บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่
ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้ ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ
แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้ แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ
ปล. 1 ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ
ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV
รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต
ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ
รถ Hybrid ถ้าเป็นรถยุโรปที่ได้ยินมาว่า
ไม่ค่อยจะประทับใจ
คือจุกจิกและซ่อมไม่จบเบ็ดเสร็จในคราวเดียว
และบางส่วนมาจากความจุกจิกส่วนอื่นๆที่
อาจจะไม่เกี่ยวกับระบบไฮบริดโดยตรงด้วย
ถ้าเป็น Toyota ซึ่งทำตลาด Hybrid มานานกว่า
หลายๆท่านที่เคยใช้ใน Estima/Alphard
คงพบว่าถ้าซ่อมอู่ดีๆ และยอมจ่ายในจุดที่จำเป็นมันก็ซ่อมจบใช้ต่อกันยาวๆ
เพียงแต่ค่าน้ำมันที่ถูกลง ชดเชยกับค่าแบตลูกเล็กลูกใหญ่
และค่าบำรุงรักษาอื่นๆแล้ว
ยังไงค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ก็มักจะไม่ได้ถูกไปกว่า
รถใช้ในมันล้วนๆในพิกัดความจุเท่ากัน
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าได้รถที่ออปชั่นเต็มกว่า
แรงกว่า อัตราเร่งดีกว่า การตอบสนองที่ดีกว่า
---------------------------------------------
เรื่องความเชื่อมั่นของระบบในระยะยาว
ในมุมของผมนั้นมองรถที่ถูกจำแนกในกลุ่ม Hybrid
แตกต่างกันไปตามกลไกการทำงาน
และเงื่อนไขการรับประกันอุปกรณ์ด้วย
----------------------------------------------
เช่นถ้าเป็น Estima ก็ต้องทำใจและทำเงินเตรียมไว้
เป็นก้อนสำหรับการเปลี่ยนแบตเมื่อถึงอายุของมัน
และอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า+เครื่องยนต์อื่นๆ
ที่พอเสียหลังหมดประกันสั้นๆของเกรย์
เราจะต้องควักจ่ายเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่แบต
มีทั้งคอมแอร์ไฟฟ้า ปั๊มเบรค ปั๊มน้ำ ชุดควบคุมการจ่ายไฟ
หรือสิ่งอื่นๆที่จะตามมา
แต่ถ้าเป็น Camry 2.5 HV รถศูนย์ของโตโยต้า
ซึ่งมีการรับประกันอุปกรณ์ที่ยาวกว่า และประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
มันก็จะลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมได้
ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่ใน 150,000 kmจะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ที่ต่ำลงจนอาจจะถูกกว่าเครื่อง 2.0 หรือ 2.5 ได้ในการขับขี่บางเงื่อนไข
ที่ต้องบอกว่าบางเงื่อนไขเพราะรถ Hybrid ไม่ได้ประหยัดกว่า
เครื่องยนต์ธรรมดามากๆ ครอบคลุมในทุกๆเงื่อนไข
เงื่อนไขที่ รถ Hybrid ที่มีกลไกแบบ Camry
-จะประหยัดได้มากกว่าเห็นได้ชัด
จะเป็นในช่วงที่เราขับมีเร่งมีผ่อน
ตามการเคลื่อนตัวไปตามๆกันของรถ
ในย่านความเร็ว 50-100 km/h
มีการเอาพลังงานจากการลดความเร็วมาปั่นไฟกลับ
และไม่ได้มีไฟแดงที่ติดนานเป็นสิบนาที
คือขับชานเมืองทั่วไป เงื่อนไขนี้
มันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด
-แต่ถ้าวิ่งทางไกลความเร็วค่อนข้างคงที่ 100-120 km/h ตลอด
ด้วยกลไกการทำงานแบบ Camry
ต่อให้โดยหลักการของมันแล้ว
เครื่องมีพฤติกรรมเป็นอิสระจากล้อมากกว่า
รถธรรมดาที่มีเกียร์ล็อคอัตราทดเป็นขั้นๆ หรือแม้กระทั่ง CVT
คือมันมีความคล้ายกับเกียร์ CVT
ในแง่อัตราทดในมุมของ รอบเครื่องยนต์ vs ความเร็วล้อ
ที่มีจำนวนอัตราทดได้หลากหลายมากๆ
และมีอิสระในการจัดให้เครื่องทำงานในย่านที่มี BSFC ดีๆ
แล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาสร้าง torque offset
คือเสริมเข้ามาก็ได้ หรือเอากำลังส่วนเกินไปปั่นเก็บในแบตไว้ก่อน
แต่ในทางปฏิบัติแนวโน้มของรถรุ่นใหม่
บางรุ่นเครื่องยนต์เล็ก+ระบบอัดอากาศ+เกียร์ที่เหมาะสม
แม้จะไม่ Hybrid ก็สามารถสร้างอัตราเร่งได้ไม่ต่างกันมาก
รวมถึงความประหยัดที่ทำได้ไม่หนีกันมาก
แต่มีความซับซ้อนของระบบที่น้อยกว่า
-ส่วนถ้าติดมากๆนานๆ รถ Hybrid ส่วนใหญ่
แบตที่เคยสะสมไว้ก็จะหมดลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน
ต้องดึงพลังงานมาใช้ในระบบปรับอากาศมากแบตยิ่งหมดเร็ว
จากการใช้งานจริงของ Hybrid ของโตโยต้า
พบว่าที่ความเร็วๆต่ำๆคลานๆสลับหยุดนิ่งสั้นๆ
หรือต้องมีการติดไฟแดงยาวๆ แบบในกทม.
