ผู้เขียน หัวข้อ: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID  (อ่าน 8767 ครั้ง)

ออฟไลน์ crspy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 179
ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 10:05:58 »
สวัสดีเพื่อนๆสมาชิกทุกท่านครับ :D
สืบเนื่องจากกระทู้ก่อนหน้าของผม ผมได้มานั่งคิดๆดูว่าสำหรับตลาดเมืองไทยและตลาดโลก ในสายตาและความคิดของเพื่อนสมาชิกรถHybrid เป็นอย่างไรครับและจะมีทิศทางไปทางไหนครับ
ที่ผ่านๆมาหลายๆคนจะขยาดไปกับคำว่าHybrid มากพอสมควร หลายคนเลี่ยงได้คือเลี่ยง สาเหตุก็เพราะราคาซ่อมแซมแบตเตอรี่ Hybrid
ส่วนตัวผมเองผมเป็นคนที่ชอบรถยนต์Hybridอยู่แล้ว แต่เนื่องจากที่บ้านเคยใช้ Alpard โฉมแรกที่เป็นHybrid แล้วคุณพ่อบ่นอุบเลยกับรถคันนี้และสุดท้ายก็ต้องขายทิ้งไป และบวกกับตัวเองไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับระบบรถHybrid เลย แต่เคยได้ยินบางคนบอกว่า Alpardรุ่นนั้นมันคือรุ่นลองยาครับ
ตอนนี้ผมมีแพลนจะเปลี่ยนรถในช่วงปลายปีนี้ ใจผมเองก็ค่อนข้างอยากจะได้รถยนต์Hybrid มาไว้ใช้งานครับ เอามาใช้อย่างน้อยๆก็ 6-7ปีขึ้นไป สนใจไปทางToyota ไม่ก็ Lexus ครับ
เลยอยากจะสอบถามความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกครับว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีHybrid เป็นอย่างไรบ้าง มีความน่าไว้วางใจมากแค่ไหนและคุ้มที่จะใช้งานหรือไม่ครับ หรือควรที่จะหลีกเลี่ยงกับคำว่า HYBRID ครับ
ท่านใดมีความเห็นเพิ่มเติมนอกจากนี้ก็แชร์กันได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ :D

ออฟไลน์ ps000000

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,153
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 10:14:38 »
คนที่ใช้แล้วไม่มีปัญหา เท่าที่เคยคุยกันเขาก็อยากได้ไฮบริดอีกถ้าเปลี่ยนรถ

่ส่วนคนที่เคยเจ็บหนักๆกับค่าบำรุงรักษาหรือความจุกจิก ทุกคนต่างบอกผมว่า ลาขาด

อันนี้อยู่กับคนที่เคยใช้ว่าผ่านมาแบบไหน

ส่วนตัวผมนี่รอรถไฟฟ้าเพียวๆเหมือนพวกเทสล่า

ออฟไลน์ Lucky_suby

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 374
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 10:50:14 »
เคยใช้ Camry Hybrid...รถดีมากครับ ไม่มีที่ติ ไม่เคยมีปัญหาเลย ผมมั่นใจว่า ระบบ Hybrid โตโยต้านี่ นิ่งที่สุดละครับ....เสียอย่างเดียว ราคารถมือสอง ตกมากกกกกก

ถ้าให้กลับมาใช้ ก็สนใจนะครับ ของดี แต่อาจรอเก็บมือสองดีกว่า คุ้มกว่าครับ

ออฟไลน์ Nonnics

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 317
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 11:07:53 »
ที่อ่านเจอปัญหารถhybridจะเกิดจากค่ายยุโรปซะส่วนใหญ่

ทางค่ายญี่ปุ่นไม่เจอเสียงบ่นในการใช้งาน

มีแต่กังวลเรื่องราคาอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อเจออุบัติเหตุ
ซึ่งทำประกันชั้น1ก็ไม่มีปัญหา ส่วนแบตที่ว่าแพงก็
ประกัน10ปี อนาคตถูกลงเรื่อยๆ

ราคาขายต่อตกมาก อันนี้จริงครับ

เพื่อนใช้E class ดีเซล ขายต่อก็ตกฮวบพอกันครับ

อนาคตถึงไม่อยากใช้ แต่มันมาแน่ไฮบริด กับไฟฟ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2017, 11:15:44 โดย Nonnics »

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,541
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 11:14:43 »
บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ 
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า 
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่

ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ 
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้  ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ

แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง  ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง 
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้     แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ   แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว  กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ

ปล. 1  ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
         ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima  รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
         ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ

ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV

         รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
   
         รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต

         ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
         ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
         ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2017, 11:17:58 โดย Symphonic »

ออฟไลน์ lay

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,097
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 11:51:41 »
สำหรับผมจะซื้อต่อเมื่อมันมาอยู่ในรถขนาดกลาง-เล็ก และราคาไม่เกิน9แสน  ใช้ไป7ปีขายได้สัก1แสนผมก็พอใจแล้วครับ

ออฟไลน์ Teera

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,350
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 13:50:53 »
เป็นห่วงราคาขายต่อไหมครับ ถ้าไม่ ใช้ได้ครับ
มันก็เหมือนรถคันนึง ไม่มีอะไร Perfect ครับ

ออฟไลน์ ttcl

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 717
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 15:31:09 »
บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ 
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า 
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่

ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ 
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้  ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ

แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง  ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง 
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้     แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ   แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว  กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ

ปล. 1  ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
         ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima  รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
         ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ

ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV

         รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
   
         รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต

         ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
         ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
         ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ

+1

ที่บ้านมีพรีอุส gen3 อยู่คันนึง ถ้าเอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง ว่าจะเอาค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ มาชดเชยราคาขายต่อที่ตกลงและค่าซ่อมอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบไฮบริดที่แพง สำหรับการใช้รถคันนี้ปีละ 15,000 กม. ยังไงก็ไม่คุ้มครับ
แต่คนที่ใช้อยู่ชอบมาก ถ้าให้เลือกได้ใหม่ เค้าก็คงจะเลือกคันนี้เหมือนเดิม

บ้านญาติอีกคน ใช้ alphard hybrid รุ่นแรกแบบเจ้าของกระทู้ ใช้อยู่หลายปี ตอนนี้ก็ยังใช้อยู่ โดนค่าซ่อมรวมๆกันเกิน 1 ล้านบาทแล้ว เมื่อปีที่แล้วไปออก c300 plug-in hybrid มาอีกคัน แสดงว่าเต้าคงมองประเด็นอื่นด้วยนอกเหนือจากตัวเงินค่าซ่อม(ขนาดโดนค่าซ่อมไปรวมๆแล้วเกิน 1 ล้าน) และราคาที่ตก

แต่เท่าที่อ่านดู ในเว็บนี้หลายท่านที่ใช้ hybrid แล้ว ลาขาดเลย ก็มีเยอะครับ

ออฟไลน์ maxillofacial surgeon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 983
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 15:46:46 »
ใช้มาสามคัน. Camry hybrid 2013
Alphard hybrid2016
 alphard hybrid2017
สรุปสั้นๆ สำหรับผมตอนนี้
ไม่มีความกลัว hybrid   ตอนซื้อไม่ได้หวังความประหยัดมาอันดับแรก
ชอบอัตราเร่ง. กับต้องการออฟชั่นรุ่นทอป มากกว่า. ดันไปอยู่ในhybrid
แต่ถ้าไป mb กับbm. ก็แอบลังเลนะ. แต่ได้ข่าว bmซื้อเทคโนโลยี่. Toyota
เลยอุ่นใจกะ hybrid ของbmมากกว่า
   บางทีอ่านมากไปก็เกิดความกลัวบ้างครับ. ต้องลองเจ็บเอง55.
บางทีคนมาคอมเม้นไม่ได้ใช้รถจริง. ฟังๆมา ผมว่ามันมีส่วนเพิ่มความน่ากลัวนะ


ออฟไลน์ crspy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 179
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 15:56:04 »
บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ 
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า 
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่

ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ 
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้  ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ

แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง  ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง 
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้     แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ   แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว  กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ

ปล. 1  ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
         ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima  รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
         ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ

ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV

         รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
   
         รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต

         ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
         ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
         ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ

เขียนได้ดีมากๆเลยครับ ผมชอบในความเห็นของคุณมากครับ
เรื่องราคาขายต่อนี่ผมไม่ค่อยเอามาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกรถเท่าไหร่ครับ ผมเน้นไปที่ความมนมานครับเพราะว่าเหตุผลหลักๆในการเลือกรถของผมคือการใช้งานที่ตอบโจทย์ของผมและราคาค่าซ่อมครับ
ส่วนตัวผม ผมชอบรถที่เป็นไฟฟ้าอยู่แล้วครับ เทสล่าก็เป็นรถที่หมายปองนะครับ ถ้าหากว่าปัจจัยแวดล้อมเป็นเหมือนบ้านเกิดมัน กล่าวคือ มีสถานีมากมายเกลื่อนเต็มไปหมด ส่วนเรื่องรอระยะเวลาการชาจไฟก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมครับ ผมยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆว่า ประเทศไทยจะได้ใช้รถพลังงานไฟฟ้า(เสียบปลั๊ก)ได้เป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างกับรถน้ำมัน
ย้อนไปเมื่อผมอายุประมาณ 20 ผมเคนตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เอื้อประโยชน์กับรถยนต์ไฮบริด แต่ตอนนี้เหมือนจะได้คำตอบจากตัวเองว่ามันยังคงมีหลายๆปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนอยู่ว่า เพราะเหตุใดรัฐจึงไม่เข้ามาสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (ปัจจัยด้านผลประโยชน์ของชาติ ความจำเป็นและความเหมาะสม และในข้อกฎหมาย) ถ้าให้พูดแบบง่ายๆคือรัฐบาลอาจจะมองว่าประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้นบวกกับไม่มีแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนหรือมีแต่อาจจะยังไม่มากพอก็เป็นได้ครับ
ผมตั้งคำถามต่อว่า ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างหากภาครัฐเข้ามาสนับสนุนรถไฮบริดหรือรถไฟฟ้า( ปัจจับันผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้ครับเนื่องจากความรู้และประสพการร์ยังด้อยนัก)

