diesel LTZ (MY2016)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=51653.0

22.เล่าให้ฟังหลังคนขับกับ Lexus RC200T F-Sport @ CHANG INTERNATIONAL CIRCUIT
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=51192.0

21. พาเดินเล่นเก็บบรรยากาศการแข่ง ADAC Zurich 24 Hours N?rburgring
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=51120.0

20. Toyota Team Thailand คว้าชัยอันดับ2 ขึ้นโพเดียม ADAC Zurich 24 Hours N?rburgring สำเร็จ
http://www.headlightmag.com/toyota-team-thailand-2nd-rank-in-sp3-adac2016/

19. เชียร์สุดตัว Toyota Team Thailand แข่งรายการใหญ่ที่ N?rburgring
http://www.headlightmag.com/lve-from-germany-toyota-team-thailand/

18. Mitsubishi Mirage GLS-LTD (MY 2016)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=49857.0

17.  MAZDA CX-3 2.0 SP
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=47191.0

16. Ford Ranger Double Cab 4?4 3.2L Wildtrak 6AT (2015)
http://www.headlightmag.com/impression-fordranger-wildtrak2015/

15. Subaru XV 2.0i
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=43057.0

14. Mazda 2 Skyactiv-D XD High Plus 5 Door
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=42334.0

13. Honey Moon Trip : Autumn Adventure Colorful Leaves In Japan!!!
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=42128.0

12. Ford Ecosport 1.5L Titanium AT
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=40551.msg678464#msg678464

11. Hyundai Grand Starex Premium MY2014
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=38626.msg642597#msg642597

10. Ford Fiesta 5Door EcoBoost 1.0L GTDi
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=36558.0

9. Ford Fiesta 5Door 1.6 Sport PowerShift
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=19160.msg283146#msg283146

8. BMW 520D (F10)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=16783.msg249600#msg249600

7. Mazda BT-50 3.0 4X4 4Door
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=8903.msg125689#msg125689

6. Volvo XC-60 D5 205HP/AWD (Model 2010)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=7300.msg101215#msg101215

5. Ford Escape E20 4x2 XLT
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=3961.msg52602#msg52602

4. Toyota VellFire 2.4L CVT
http://www.headlightmag.com/webboard/index.php?topic=3296.0

3. VW Scirocco 2.0 TSI 
http://www.headlightmag.com/webboard/index.php?topic=2198.0

2. BMW 520D (E60)
http://www.headlightmag.com/webboard/index.php?topic=1462.0

1. Benz E220 CDI Avantgarde (w211)
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=763.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 05, 2017, 17:46:23 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ tvm

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,479
ถ่ายรูปสวยงาม บรรยายได้ดี อ่านง่าย ข้อมูลเปะ ขอบคุณมากๆ ครับ
ขอเก็บไว้อ้างอิงทริปยุโรปเลยครับ

ออฟไลน์ Fly to dream

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,640
ดีงามพระราม 8 มากครับพี่อ็อค ภาพสวยมาก
ขยะของโลกออนไลน์​ในปัจจุบั​นคือเชื่อคนโง่ที่มีคำพูดสวยหรู​ หาข้อมูล​ไม่จริงมาโกหกคำโตๆ​ อีกอย่างคือพูดความจริงไม่หมด กับพวก​ Avatar ที่ทำเป็น​เก่ง​แต่เก่งน้อยในโลกความจริง​ซึ่งจะหาได้ง่าย

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,363
เห็นรีวิวของคนนี้ ต้องรีบกดเข้ามาดูตลอด

เยี่ยมยอดทุกรีวิว

ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ Dubee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,534
อยากมีวาสนาได้ไปแบบนี้บ้างจังเลยครับ เมืองในฝฝันเลย

ถามหน่อยครับ ไปฝรั่งเศษน่ากลัวไหมครับ น้าผมเพิ่งไปมา บอกว่าน่ากลัว มีพวกนิโกรตื้อขายของ มีพวกวีเรียอพยบมาตื้อล้างกระจกรถ ถ้าไม่ให้มันทุบรถเลย น่ากลัวมาก

ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,772
แจ่มมากครับ รถเจ้าของร้านรวยจริงๆ

ออฟไลน์ sirisak_ac118

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,579
    • อีเมล์
อยากมีวาสนาได้ไปแบบนี้บ้างจังเลยครับ เมืองในฝฝันเลย

ถามหน่อยครับ ไปฝรั่งเศษน่ากลัวไหมครับ น้าผมเพิ่งไปมา บอกว่าน่ากลัว มีพวกนิโกรตื้อขายของ มีพวกวีเรียอพยบมาตื้อล้างกระจกรถ ถ้าไม่ให้มันทุบรถเลย น่ากลัวมาก

เท่าที่เจอก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ในบางที่โดยเฉพาะรถไฟใต้ดินบรรยากาศ ก็ทำให้เราต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องไปสบตาคนที่มองเราหรือพยายามจะเขามายุ่งกับเรา ท้องไว้ในใจไม่มีชาวต่างชาติคนไหนมีธุระกับเรา ถ้ามีโอกาสต้องไปครับ เมืองสวยจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 11, 2017, 19:31:38 โดย sirisak_ac118 »

ออฟไลน์ ยิ้มละไม

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 992
ขอบคุณครับ Review ได้สุดยอดจนอยากจะไปอีกรอบ

ออฟไลน์ pongsakorn11

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 855
ขอบคุณมากคับ
ข้อมูลและรายละเอียดเเน่นมากก
ภาพสวยสุดๆๆๆ
นางแบบก็สวยด้วยเช่นกัน อิอิอิ
 ;D ;D ;D ;D

ไว้มีโอกาสต้องไปให้ได้

ออฟไลน์ Thanakrit P.

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 47
    • อีเมล์
สวยงาม  :D :Dมากครับ
ขอบคุณนะคับ