มันจะเป็นช่วงเวลาไม่ใช่จุดเก่งของรถ
เพราะตอนที่คลานช้าๆ จะไม่สามารถ
เอาพลังงานจากการเบรค มาปั่นไฟได้
แต่กลับต้องดึงแบตสร้างแรงขับเคลื่อน
และต้องจ่ายไฟให้ระบบเบรคอีกด้วย
เครื่องยนต์ก็จะเร่งๆผ่อนๆในช่วงที่
เบรค สลับปล่อยเบรคคลานช้าๆ
ซึ่งปั่นไฟกลับได้ช้ากว่าการจอดหยุดนิ่งให้ปั่นไปอย่างเดียว
หรือวิ่งลอยตัวออกไปแล้วแบ่งพลังงานขับเคลื่อนมาปั่นไฟ
ทำให้ต้องฟังเสียงเครื่องเร่งอยู่นานกว่าแบตจะมากพอ
และเครื่องยนต์จึงจะดับลงและกลับมาใช้ไฟฟ้าล้วนอีกครั้ง
และด้วยกลไขแบบของ Camry หรือ Estima
ถ้าจอดติดไฟแดงนานๆจนแบตหมด
เครื่องจะต้องติดขึ้นมาปั่นไฟ
ในรอบเครื่องที่หมุนเร็วกว่ารอบเดินเบาของรถทั่วไป
มีเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่มากกว่า
และมันไม่สามารถชาร์จได้ในเกียร์ N
จำเป็นต้องเหยียบเบรคเข้าเกียร์ D หรือเข้าเกียร์ P ไปเลย
และไม่ใช้คันเกียร์ไฟฟ้าแบบ Prius ที่มีปุ่มกดเข้าเกียร์ P
ได้ทันที่ ไม่ต้องลากผ่าน R ก่อน
ทำให้ในมุมมองของผมแล้ว มันยังไม่ตอบโจทย์
การใช้งานในเมืองที่รถติดหนักมากๆ
หากคาดหวังว่ารถ Hybrid เหมาะกับรถติดๆ
ตรงนี้ความประหยัดที่ได้เพิ่มขึ้นมากับความ
ราบรื่นที่เสียไปในหลายๆท่านก็อาจจะมองว่าไม่คุ้ม
ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาในจุดนี้เพราะใช้วิ่งระหว่างจังหวัด
หรือวิ่งตามชานเมืองเป็นหลัก
ซึ่งค่อนข้างตรงกับเงื่อนไขการทำงาน
ทำมันทำงานได้ดีอยู่แล้ว
------------------------------------------------
ในหลายๆส่วนด้วยกลไกแบบ
Accord Hybrid ข้อจำกัดในบางมุม
อาจจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า
และมีความกระเดียดไปทาง
รถไฟฟ้า plugin หรือไฟฟ้าล้วนมากกว่า Camry HV
ด้วยสัดส่วนกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ที่มอเตอร์มีกำลังมากพอจะขับเคลื่อน
รถโดยลำพังได้ในช่วงกว้างกว่า
ถ้ามีเทคโนโลยีแบตความจุมากๆ และมีขนาดเล็กลง
มันมีแนวโน้มที่จะดัดแปลง ต่อไปเป็นรถไฟฟ้าเสียบปลั๊กได้ง่ายกว่า
สำหรับรถที่เป็น plugin
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องยนต์ชำรุด
เสียบปลั๊กให้ไฟเต็มน่า มันจะพาเราเอาตัวรถ
ไปไปยังศูนย์ที่ใกล้สุดได้ ถ้าอยู่ในกทม.