ผมเคยฟังอาจารย์ท่านนึงที่มหาวิยาลัยของผมพูดเรื่องน้ำมันและรถพลังไฟฟ้าครับ แกให้ความเห็นว่า อันที่จริงแล้วโลกเราสามารถปรับเข้าสู่รถพลังไฟฟ้าได้ทันที เทคโนโลยีนั้นมีมากมาย แต่ปัญหาคือการปรับตัวของประชาชนและเศรษกิจครับ หากไม่มีการค่อยๆปรับตัวอาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ครับ อาทิเช่นปัญหาทางด้านผลประโยชน์กับทางตะวันออกกลางและอาจจจะเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกได้ครับ เหมือนๆกับว่าเป็นโดมิโนล้มทีละชิ้น ประมานนั้นครับ

ร่ายมาสะยาวเลยครับ แต่นี่คือความคิดเห็นของผมครับ :D

ออฟไลน์ moo36

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 192
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 16:08:05 »
Estima hybrid ใช้มา 8 ปีล่ะครับ เปลี่ยนแบต เปลี่ยนปั๊ม เอบีเอส อย่างละครั้ง ตอนนี้ยังใช้ได้ดีอยู่
XC90 T8 ปลั๊กอิน ไฮบริด จะครบปีล่ะครับ ความจุแบตอย่างเท่าเดิม เสียบปลั๊กวิ่งได้จริงๆประมาณ 30 กม. ยังไม่มีปัญหาอะไร

ผมว่า ณ ปัจจุบัน plug in hybrid ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับคนเมือง ที่ใช้รถในระยะทางไม่มากในแต่ละวัน ใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงานหลัก และเมื่อมีโอกาสออกต่างจังหวัดก็ไปใช้น้ำมันแทน เพราะบ้านเรายังไม่มีสถานีชาร์จมารองรับ ตอนนี้ผมเติมน้ำมันเดือนกว่าๆครั้งนึง

แต่ถ้าถามเรื่องความคุ้มค่า ยังไงก็ยังไม่คุ้มครับ... ตลาดยังไม่รับ ค่าเสื่อมราคามากกว่าแน่นอน

กรณี ถ้าคุณต้องการซื้อ รถรุ่นที่มีแต่ plug in hybrid ให้เลือก เช่น เบนซ์บางรุ่น ไม่มีทางเลือกอื่น และจะเอาเบนซ์แน่ๆ ผมไม่คิดว่าการเป็น plug in hybrid เป็นเหตุผลให้ต้องหันไปซื้อยี่ห้ออื่น
กรณี ถ้าคุณมอง รถรุ่นที่มีทั้ง plug in hybrid และดีเซล อันนี้ถ้าเลือกเรื่องการเสื่อมราคา คงต้องหันไปหาดีเซล แต่ถ้าสนใจออปชั่น ความแรง เช่น XC90 plug in hybrid ก็น่าสนใจกว่าครับ

ผมตามอ่านเรื่อง EV มาหลายปี ผมคิดว่าเทคโนโลยีของโตโยต้า นิ่งมากแล้วครับ แล้วก็ผ่านการพัฒนามาหลายเจเนอเรชั่นแล้ว แต่บ้านเรายังไม่มี plug in hybrid มาให้ใช้

สำหรับ XC90 มีบทความเกี่ยวกับเทคโลโลยีของมันที่น่าสนใจ ลองเข้าไปอ่านดูก็ได้ครับ
https://www.carlist.my/news/understanding-worlds-most-advanced-plug-hybrid-suv-volvo-xc90-t8/42482/
2017 Honda Civic Turbo RS
2016 Volvo XC90 T8
2015 Volvo XC60 D4
2009 Toyota Estima Hybrid
1993 Bmw E36

ออฟไลน์ Napat14

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 347
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 16:16:30 »
ตอบจากใจคนใช้ pruis 2010 และ ปัจจุบันยังใช้ อยู่ กะจะใช้จนล้อหลุดไปข้างเลย
ถ้าพูดถึง hy บ้านเราละก็ จะบอกว่าต้องเล่นตัวhyเหมือนที่อยู่ในตัวpruisเท่านั้นครับเพราะกะตัวcamryตัวhvตัวแรกมันคนละระบบกัน
ถ้าพูดถึง hy ในเรื่องของการรักษาบำรุงจะบอกได้ว่า ไม่ต่างอะไรจากรถ น้ำมันทั้วไปนอกจากเรื่องแบตHYเท่านั้น กับตัวช่วยกำเนิดไฟฟ้าที่ทุกคนกล้ว
ของแบบนี้มันต้อง update กันบ่อยนะครับเพราะเวลาเปลี่ยนไป ราคาอะไรแบตhy มันลดลงแล้วจาก 9หมื่นกว่าเหลือหกหมื่นกว่า แต่ใช้เวลา7ปี แต่มีคนบอกว่าหลังจากปี 2019 เรื่องแบตhyจะคุ้มทุนในการทำใช้เชิงพาญิชย์มาก น่าจะเหลือ 3 หมื่นมั้งครับเด๋าเอง

มองในตลาดโลก รถต่อไปจะเป็น HY เข้าข้ามกันไปแล้วครับ เขามาเป้น HYเสียบปลั้กกันหมด รถที่เป็นhyเปล่าๆ จะน้อยลงไป ตอนนี้นายทุนโลกเก่า กันตัวรถEVแบบสุดตีนเพราะตัวเองเสียผลประโยชน์อย่างมาก เลยสนับสนุนรถ HYไปก่อน เพราะว่ายังไง รถEVก็ต้องมาแต่สิ่งที่ทุกคนไม่ได้คิดคือ รถ fullcell ตั้งหากที่จะมาแทนรถยนต์ทั้งโลก แต่ไม่รู็เมื่อไหร่ เหมือนรถevเป็นแค่ตัวกันเวลาในยุคๆหนึ่งเท่านั้น เหตุผลเรื่องการ ไม่สะดวกในการชาตร์แบตนั้นเอง ตัวผมเองก็ได้ศึกษาเรื่องการชาตร์แบตHYปลั๊กอิน หรือ EV  มาเหนือนกัน อ่านจากเว็บนอกซะเยอะ จะบอกว่า benz พวก350e ทั้งหลาย ชาตร์เต็ม 2-3 ชม ไม่ว่าจะมี ตู้ชาตร์ของbenz ที่ขายสามหมื่นกว่าบาทหรือไฟปลัีกบ้านก็ตาม ซึ่งมันไม่สะดวกเอาซะเลย หรือจะพูดถึงเรื่อง รถevในอเมริกาก็เรื่องไกลตัวเหลือเกิน

ตลาดบ้านเรา จริงๆแล้ว toyota น่าจะเป็นเจ้าตลาดรถhy ขนาดC D แต่กลับเหลือ D แค่แบบเดี่ยว ซึ่งมันบอกว่าตลาดบ้านเราไม่รับไปเอา อยาไปโทษ บริษัทรถเลยครับ ใครทำมาค้าแล้วไม่คุ้ม ก็ไม่มีคนทำเหมื่อนกัน ครับ

ส่วนตัว รถ pruis จะใช้ต่อไป เพราะ ในตลาดนะเวลานี้ ไม่มีรถทดแทนกันได้ ในรถญี่ปุ่นด้วยกัน เรื่องราคาขายต่อ ตอนนี้แทบไม่มีค่า
เรื่องรถมันมีหลายองค์ประกอบนะครับ
1 รูปทรง
2 ราคาขายต่อ
3 ค่าซ่อมแพงไหม
4 อะไหล่แพงไหม
5 ช่างทั้วไปซ่อมได้ไหม
6 0เยอะไหม
7 optionดีไหม
8 ประหยัดน้ำมันไหม
9 ราคารถแพงไหม
เยอะครับ รถ1คัน คนเราก็มองต่างกันไป จึงมีคนเคยบอกว่า คิดจะใช้รถ อย่ากลัวเรื่อง ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา บางคนคิดว่า ซื้อรถมา ใช้ได้ไม่ต้องซ่อมอะไรเลยก็มี
Bmw E30 coupe 1989
Volvo 940 estate 1997
Nissan Navara 2007
Toyota CHR 2019
Benz w212 2012
volvo v90 2018

ออฟไลน์ โบตั๋น

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 485
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 16:19:19 »
  ใช้ camry hybrid มาตั้งแต่ปี 2010 ตอนนี้ 2017 ใช้มา 180k กิโล
ที่เสียหลักๆก็คอยเย็นรั่ว และก็เปลี่ยนแบตตัวใหญ่+ตัวเล็ก ไปรอบนึงตอน 4 ปี
แล้วก็บูทยางช่วงล่าง ส่วนระบบอื่นๆก็ยังปกติดี รอแต่ปั้ม abs ให้มีปัญหาจะได้เคลม
  เพราะรุ่นนี้มีปัญหา ปั้ม abs กันเยอะใน us ก็เป็น (ราคาปั้ม abs 140k )
แต่แทนที่ toyota จะเปลี่ยนให้เลยกลับต้องรอให้มีปัญหาถึงจะให้เคลม
บอกเลยว่าความมั่นใจกับแบรนลดลงเยอะ ขนาดรอให้ปัญหาเกิดก่อนถึงจะให้เคลม
ต่างกับ honda ที่มีปัญหาถุงลมทาคาตะแล้วรีบเคลมให้ทันที

ประเด็นที่ใช้ hybrid คืออัตราเร่งล้วนๆเลย ความประหยัดถือเป็นของแถมครับ
ถ้ามองความคุ้มค่าขายต่อ แนะนำให้ตัด hybrid ออกได้เลยครับ
สิ่งที่จะได้เมื่อใช้คือ

- อัตราเร่ง เพราะมอเตอร์แรงบิดสูงเข้ามาช่วยได้ทุกช่วงของเครื่อง
  ข้อเสียคือถ้าซัดมาเยอะๆจนแบตต่ำจนเกือบหมดคืออืดทันที
- เครื่องดับเวลารถติดแล้วแอร์เย็น (ตามที่เคยได้ลองจับเวลาคือเครื่องติด 3 นาทีชาจไฟ แล้วดับอีก 15 นาทีถึงจะติดใหม่วนไปเรื่อยๆ)
- ขับเข้าหมู่บ้านตอนดึกแบบเงียบๆ (ถ้าปิดแอร์จะเงียบมากเพราะพัดลมแอร์ไม่ดัง)
- โหมด EV เพียวๆวิ่งได้ไม่ไกลเต็มที่ 2 กิโลบางท่านอาจได้ไกลกว่านั้นถ้าปิดแอร์

อุปกรณ์ราคาแพงของรถคือพวก     1.ปั้ม ABS   ค่าตัว  130,000+  2.อินเวอร์เตอร์ ค่าตัว  350,000+ 3.   แบตเตอร ค่าตัว  95,000+  อินเวอร์เตอร์ถ้าเสียคงทำใจให้ซื้อ hybrid คันต่อไปลำบากแน่นอน แต่ก็เริ่มมีร้านอะไหล่ถอดมือสองมาใส่แทนของเดิมกันหลายร้านแล้ว ลองสอบถามราคาไว้เผื่อใจดูก็ได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2017, 16:42:44 โดย โบตั๋น »

ออฟไลน์ crspy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 179
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 17:45:31 »
ตอบจากใจคนใช้ pruis 2010 และ ปัจจุบันยังใช้ อยู่ กะจะใช้จนล้อหลุดไปข้างเลย
ถ้าพูดถึง hy บ้านเราละก็ จะบอกว่าต้องเล่นตัวhyเหมือนที่อยู่ในตัวpruisเท่านั้นครับเพราะกะตัวcamryตัวhvตัวแรกมันคนละระบบกัน
ถ้าพูดถึง hy ในเรื่องของการรักษาบำรุงจะบอกได้ว่า ไม่ต่างอะไรจากรถ น้ำมันทั้วไปนอกจากเรื่องแบตHYเท่านั้น กับตัวช่วยกำเนิดไฟฟ้าที่ทุกคนกล้ว
ของแบบนี้มันต้อง update กันบ่อยนะครับเพราะเวลาเปลี่ยนไป ราคาอะไรแบตhy มันลดลงแล้วจาก 9หมื่นกว่าเหลือหกหมื่นกว่า แต่ใช้เวลา7ปี แต่มีคนบอกว่าหลังจากปี 2019 เรื่องแบตhyจะคุ้มทุนในการทำใช้เชิงพาญิชย์มาก น่าจะเหลือ 3 หมื่นมั้งครับเด๋าเอง

มองในตลาดโลก รถต่อไปจะเป็น HY เข้าข้ามกันไปแล้วครับ เขามาเป้น HYเสียบปลั้กกันหมด รถที่เป็นhyเปล่าๆ จะน้อยลงไป ตอนนี้นายทุนโลกเก่า กันตัวรถEVแบบสุดตีนเพราะตัวเองเสียผลประโยชน์อย่างมาก เลยสนับสนุนรถ HYไปก่อน เพราะว่ายังไง รถEVก็ต้องมาแต่สิ่งที่ทุกคนไม่ได้คิดคือ รถ fullcell ตั้งหากที่จะมาแทนรถยนต์ทั้งโลก แต่ไม่รู็เมื่อไหร่ เหมือนรถevเป็นแค่ตัวกันเวลาในยุคๆหนึ่งเท่านั้น เหตุผลเรื่องการ ไม่สะดวกในการชาตร์แบตนั้นเอง ตัวผมเองก็ได้ศึกษาเรื่องการชาตร์แบตHYปลั๊กอิน หรือ EV  มาเหนือนกัน อ่านจากเว็บนอกซะเยอะ จะบอกว่า benz พวก350e ทั้งหลาย ชาตร์เต็ม 2-3 ชม ไม่ว่าจะมี ตู้ชาตร์ของbenz ที่ขายสามหมื่นกว่าบาทหรือไฟปลัีกบ้านก็ตาม ซึ่งมันไม่สะดวกเอาซะเลย หรือจะพูดถึงเรื่อง รถevในอเมริกาก็เรื่องไกลตัวเหลือเกิน

ตลาดบ้านเรา จริงๆแล้ว toyota น่าจะเป็นเจ้าตลาดรถhy ขนาดC D แต่กลับเหลือ D แค่แบบเดี่ยว ซึ่งมันบอกว่าตลาดบ้านเราไม่รับไปเอา อยาไปโทษ บริษัทรถเลยครับ ใครทำมาค้าแล้วไม่คุ้ม ก็ไม่มีคนทำเหมื่อนกัน ครับ

ส่วนตัว รถ pruis จะใช้ต่อไป เพราะ ในตลาดนะเวลานี้ ไม่มีรถทดแทนกันได้ ในรถญี่ปุ่นด้วยกัน เรื่องราคาขายต่อ ตอนนี้แทบไม่มีค่า
เรื่องรถมันมีหลายองค์ประกอบนะครับ
1 รูปทรง
2 ราคาขายต่อ
3 ค่าซ่อมแพงไหม
4 อะไหล่แพงไหม
5 ช่างทั้วไปซ่อมได้ไหม
6 0เยอะไหม
7 optionดีไหม
8 ประหยัดน้ำมันไหม
9 ราคารถแพงไหม
เยอะครับ รถ1คัน คนเราก็มองต่างกันไป จึงมีคนเคยบอกว่า คิดจะใช้รถ อย่ากลัวเรื่อง ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา บางคนคิดว่า ซื้อรถมา ใช้ได้ไม่ต้องซ่อมอะไรเลยก็มี

ชัดเจนดีครับสำหรับความเห็น แต่รบกวนช่วยขยายความในประโยคที่ว่า ในพริอุสและแคมรี่นั้นระบบต่างกัน หมายความว่ายังไงเหรอครับ ผมเองก็เพิ่งจะเริ่มศึกษาก็วันนี้เองละครับ
ผมเองก็มีความเห็นคล้ายๆกันแหละครับ มองว่าHybrid เป็นตัวคั่นเวลาก่อนที่รถยนต์ยุคใหม่จะเข้ามาแทนที่ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีต่อไปก็ตาม แต่ผมยังคงมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นที่นิยมต่อๆไปในอีกหลายสิบปีจนกว่าจะมีบริษัทใดเอาเทคโนโลยีใหม่มาอวด เพราะผมมองว่าบริษัทรถยนต์แทบทุกค่ายก็พัฒนาระบบรถยนต์กำลังไฟฟ้าและแน่นอนว่าหมดค่าวิจัยไปกับส่วนนี้มากโขอยู่พอสมควร
การที่บริษัทไม่ต้องการให้งบการลงทุนวิจัยในส่วนนี้เสียไปเปล่าๆก็ต้องทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาตีตลาดในยุคสมัยหนึ่ง แต่คำถามคือว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาเป็นส่วนหลักในตลาดนานแค่ไหนก่อนที่จะมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทดแทน เช่นพลังงานแสงอาทิตย์หรืออื่นๆที่เราคาดไม่ถึง
แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นได้แน่นอนว่าเทคโนโลใหม่ก็ต้องอาศัยเวลาที่จะทำให้เทคโนโลยีนั้นนิ่งที่สุดและมีต้นทุนที่ไม่สูงจนเกินไป ในระหว่างนั้นเองรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นรถยนต์กระแสหลักของตลาดรถยนต์ครับ พูดง่ายๆคือในยุคสมัยหนึ่งนั้น รถยนต์ไฟฟ้าเพียวๆนั้นก็จะเป็นตัวคั่นเวลาเสมือนที่รถยนต์Hybrid เป็นอยู่ในช่วงเวลานี้นั่นเอง