ส่วนกลไกในแบบ Camry นั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้
ที่่จะใช้เครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน
ให้ครอบคลุมการถอยหลัง เดินหน้า
ไล่ไปจนถึงความเร็วในการเดินทางไกลต่อเนื่อง
และก็ไม่เหมือนรถที่มีสัดส่วนกำลังของมอเตอร์น้อยๆ
เมื่อเพียงกับเครื่องอย่าง Jazz Hybrid ตัวเก่า
หรือ E300 hybrid ที่ยังอาศัยพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์เป็นตัวหลัก
*********************************
ผมเข้าใจว่าหลายๆคนเลือกที่จะไว้วางใจรถ
ที่เครื่องเครื่องยนต์ล้วน หรือไฟฟ้าล้วน
มากกว่ารถลูกผสมแบบ Hybrid เพราะว่า
1.เทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
พัฒนามายังไม่อยู่ต้ว และอาจะไม่ได้อยู่นาน
ไม่เหมือนเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือไฟฟ้าล้วนๆ ที่มีการพัฒนา
และลองผิดลองถูกมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่การใช้เครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้ายัง
เพิ่งมีการใช้งานมา สั้นกว่า
เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน
และการผสมกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ECU จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่มากและเชื่อมโยง
กับระบบต่างๆเป็นโยงใย อุปกรณ์บางตัว
แม้ชำรุดตัวเดียวก็อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนกลไกชิ้นส่วน
และเงื่อนไขความซับซ้อนในการทำงาน
น้อยกว่าการเป็น Hybrid ที่ต้องผสมกันสองอย่างมากๆ
ที่ส่วนประมวลผลจะต้องอ่านค่า input ต่างๆรวมกันมากขึ้น
และจะต้องสั่งการให้เครื่องทำอะไร และมอเตอร์ทำอะไร
มากน้อยเท่าไหร่ และให้ทั้งสองส่วนสอดประสานกัน
เคยเห็นวารสารในเนตผ่านๆตา
เค้าเอา matrix ที่ใช้ในการคำนวณ
ส่วนหนึ่งมาให้ดู (ซึ่งดูแล้วไม่เข้าใจ) แต่ขนาดของ
matrix ก็ใหญ่อยู่ บ่งบอกถึงความซับซ้อนในตอน
ที่ต้องทำงานผสมกัน
2.เพื่อนผมบางคนคิดขำๆแบบนี้นะครับ
สมมุติว่าถ้า
- เครื่องยนต์ล้วนๆมีโอกาสเสีย 20%
- ไฟฟ้าล้วนๆมีโอกาสเสีย 30%
อันนี้แสดงว่าเครื่องยนต์ล้วนๆก็มีความน่าเชื่อถือ
100-20 = 80%
และไฟฟ้าล้วนๆ ก็จะมีความน่าเชื่อถือ
100-30 = 70%
แต่พอเอาเครื่องยนต์มาผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป
และต้องทำงานได้พร้อมๆกันทั้งสองส่วน
ระบบจึงจะทำงานได้ ความน่าเชื่อถือของระบบจะเท่ากับ
80%x70% = 0.80x0.70 = 0.56 = 56%
ซึ่งน้อย 56% นี้น้อยลงกว่า
เครื่องยนต์ล้วนคือ 80 % และ ไฟฟ้าล้วน 70%
3.ช่างที่มีความชำนาญในการซ่อมบำรุงมีไม่มาก
หลายๆท่านคงพอทราบว่า พอเป็นรถ Hybrid
ที่มีช่วงเวลาที่เครื่องยนต์ดับสนิท
แต่อุปกรณ์ต่างๆยังต้องทำงาน
หลายอย่างเคยทำงานโดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์
ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นคอมแอร์
ปั๊มน้ำ ระบบเบรค ฯลฯ ซึ่งนอกจากอุปกรณ์พวกนี้
มีเทคนิคการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ยังต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษ
เช่ื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการซ่อมบำรุง
ตัวเลือกอู่จึงมีแคบกว่า
4.คิดภาษีตอนซื้อเหมือนว่าถูกว่ารถธรรมดา
แต่ต่อทะเบียนไม่ได้ถูกลงด้วย
เช่น Camry 2.5HV ต่อภาษี 4 พันกว่าเกือบๆ 5 พัน
ไม่ได้ถูกลงตามการเป็นรถรักษ์โลก
W212 เครื่องดีเซลไม่ Hybrid
ต่อภาษีปีนึงถูกกว่าเป็นพัน
แต่ไม่รู้ใครปล่อยมลภาวะมากกว่า *_*
5.ราคาตก มากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา
และปล่อยออกยากกว่า
6.รำคาญรอยต่อระหว่าง เครื่องยนต์กับไฟฟ้า
แม้จะน้อยแต่ก็ยังรู้สึกได้
และมีแนวโน้มจะสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อรถ
วิ่งมากขึ้น รอยต่อนี้ไม่ได้เฉพาะการเร่งความเร็ว
แต่การเบรคจริงๆแล้วถ้าเป็นคนช่างสังเกต
ก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
พวกที่เล่นรถ D seg หรือรถตู้ครอบครัว
บางท่านจะชอบรถที่ให้บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ราบรื่น
ไม่ติดๆดับๆให้สะดุดอารมณ์
ึึ7.ความร้อนบริเวณที่แบตติดตั้งอยู่
เช่น Camry แบตอยู่ตรงเบาะหลัง
เร่งแซงหนักๆต่อเนื่องคนนั่งหลังจะร้อนแบบรู้สึกได้
8.แรงไม่ตลอด
ถ้าแบตลดต่ำลง กำลังที่มีให้นำไปใช้
ขับเคลื่อนล้อจะลดลงแบบพอรู้สึกได้
เพราะ กำลังเครื่องยนต์ ถูกหักลบต้องแบ่งไปชาร์ทไฟ
ไม่เหมือนตอนแบตเยอะ
กำลังเครื่องยนต์ + กำลังจากมอเตอร์มาเสริม
ตัวอย่างเช่นของ Camry 2.5 HV
ถ้าแบต 6 ขีดแล้วกดจาก 100-160 km
แล้วกดเบรคหนักๆกลับมาเหลือ 80-90
แล้วกดขึ้นไป 160 ใหม่ ไม่เกิน 2-3 รอบ
แบตจะลดอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
เพราะถ้ากดเบรคหนักๆไม่ได้ค่อยๆเลียเบรค
มันจะใช้เบรคปกติมาก แต่ gen ไฟได้น้อยจึงไงก็ชาร์จกลับไม่ทัน
กรณีนี้พวกที่แบตความจุมากๆแบบพวกเสียบปลั๊ก
น่าจะพบปัญหานี้ได้น้อยกว่ามาก
========================
ส่วนข้อดีจริงๆที่สัมผัสได้ของรถ Hybrid ในตอนนี้
คือการตอบสนองต่อการเหยียบคันเร่ง
ที่มันไม่งึกงักแบบรถมีเกียร์ และไม่ต้องกลัว
สายพานจะรูดจะพังไว เพราะไม่ได้ใช้สายพานแบบเกียร์ CVT
ประหยัดผ้าเบรคจานเบรคมาก
ในอนาคตข้างหน้าถ้าเป็นไฟฟ้าล้วน
ที่พัฒนาพิสัยเดินทาง และวิธีในการชาร์จไฟเข้าไป
ที่ดีขึ้น ไฟฟ้าล้วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า Hybrid มากครับ
ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องไร้รอยต่ออย่างแท้จริง
และกลไลระบบขับเคลื่อนผมเชื่อว่าน่าจะต่างไปจากเดิมมาก
ชิ้นส่วนน่าจะน้อยลง น้ำหนักน้อยลงซ่อมบำรุงง่ายขึ้น
ระบบควบคุมการทรงตัวน่าจะทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าสามารถให้ 1 ล้อมี 1 มอเตอร์ มันน่าจะ
กระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อได้โดยอิสระ
ทำให้ช่วยบังคับให้อยู่ในทิศทางตามที่ต้องการได้ดีขึ้น
เด็กรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่าเฟืองท้ายคืออะไรก็ได้