และใช่ครับ คุณมีความเห็นคล้ายๆกับที่ผมได้ฟังบรรยายเรื่องนายทุนยุคเก่าครับ แน่นอนว่าถ้าทั้งโลก ทุกค่ายรถพร้อมใจทำรถไฟฟ้าออกมา ฝั่งตะวันออกกลางคงได้มีฮึดฮัดพอสมควรครับ ถามว่าถ้าเอาเข้าจริงๆผมว่าทุกค่ายพร้อมแล้วที่จะนำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาตีตลาด แต่เนื่องจากว่าปัจจัยต่างๆที่ทำให้การนำรถยนต์เหล่านี้ออกมาตีตลาดก็ต้องอาศัยปัจจัยและสภาวะอย่างอื่นประกอบเข้าด้วยกันครับ

ตอนนี้ผมมองว่ารถHybrid กลายเป็นรถรุ่นเก่าหรือรถนอกกระแสไปแล้ว เพราะตอนนี้โลกให้ความสนใจไปกับรถเสียบปลั๊กมากกว่า แต่ยังไงสะก็แล้วแต่ คิดว่ารถHybrid จะยังคงโลดแล่นอยู่ในวงการรถยนต์แบบเงียบๆไปอีกหลายปชสิบปปีจนกว่าจะเริ่มแผ่วลงและต้อง ยอม หลีกทางให้กับรถไฟฟ้าเพียวหรือรถเสียบปลั๊กครับ :'(

ออฟไลน์ crspy

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 179
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 17:50:04 »
  ใช้ camry hybrid มาตั้งแต่ปี 2010 ตอนนี้ 2017 ใช้มา 180k กิโล
ที่เสียหลักๆก็คอยเย็นรั่ว และก็เปลี่ยนแบตตัวใหญ่+ตัวเล็ก ไปรอบนึงตอน 4 ปี
แล้วก็บูทยางช่วงล่าง ส่วนระบบอื่นๆก็ยังปกติดี รอแต่ปั้ม abs ให้มีปัญหาจะได้เคลม
  เพราะรุ่นนี้มีปัญหา ปั้ม abs กันเยอะใน us ก็เป็น (ราคาปั้ม abs 140k )
แต่แทนที่ toyota จะเปลี่ยนให้เลยกลับต้องรอให้มีปัญหาถึงจะให้เคลม
บอกเลยว่าความมั่นใจกับแบรนลดลงเยอะ ขนาดรอให้ปัญหาเกิดก่อนถึงจะให้เคลม
ต่างกับ honda ที่มีปัญหาถุงลมทาคาตะแล้วรีบเคลมให้ทันที

ประเด็นที่ใช้ hybrid คืออัตราเร่งล้วนๆเลย ความประหยัดถือเป็นของแถมครับ
ถ้ามองความคุ้มค่าขายต่อ แนะนำให้ตัด hybrid ออกได้เลยครับ
สิ่งที่จะได้เมื่อใช้คือ

- อัตราเร่ง เพราะมอเตอร์แรงบิดสูงเข้ามาช่วยได้ทุกช่วงของเครื่อง
  ข้อเสียคือถ้าซัดมาเยอะๆจนแบตต่ำจนเกือบหมดคืออืดทันที
- เครื่องดับเวลารถติดแล้วแอร์เย็น (ตามที่เคยได้ลองจับเวลาคือเครื่องติด 3 นาทีชาจไฟ แล้วดับอีก 15 นาทีถึงจะติดใหม่วนไปเรื่อยๆ)
- ขับเข้าหมู่บ้านตอนดึกแบบเงียบๆ (ถ้าปิดแอร์จะเงียบมากเพราะพัดลมแอร์ไม่ดัง)
- โหมด EV เพียวๆวิ่งได้ไม่ไกลเต็มที่ 2 กิโลบางท่านอาจได้ไกลกว่านั้นถ้าปิดแอร์

อุปกรณ์ราคาแพงของรถคือพวก     1.ปั้ม ABS   ค่าตัว  130,000+  2.อินเวอร์เตอร์ ค่าตัว  350,000+ 3.   แบตเตอร ค่าตัว  95,000+  อินเวอร์เตอร์ถ้าเสียคงทำใจให้ซื้อ hybrid คันต่อไปลำบากแน่นอน แต่ก็เริ่มมีร้านอะไหล่ถอดมือสองมาใส่แทนของเดิมกันหลายร้านแล้ว ลองสอบถามราคาไว้เผื่อใจดูก็ได้ครับ

ใช่ครับ สรุปก็คือหลักๆแล้วเนี่ยแบตมันไม่ได้แพงอะไรหรอก แต่ที่แพงคืออะไหล่ที่มีส่วนร่วมกับระบบHybrid เช่นตัว Inverter ตอนนี้ที่บ้านกำลังตัดสินใจจะขาย Cayenne เพราะเคยเจ็บหนักมากับ Alpard Gen1 คุณพ่อเลยค่อนข้างขยาดกับระบบนี้ครับ แล้วยิ่งเจอค่าเปลี่ยนแบตและอินเวอเตอร์เข้าไปคงจะแหยงๆพอสมควร

ใจจริงที่อยากได้ไฮบริดเนี่ยเพราะเอามาใช้ให้ประหยัด สงสัยเห็นว่าไฮบริดคงจะไม่ตอบโจทย์ผมสะแล้ว..ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทำให้ความอยากได้รถไฮบริดมันลดลงแต่อย่างใด.. ;D ;D

ออฟไลน์ n

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 183
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 18:07:04 »
ใช้ PRIUS มา6 ปี ก็ปกติดี ไม่เคยซ่อมหรือเคลมอะไร
มาออก HARRIER HV ก็ใช้คู่กับ PRIUS ตอนนี้ก็ 2 ปีกว่าแล้ว ก็ปกติดีไม่มีปัญหาอะไรกับระบบ HV คันต่อไป ก็ยังคงใช้เหมือนเดิม

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,537
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 20:19:29 »
มีประสบการใช้plug in hybrid ทางฝั่งยุโรป จะลิสต์ข้อดีข้อเสีย ตามจริงดังนี้ครับ
ข้อดี
- เวลารถติด แล้วเครื่องมันดับ มันฟินตรงนี้ เพราะบางครั้งขับรถน้ำมันรู้สึกผิดเหมือนกันว่านี่เราจะนั่งเผาน้ำมันกับออกซิเจนทิ้งไปเปล่าๆเพื่ออะไร
- คุณสามารถได้รถที่อัตราเร่งดีๆได้ในราคาที่ถูกกว่า ลองนึกดูเล่นๆว่า s500 w221ราคา10กว่าล้านถ้าจำไม่ผิด 11-12ล้านแล้วแต่ออพชั่นด้วย แต่ถ้าเป็นs500e w222ลดภาษีตีตั๋วเด็ก ราคาเหลือ6-7ล้านถ้าเป็นs500ธรรมดา ราคาน่าจะเกิน 12-13ล้านแน่นอน ถ้าชอบสมรรถนะระดับนี้นี่ยังไงก็คุ้ม เพราะซ่อมยังไงก็ไม่น่าเกิน 3-4ล้าน  แต่ข้อแม้คือคุณต้องใช้มันให้ถึงจุดนั้นด้วย 80-120 แค่3-4วิเองเวลาแซงนี่หายห่วง
- ประหยัดน้ำมันในเมืองเกินคาด ใช้ในเมืองไม่ชาร์จเลย รถหนักสามตัน วิ่ง10โล ลิตร ประหยัดกว่า86อีก
- ถ้าชาร์จได้ แล้ววิ่งใกล้ๆ เครื่องยนต์แทบไม่ติดเลย

ข้อเสีย
-จุกจิก เดี๋ยวแอร์ไม่เย็น เดี๋ยวinverterเสีย 60,000โล เสียไปสองรอบแล้ว
-ซ่อมนาน บางคนั้งต้องส่งปัญหาให้ที่เยรมันรับทราบแล้วส่งเรื่องเคลมกลับมา กินเวลาเป็นเดือน ถ้าไม่มีรถสำรองจะลำบากมากๆ
- ถ้าใครจะซื้อไฮบริด เบนซ์ บีเอ็ม แนะนำให้ซื้อวารันตีเพิ่มไปเลยโคตรคุ้ม
- ถ้าไม่ได้ชาร์จแบต เครื่องจะติดๆดับๆบ่อยมาก
- กรณีแบตหมด หรือพวกอยู่คอนโดชาร์จไม่ได้ แบตมันจะเป็นตัวถ่วงรถคุณไปทุกที่ อีกกี่ร้อยโลก็ว่ากันไป
- การตัดต่อกำลังทำได้ไม่perfect บางครั้งยังมีกระตุกอยู่
- น้ำหนักแบตเยอะทำให้ระยะเบรคไม่ค่อยดี เอาไม่ค่อยอยู่เมื่อเทียบกับความแรง

ตามนี้ครับ อนาคตได้แต่หวังว่ารุ่นใหม่ๆระบบไฮบริดจะทนทานขึ้นและราคาอะไหล่ถูกลง(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ555)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2017, 20:28:54 โดย koko86 »

ออฟไลน์ Torque

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 248
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 20:56:06 »
บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ 
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า 
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่

ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ 
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้  ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ

แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง  ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง 
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้     แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ   แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว  กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ

ปล. 1  ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
         ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima  รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
         ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ

ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV

         รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
   
         รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต

         ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
         ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
         ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ

รถ Hybrid  ถ้าเป็นรถยุโรปที่ได้ยินมาว่า
ไม่ค่อยจะประทับใจ
คือจุกจิกและซ่อมไม่จบเบ็ดเสร็จในคราวเดียว
และบางส่วนมาจากความจุกจิกส่วนอื่นๆที่
อาจจะไม่เกี่ยวกับระบบไฮบริดโดยตรงด้วย


ถ้าเป็น Toyota ซึ่งทำตลาด Hybrid มานานกว่า
หลายๆท่านที่เคยใช้ใน Estima/Alphard
คงพบว่าถ้าซ่อมอู่ดีๆ และยอมจ่ายในจุดที่จำเป็นมันก็ซ่อมจบใช้ต่อกันยาวๆ

เพียงแต่ค่าน้ำมันที่ถูกลง ชดเชยกับค่าแบตลูกเล็กลูกใหญ่
และค่าบำรุงรักษาอื่นๆแล้ว
ยังไงค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ก็มักจะไม่ได้ถูกไปกว่า
รถใช้ในมันล้วนๆในพิกัดความจุเท่ากัน

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าได้รถที่ออปชั่นเต็มกว่า
แรงกว่า อัตราเร่งดีกว่า การตอบสนองที่ดีกว่า


---------------------------------------------

เรื่องความเชื่อมั่นของระบบในระยะยาว
ในมุมของผมนั้นมองรถที่ถูกจำแนกในกลุ่ม Hybrid
แตกต่างกันไปตามกลไกการทำงาน
และเงื่อนไขการรับประกันอุปกรณ์ด้วย

----------------------------------------------

เช่นถ้าเป็น Estima ก็ต้องทำใจและทำเงินเตรียมไว้
เป็นก้อนสำหรับการเปลี่ยนแบตเมื่อถึงอายุของมัน
และอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า+เครื่องยนต์อื่นๆ
ที่พอเสียหลังหมดประกันสั้นๆของเกรย์
เราจะต้องควักจ่ายเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่แบต
มีทั้งคอมแอร์ไฟฟ้า ปั๊มเบรค ปั๊มน้ำ ชุดควบคุมการจ่ายไฟ
หรือสิ่งอื่นๆที่จะตามมา

แต่ถ้าเป็น Camry 2.5 HV รถศูนย์ของโตโยต้า
ซึ่งมีการรับประกันอุปกรณ์ที่ยาวกว่า และประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
มันก็จะลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมได้
ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่ใน 150,000 kmจะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ที่ต่ำลงจนอาจจะถูกกว่าเครื่อง 2.0 หรือ 2.5 ได้ในการขับขี่บางเงื่อนไข

ที่ต้องบอกว่าบางเงื่อนไขเพราะรถ Hybrid ไม่ได้ประหยัดกว่า
เครื่องยนต์ธรรมดามากๆ ครอบคลุมในทุกๆเงื่อนไข
เงื่อนไขที่ รถ Hybrid ที่มีกลไกแบบ Camry

-จะประหยัดได้มากกว่าเห็นได้ชัด
จะเป็นในช่วงที่เราขับมีเร่งมีผ่อน
ตามการเคลื่อนตัวไปตามๆกันของรถ
ในย่านความเร็ว 50-100 km/h
มีการเอาพลังงานจากการลดความเร็วมาปั่นไฟกลับ
และไม่ได้มีไฟแดงที่ติดนานเป็นสิบนาที
คือขับชานเมืองทั่วไป เงื่อนไขนี้
มันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

-แต่ถ้าวิ่งทางไกลความเร็วค่อนข้างคงที่ 100-120 km/h ตลอด
ด้วยกลไกการทำงานแบบ Camry
ต่อให้โดยหลักการของมันแล้ว
เครื่องมีพฤติกรรมเป็นอิสระจากล้อมากกว่า
รถธรรมดาที่มีเกียร์ล็อคอัตราทดเป็นขั้นๆ หรือแม้กระทั่ง CVT

คือมันมีความคล้ายกับเกียร์ CVT
ในแง่อัตราทดในมุมของ รอบเครื่องยนต์ vs ความเร็วล้อ
ที่มีจำนวนอัตราทดได้หลากหลายมากๆ
และมีอิสระในการจัดให้เครื่องทำงานในย่านที่มี BSFC ดีๆ
แล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาสร้าง torque offset
คือเสริมเข้ามาก็ได้ หรือเอากำลังส่วนเกินไปปั่นเก็บในแบตไว้ก่อน
แต่ในทางปฏิบัติแนวโน้มของรถรุ่นใหม่
บางรุ่นเครื่องยนต์เล็ก+ระบบอัดอากาศ+เกียร์ที่เหมาะสม
แม้จะไม่ Hybrid ก็สามารถสร้างอัตราเร่งได้ไม่ต่างกันมาก
รวมถึงความประหยัดที่ทำได้ไม่หนีกันมาก
แต่มีความซับซ้อนของระบบที่น้อยกว่า

-ส่วนถ้าติดมากๆนานๆ รถ Hybrid ส่วนใหญ่
แบตที่เคยสะสมไว้ก็จะหมดลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน
ต้องดึงพลังงานมาใช้ในระบบปรับอากาศมากแบตยิ่งหมดเร็ว

จากการใช้งานจริงของ Hybrid ของโตโยต้า
พบว่าที่ความเร็วๆต่ำๆคลานๆสลับหยุดนิ่งสั้นๆ
หรือต้องมีการติดไฟแดงยาวๆ แบบในกทม.
มันจะเป็นช่วงเวลาไม่ใช่จุดเก่งของรถ

เพราะตอนที่คลานช้าๆ จะไม่สามารถ
เอาพลังงานจากการเบรค มาปั่นไฟได้
แต่กลับต้องดึงแบตสร้างแรงขับเคลื่อน
และต้องจ่ายไฟให้ระบบเบรคอีกด้วย

เครื่องยนต์ก็จะเร่งๆผ่อนๆในช่วงที่
เบรค สลับปล่อยเบรคคลานช้าๆ
ซึ่งปั่นไฟกลับได้ช้ากว่าการจอดหยุดนิ่งให้ปั่นไปอย่างเดียว
หรือวิ่งลอยตัวออกไปแล้วแบ่งพลังงานขับเคลื่อนมาปั่นไฟ
ทำให้ต้องฟังเสียงเครื่องเร่งอยู่นานกว่าแบตจะมากพอ
และเครื่องยนต์จึงจะดับลงและกลับมาใช้ไฟฟ้าล้วนอีกครั้ง

และด้วยกลไขแบบของ Camry หรือ Estima
ถ้าจอดติดไฟแดงนานๆจนแบตหมด
เครื่องจะต้องติดขึ้นมาปั่นไฟ
ในรอบเครื่องที่หมุนเร็วกว่ารอบเดินเบาของรถทั่วไป
มีเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่มากกว่า
 
และมันไม่สามารถชาร์จได้ในเกียร์ N
จำเป็นต้องเหยียบเบรคเข้าเกียร์ D หรือเข้าเกียร์ P ไปเลย
และไม่ใช้คันเกียร์ไฟฟ้าแบบ Prius ที่มีปุ่มกดเข้าเกียร์ P
ได้ทันที่ ไม่ต้องลากผ่าน R ก่อน

ทำให้ในมุมมองของผมแล้ว มันยังไม่ตอบโจทย์
การใช้งานในเมืองที่รถติดหนักมากๆ
หากคาดหวังว่ารถ Hybrid เหมาะกับรถติดๆ
ตรงนี้ความประหยัดที่ได้เพิ่มขึ้นมากับความ
ราบรื่นที่เสียไปในหลายๆท่านก็อาจจะมองว่าไม่คุ้ม

ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาในจุดนี้เพราะใช้วิ่งระหว่างจังหวัด
หรือวิ่งตามชานเมืองเป็นหลัก
ซึ่งค่อนข้างตรงกับเงื่อนไขการทำงาน
ทำมันทำงานได้ดีอยู่แล้ว

------------------------------------------------

ในหลายๆส่วนด้วยกลไกแบบ
Accord Hybrid ข้อจำกัดในบางมุม
อาจจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า
และมีความกระเดียดไปทาง
รถไฟฟ้า plugin หรือไฟฟ้าล้วนมากกว่า  Camry HV

ด้วยสัดส่วนกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ที่มอเตอร์มีกำลังมากพอจะขับเคลื่อน
รถโดยลำพังได้ในช่วงกว้างกว่า
ถ้ามีเทคโนโลยีแบตความจุมากๆ และมีขนาดเล็กลง
มันมีแนวโน้มที่จะดัดแปลง ต่อไปเป็นรถไฟฟ้าเสียบปลั๊กได้ง่ายกว่า

สำหรับรถที่เป็น plugin
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องยนต์ชำรุด
เสียบปลั๊กให้ไฟเต็มน่า มันจะพาเราเอาตัวรถ
ไปไปยังศูนย์ที่ใกล้สุดได้ ถ้าอยู่ในกทม.

ส่วนกลไกในแบบ Camry นั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้
ที่่จะใช้เครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน
ให้ครอบคลุมการถอยหลัง เดินหน้า
ไล่ไปจนถึงความเร็วในการเดินทางไกลต่อเนื่อง

และก็ไม่เหมือนรถที่มีสัดส่วนกำลังของมอเตอร์น้อยๆ
เมื่อเพียงกับเครื่องอย่าง Jazz Hybrid ตัวเก่า
หรือ E300 hybrid ที่ยังอาศัยพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์เป็นตัวหลัก


*********************************


ผมเข้าใจว่าหลายๆคนเลือกที่จะไว้วางใจรถ
ที่เครื่องเครื่องยนต์ล้วน หรือไฟฟ้าล้วน
มากกว่ารถลูกผสมแบบ Hybrid เพราะว่า

1.เทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
พัฒนามายังไม่อยู่ต้ว และอาจะไม่ได้อยู่นาน
ไม่เหมือนเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือไฟฟ้าล้วนๆ ที่มีการพัฒนา
และลองผิดลองถูกมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่การใช้เครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้ายัง
เพิ่งมีการใช้งานมา สั้นกว่า
เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน

และการผสมกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ECU จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่มากและเชื่อมโยง
กับระบบต่างๆเป็นโยงใย อุปกรณ์บางตัว
แม้ชำรุดตัวเดียวก็อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนกลไกชิ้นส่วน
และเงื่อนไขความซับซ้อนในการทำงาน
น้อยกว่าการเป็น Hybrid ที่ต้องผสมกันสองอย่างมากๆ
ที่ส่วนประมวลผลจะต้องอ่านค่า input ต่างๆรวมกันมากขึ้น
และจะต้องสั่งการให้เครื่องทำอะไร และมอเตอร์ทำอะไร
มากน้อยเท่าไหร่ และให้ทั้งสองส่วนสอดประสานกัน

เคยเห็นวารสารในเนตผ่านๆตา
เค้าเอา matrix ที่ใช้ในการคำนวณ
ส่วนหนึ่งมาให้ดู (ซึ่งดูแล้วไม่เข้าใจ) แต่ขนาดของ
matrix ก็ใหญ่อยู่ บ่งบอกถึงความซับซ้อนในตอน
ที่ต้องทำงานผสมกัน


2.เพื่อนผมบางคนคิดขำๆแบบนี้นะครับ

สมมุติว่าถ้า
- เครื่องยนต์ล้วนๆมีโอกาสเสีย 20%
- ไฟฟ้าล้วนๆมีโอกาสเสีย 30%

อันนี้แสดงว่าเครื่องยนต์ล้วนๆก็มีความน่าเชื่อถือ
100-20 = 80%

และไฟฟ้าล้วนๆ ก็จะมีความน่าเชื่อถือ
100-30 = 70%

แต่พอเอาเครื่องยนต์มาผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป
และต้องทำงานได้พร้อมๆกันทั้งสองส่วน
ระบบจึงจะทำงานได้ ความน่าเชื่อถือของระบบจะเท่ากับ
80%x70% = 0.80x0.70 = 0.56 = 56%

ซึ่งน้อย 56% นี้น้อยลงกว่า
เครื่องยนต์ล้วนคือ 80 % และ ไฟฟ้าล้วน 70%


3.ช่างที่มีความชำนาญในการซ่อมบำรุงมีไม่มาก
หลายๆท่านคงพอทราบว่า พอเป็นรถ Hybrid
ที่มีช่วงเวลาที่เครื่องยนต์ดับสนิท
แต่อุปกรณ์ต่างๆยังต้องทำงาน
หลายอย่างเคยทำงานโดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์
ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นคอมแอร์
ปั๊มน้ำ ระบบเบรค ฯลฯ ซึ่งนอกจากอุปกรณ์พวกนี้
มีเทคนิคการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ยังต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษ
เช่ื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการซ่อมบำรุง
ตัวเลือกอู่จึงมีแคบกว่า


4.คิดภาษีตอนซื้อเหมือนว่าถูกว่ารถธรรมดา
 แต่ต่อทะเบียนไม่ได้ถูกลงด้วย
เช่น Camry 2.5HV ต่อภาษี 4 พันกว่าเกือบๆ 5 พัน
ไม่ได้ถูกลงตามการเป็นรถรักษ์โลก
W212 เครื่องดีเซลไม่ Hybrid
ต่อภาษีปีนึงถูกกว่าเป็นพัน
แต่ไม่รู้ใครปล่อยมลภาวะมากกว่า *_*


5.ราคาตก มากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา
และปล่อยออกยากกว่า


6.รำคาญรอยต่อระหว่าง เครื่องยนต์กับไฟฟ้า
แม้จะน้อยแต่ก็ยังรู้สึกได้
และมีแนวโน้มจะสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อรถ
วิ่งมากขึ้น รอยต่อนี้ไม่ได้เฉพาะการเร่งความเร็ว
แต่การเบรคจริงๆแล้วถ้าเป็นคนช่างสังเกต
ก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
พวกที่เล่นรถ D seg หรือรถตู้ครอบครัว
บางท่านจะชอบรถที่ให้บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ราบรื่น
ไม่ติดๆดับๆให้สะดุดอารมณ์


ึึ7.ความร้อนบริเวณที่แบตติดตั้งอยู่
เช่น Camry แบตอยู่ตรงเบาะหลัง
เร่งแซงหนักๆต่อเนื่องคนนั่งหลังจะร้อนแบบรู้สึกได้


8.แรงไม่ตลอด
ถ้าแบตลดต่ำลง กำลังที่มีให้นำไปใช้
ขับเคลื่อนล้อจะลดลงแบบพอรู้สึกได้
เพราะ กำลังเครื่องยนต์ ถูกหักลบต้องแบ่งไปชาร์ทไฟ
ไม่เหมือนตอนแบตเยอะ
กำลังเครื่องยนต์ + กำลังจากมอเตอร์มาเสริม

ตัวอย่างเช่นของ Camry 2.5 HV
ถ้าแบต 6 ขีดแล้วกดจาก 100-160 km
แล้วกดเบรคหนักๆกลับมาเหลือ 80-90
แล้วกดขึ้นไป 160 ใหม่ ไม่เกิน 2-3 รอบ
แบตจะลดอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
เพราะถ้ากดเบรคหนักๆไม่ได้ค่อยๆเลียเบรค
มันจะใช้เบรคปกติมาก แต่ gen ไฟได้น้อยจึงไงก็ชาร์จกลับไม่ทัน
 
กรณีนี้พวกที่แบตความจุมากๆแบบพวกเสียบปลั๊ก
น่าจะพบปัญหานี้ได้น้อยกว่ามาก

========================



ส่วนข้อดีจริงๆที่สัมผัสได้ของรถ Hybrid ในตอนนี้
คือการตอบสนองต่อการเหยียบคันเร่ง
ที่มันไม่งึกงักแบบรถมีเกียร์ และไม่ต้องกลัว
สายพานจะรูดจะพังไว เพราะไม่ได้ใช้สายพานแบบเกียร์ CVT
ประหยัดผ้าเบรคจานเบรคมาก


ในอนาคตข้างหน้าถ้าเป็นไฟฟ้าล้วน
ที่พัฒนาพิสัยเดินทาง และวิธีในการชาร์จไฟเข้าไป
ที่ดีขึ้น ไฟฟ้าล้วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า Hybrid มากครับ
ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องไร้รอยต่ออย่างแท้จริง
และกลไลระบบขับเคลื่อนผมเชื่อว่าน่าจะต่างไปจากเดิมมาก
ชิ้นส่วนน่าจะน้อยลง น้ำหนักน้อยลงซ่อมบำรุงง่ายขึ้น
ระบบควบคุมการทรงตัวน่าจะทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าสามารถให้ 1 ล้อมี 1 มอเตอร์ มันน่าจะ
กระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อได้โดยอิสระ
ทำให้ช่วยบังคับให้อยู่ในทิศทางตามที่ต้องการได้ดีขึ้น
เด็กรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่าเฟืองท้ายคืออะไรก็ได้  ;D
a = F/m

ออฟไลน์ Symphonic

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,541
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: กันยายน 03, 2017, 21:14:47 »


รถ Hybrid  ถ้าเป็นรถยุโรปที่ได้ยินมาว่า
ไม่ค่อยจะประทับใจ
คือจุกจิกและซ่อมไม่จบเบ็ดเสร็จในคราวเดียว
และบางส่วนมาจากความจุกจิกส่วนอื่นๆที่
อาจจะไม่เกี่ยวกับระบบไฮบริดโดยตรงด้วย


ถ้าเป็น Toyota ซึ่งทำตลาด Hybrid มานานกว่า
หลายๆท่านที่เคยใช้ใน Estima/Alphard
คงพบว่าถ้าซ่อมอู่ดีๆ และยอมจ่ายในจุดที่จำเป็นมันก็ซ่อมจบใช้ต่อกันยาวๆ

เพียงแต่ค่าน้ำมันที่ถูกลง ชดเชยกับค่าแบตลูกเล็กลูกใหญ่
และค่าบำรุงรักษาอื่นๆแล้ว
ยังไงค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ก็มักจะไม่ได้ถูกไปกว่า
รถใช้ในมันล้วนๆในพิกัดความจุเท่ากัน

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าได้รถที่ออปชั่นเต็มกว่า
แรงกว่า อัตราเร่งดีกว่า การตอบสนองที่ดีกว่า


---------------------------------------------

เรื่องความเชื่อมั่นของระบบในระยะยาว
ในมุมของผมนั้นมองรถที่ถูกจำแนกในกลุ่ม Hybrid
แตกต่างกันไปตามกลไกการทำงาน
และเงื่อนไขการรับประกันอุปกรณ์ด้วย

----------------------------------------------

เช่นถ้าเป็น Estima ก็ต้องทำใจและทำเงินเตรียมไว้
เป็นก้อนสำหรับการเปลี่ยนแบตเมื่อถึงอายุของมัน
และอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า+เครื่องยนต์อื่นๆ
ที่พอเสียหลังหมดประกันสั้นๆของเกรย์
เราจะต้องควักจ่ายเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่แบต
มีทั้งคอมแอร์ไฟฟ้า ปั๊มเบรค ปั๊มน้ำ ชุดควบคุมการจ่ายไฟ
หรือสิ่งอื่นๆที่จะตามมา

แต่ถ้าเป็น Camry 2.5 HV รถศูนย์ของโตโยต้า
ซึ่งมีการรับประกันอุปกรณ์ที่ยาวกว่า และประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
มันก็จะลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมได้
ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่ใน 150,000 kmจะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ที่ต่ำลงจนอาจจะถูกกว่าเครื่อง 2.0 หรือ 2.5 ได้ในการขับขี่บางเงื่อนไข

ที่ต้องบอกว่าบางเงื่อนไขเพราะรถ Hybrid ไม่ได้ประหยัดกว่า
เครื่องยนต์ธรรมดามากๆ ครอบคลุมในทุกๆเงื่อนไข
เงื่อนไขที่ รถ Hybrid ที่มีกลไกแบบ Camry

-จะประหยัดได้มากกว่าเห็นได้ชัด
จะเป็นในช่วงที่เราขับมีเร่งมีผ่อน
ตามการเคลื่อนตัวไปตามๆกันของรถ
ในย่านความเร็ว 50-100 km/h
มีการเอาพลังงานจากการลดความเร็วมาปั่นไฟกลับ
และไม่ได้มีไฟแดงที่ติดนานเป็นสิบนาที
คือขับชานเมืองทั่วไป เงื่อนไขนี้
มันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

-แต่ถ้าวิ่งทางไกลความเร็วค่อนข้างคงที่ 100-120 km/h ตลอด
ด้วยกลไกการทำงานแบบ Camry
ต่อให้โดยหลักการของมันแล้ว
เครื่องมีพฤติกรรมเป็นอิสระจากล้อมากกว่า
รถธรรมดาที่มีเกียร์ล็อคอัตราทดเป็นขั้นๆ หรือแม้กระทั่ง CVT

คือมันมีความคล้ายกับเกียร์ CVT
ในแง่อัตราทดในมุมของ รอบเครื่องยนต์ vs ความเร็วล้อ
ที่มีจำนวนอัตราทดได้หลากหลายมากๆ
และมีอิสระในการจัดให้เครื่องทำงานในย่านที่มี BSFC ดีๆ
แล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาสร้าง torque offset
คือเสริมเข้ามาก็ได้ หรือเอากำลังส่วนเกินไปปั่นเก็บในแบตไว้ก่อน
แต่ในทางปฏิบัติแนวโน้มของรถรุ่นใหม่
บางรุ่นเครื่องยนต์เล็ก+ระบบอัดอากาศ+เกียร์ที่เหมาะสม
แม้จะไม่ Hybrid ก็สามารถสร้างอัตราเร่งได้ไม่ต่างกันมาก
รวมถึงความประหยัดที่ทำได้ไม่หนีกันมาก
แต่มีความซับซ้อนของระบบที่น้อยกว่า

-ส่วนถ้าติดมากๆนานๆ รถ Hybrid ส่วนใหญ่
แบตที่เคยสะสมไว้ก็จะหมดลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน
ต้องดึงพลังงานมาใช้ในระบบปรับอากาศมากแบตยิ่งหมดเร็ว

จากการใช้งานจริงของ Hybrid ของโตโยต้า
พบว่าที่ความเร็วๆต่ำๆคลานๆสลับหยุดนิ่งสั้นๆ
หรือต้องมีการติดไฟแดงยาวๆ แบบในกทม.
มันจะเป็นช่วงเวลาไม่ใช่จุดเก่งของรถ

เพราะตอนที่คลานช้าๆ จะไม่สามารถ
เอาพลังงานจากการเบรค มาปั่นไฟได้
แต่กลับต้องดึงแบตสร้างแรงขับเคลื่อน
และต้องจ่ายไฟให้ระบบเบรคอีกด้วย

เครื่องยนต์ก็จะเร่งๆผ่อนๆในช่วงที่
เบรค สลับปล่อยเบรคคลานช้าๆ
ซึ่งปั่นไฟกลับได้ช้ากว่าการจอดหยุดนิ่งให้ปั่นไปอย่างเดียว
หรือวิ่งลอยตัวออกไปแล้วแบ่งพลังงานขับเคลื่อนมาปั่นไฟ
ทำให้ต้องฟังเสียงเครื่องเร่งอยู่นานกว่าแบตจะมากพอ
และเครื่องยนต์จึงจะดับลงและกลับมาใช้ไฟฟ้าล้วนอีกครั้ง

และด้วยกลไขแบบของ Camry หรือ Estima
ถ้าจอดติดไฟแดงนานๆจนแบตหมด
เครื่องจะต้องติดขึ้นมาปั่นไฟ
ในรอบเครื่องที่หมุนเร็วกว่ารอบเดินเบาของรถทั่วไป
มีเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่มากกว่า
 
และมันไม่สามารถชาร์จได้ในเกียร์ N
จำเป็นต้องเหยียบเบรคเข้าเกียร์ D หรือเข้าเกียร์ P ไปเลย
และไม่ใช้คันเกียร์ไฟฟ้าแบบ Prius ที่มีปุ่มกดเข้าเกียร์ P
ได้ทันที่ ไม่ต้องลากผ่าน R ก่อน

ทำให้ในมุมมองของผมแล้ว มันยังไม่ตอบโจทย์
การใช้งานในเมืองที่รถติดหนักมากๆ
หากคาดหวังว่ารถ Hybrid เหมาะกับรถติดๆ
ตรงนี้ความประหยัดที่ได้เพิ่มขึ้นมากับความ
ราบรื่นที่เสียไปในหลายๆท่านก็อาจจะมองว่าไม่คุ้ม

ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาในจุดนี้เพราะใช้วิ่งระหว่างจังหวัด
หรือวิ่งตามชานเมืองเป็นหลัก
ซึ่งค่อนข้างตรงกับเงื่อนไขการทำงาน
ทำมันทำงานได้ดีอยู่แล้ว

------------------------------------------------

ในหลายๆส่วนด้วยกลไกแบบ
Accord Hybrid ข้อจำกัดในบางมุม
อาจจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า
และมีความกระเดียดไปทาง
รถไฟฟ้า plugin หรือไฟฟ้าล้วนมากกว่า  Camry HV

ด้วยสัดส่วนกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ที่มอเตอร์มีกำลังมากพอจะขับเคลื่อน
รถโดยลำพังได้ในช่วงกว้างกว่า
ถ้ามีเทคโนโลยีแบตความจุมากๆ และมีขนาดเล็กลง
มันมีแนวโน้มที่จะดัดแปลง ต่อไปเป็นรถไฟฟ้าเสียบปลั๊กได้ง่ายกว่า

สำหรับรถที่เป็น plugin
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องยนต์ชำรุด
เสียบปลั๊กให้ไฟเต็มน่า มันจะพาเราเอาตัวรถ
ไปไปยังศูนย์ที่ใกล้สุดได้ ถ้าอยู่ในกทม.

ส่วนกลไกในแบบ Camry นั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้
ที่่จะใช้เครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน
ให้ครอบคลุมการถอยหลัง เดินหน้า
ไล่ไปจนถึงความเร็วในการเดินทางไกลต่อเนื่อง

และก็ไม่เหมือนรถที่มีสัดส่วนกำลังของมอเตอร์น้อยๆ
เมื่อเพียงกับเครื่องอย่าง Jazz Hybrid ตัวเก่า
หรือ E300 hybrid ที่ยังอาศัยพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์เป็นตัวหลัก


*********************************


ผมเข้าใจว่าหลายๆคนเลือกที่จะไว้วางใจรถ
ที่เครื่องเครื่องยนต์ล้วน หรือไฟฟ้าล้วน
มากกว่ารถลูกผสมแบบ Hybrid เพราะว่า

1.เทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
พัฒนามายังไม่อยู่ต้ว และอาจะไม่ได้อยู่นาน
ไม่เหมือนเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือไฟฟ้าล้วนๆ ที่มีการพัฒนา
และลองผิดลองถูกมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่การใช้เครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้ายัง
เพิ่งมีการใช้งานมา สั้นกว่า
เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน

และการผสมกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ECU จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่มากและเชื่อมโยง
กับระบบต่างๆเป็นโยงใย อุปกรณ์บางตัว
แม้ชำรุดตัวเดียวก็อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนกลไกชิ้นส่วน
และเงื่อนไขความซับซ้อนในการทำงาน
น้อยกว่าการเป็น Hybrid ที่ต้องผสมกันสองอย่างมากๆ
ที่ส่วนประมวลผลจะต้องอ่านค่า input ต่างๆรวมกันมากขึ้น
และจะต้องสั่งการให้เครื่องทำอะไร และมอเตอร์ทำอะไร
มากน้อยเท่าไหร่ และให้ทั้งสองส่วนสอดประสานกัน

เคยเห็นวารสารในเนตผ่านๆตา
เค้าเอา matrix ที่ใช้ในการคำนวณ
ส่วนหนึ่งมาให้ดู (ซึ่งดูแล้วไม่เข้าใจ) แต่ขนาดของ
matrix ก็ใหญ่อยู่ บ่งบอกถึงความซับซ้อนในตอน
ที่ต้องทำงานผสมกัน


2.เพื่อนผมบางคนคิดขำๆแบบนี้นะครับ

สมมุติว่าถ้า
- เครื่องยนต์ล้วนๆมีโอกาสเสีย 20%
- ไฟฟ้าล้วนๆมีโอกาสเสีย 30%

อันนี้แสดงว่าเครื่องยนต์ล้วนๆก็มีความน่าเชื่อถือ
100-20 = 80%

และไฟฟ้าล้วนๆ ก็จะมีความน่าเชื่อถือ
100-30 = 70%

แต่พอเอาเครื่องยนต์มาผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป
และต้องทำงานได้พร้อมๆกันทั้งสองส่วน
ระบบจึงจะทำงานได้ ความน่าเชื่อถือของระบบจะเท่ากับ
80%x70% = 0.80x0.70 = 0.56 = 56%

ซึ่งน้อย 56% นี้น้อยลงกว่า
เครื่องยนต์ล้วนคือ 80 % และ ไฟฟ้าล้วน 70%


3.ช่างที่มีความชำนาญในการซ่อมบำรุงมีไม่มาก
หลายๆท่านคงพอทราบว่า พอเป็นรถ Hybrid
ที่มีช่วงเวลาที่เครื่องยนต์ดับสนิท
แต่อุปกรณ์ต่างๆยังต้องทำงาน
หลายอย่างเคยทำงานโดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์
ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นคอมแอร์
ปั๊มน้ำ ระบบเบรค ฯลฯ ซึ่งนอกจากอุปกรณ์พวกนี้
มีเทคนิคการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ยังต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษ
เช่ื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการซ่อมบำรุง
ตัวเลือกอู่จึงมีแคบกว่า


4.คิดภาษีตอนซื้อเหมือนว่าถูกว่ารถธรรมดา
 แต่ต่อทะเบียนไม่ได้ถูกลงด้วย
เช่น Camry 2.5HV ต่อภาษี 4 พันกว่าเกือบๆ 5 พัน
ไม่ได้ถูกลงตามการเป็นรถรักษ์โลก
W212 เครื่องดีเซลไม่ Hybrid
ต่อภาษีปีนึงถูกกว่าเป็นพัน
แต่ไม่รู้ใครปล่อยมลภาวะมากกว่า *_*


5.ราคาตก มากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา
และปล่อยออกยากกว่า


6.รำคาญรอยต่อระหว่าง เครื่องยนต์กับไฟฟ้า
แม้จะน้อยแต่ก็ยังรู้สึกได้
และมีแนวโน้มจะสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อรถ
วิ่งมากขึ้น รอยต่อนี้ไม่ได้เฉพาะการเร่งความเร็ว
แต่การเบรคจริงๆแล้วถ้าเป็นคนช่างสังเกต
ก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
พวกที่เล่นรถ D seg หรือรถตู้ครอบครัว
บางท่านจะชอบรถที่ให้บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ราบรื่น
ไม่ติดๆดับๆให้สะดุดอารมณ์


ึึ7.ความร้อนบริเวณที่แบตติดตั้งอยู่
เช่น Camry แบตอยู่ตรงเบาะหลัง
เร่งแซงหนักๆต่อเนื่องคนนั่งหลังจะร้อนแบบรู้สึกได้


8.แรงไม่ตลอด
ถ้าแบตลดต่ำลง กำลังที่มีให้นำไปใช้
ขับเคลื่อนล้อจะลดลงแบบพอรู้สึกได้
เพราะ กำลังเครื่องยนต์ ถูกหักลบต้องแบ่งไปชาร์ทไฟ
ไม่เหมือนตอนแบตเยอะ
กำลังเครื่องยนต์ + กำลังจากมอเตอร์มาเสริม

ตัวอย่างเช่นของ Camry 2.5 HV
ถ้าแบต 6 ขีดแล้วกดจาก 100-160 km
แล้วกดเบรคหนักๆกลับมาเหลือ 80-90
แล้วกดขึ้นไป 160 ใหม่ ไม่เกิน 2-3 รอบ
แบตจะลดอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
เพราะถ้ากดเบรคหนักๆไม่ได้ค่อยๆเลียเบรค
มันจะใช้เบรคปกติมาก แต่ gen ไฟได้น้อยจึงไงก็ชาร์จกลับไม่ทัน
 
กรณีนี้พวกที่แบตความจุมากๆแบบพวกเสียบปลั๊ก
น่าจะพบปัญหานี้ได้น้อยกว่ามาก

========================



ส่วนข้อดีจริงๆที่สัมผัสได้ของรถ Hybrid ในตอนนี้
คือการตอบสนองต่อการเหยียบคันเร่ง
ที่มันไม่งึกงักแบบรถมีเกียร์ และไม่ต้องกลัว
สายพานจะรูดจะพังไว เพราะไม่ได้ใช้สายพานแบบเกียร์ CVT
ประหยัดผ้าเบรคจานเบรคมาก


ในอนาคตข้างหน้าถ้าเป็นไฟฟ้าล้วน
ที่พัฒนาพิสัยเดินทาง และวิธีในการชาร์จไฟเข้าไป
ที่ดีขึ้น ไฟฟ้าล้วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า Hybrid มากครับ
ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องไร้รอยต่ออย่างแท้จริง
และกลไลระบบขับเคลื่อนผมเชื่อว่าน่าจะต่างไปจากเดิมมาก
ชิ้นส่วนน่าจะน้อยลง น้ำหนักน้อยลงซ่อมบำรุงง่ายขึ้น
ระบบควบคุมการทรงตัวน่าจะทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าสามารถให้ 1 ล้อมี 1 มอเตอร์ มันน่าจะ
กระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อได้โดยอิสระ
ทำให้ช่วยบังคับให้อยู่ในทิศทางตามที่ต้องการได้ดีขึ้น
เด็กรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่าเฟืองท้ายคืออะไรก็ได้  ;D
[/quote]

_/\_ ขอบคุณครับพี่   วิเคราะห์แยกแยะได้ละเอียดมากเลยครับ

ได้ความรู้และเปิดมุมมองใหม่ ๆ เยอะเลยครับพี่

ออฟไลน์ Sacrifice

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 582
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: กันยายน 04, 2017, 09:08:27 »
แสดงว่าพวกที่ซื้อ hybrid แล้ว ไม่ใช้อีกเลยคือพวก รวยไม่จริง  ซื้อไว้กะขายมือสองราคาดี

ทั้งที่ สมรรถนะ และปล่อยมลพิษน้อย ดีกว่าเครื่องยนต์ NA มากมาย แต่ราคาตอนนี้ยังไม่สามารถ
ลงมาขายเป็นรถสำหรับพนักงานธรรมดา หาเช้ากินค่ำทั่วไป

ออฟไลน์ citrinecw

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 249
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: กันยายน 04, 2017, 09:49:40 »
แสดงว่าพวกที่ซื้อ hybrid แล้ว ไม่ใช้อีกเลยคือพวก รวยไม่จริง  ซื้อไว้กะขายมือสองราคาดี

ทั้งที่ สมรรถนะ และปล่อยมลพิษน้อย ดีกว่าเครื่องยนต์ NA มากมาย แต่ราคาตอนนี้ยังไม่สามารถ
ลงมาขายเป็นรถสำหรับพนักงานธรรมดา หาเช้ากินค่ำทั่วไป

ก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับ 5555 ถ้าลองมาเจอแบบนี้

 - ซ่อมจุกจิกแบบออกจากศูนย์เดือนที่แล้ว เดือนนี้เข้าอีกรอบ
 - เวลาถอยเข้าจอดจะเจอโรคประสาทต้องปรับโหมดเป็น S ก่อนเพราะกลัวเครื่องดับขึ้น mal-function.
 - จังหวะเหยียบคันเร่งทุดครั้งต้องลุ้นว่ามอเตอร์ start เครื่องยนต์จะติดไหม
 - เปลี่ยนตัวควบคุมเกียร์ตอน 40000 โล หกหมื่นกว่าบาทไม่รวมค่าแรง

สมถนะหรือความรักโลกก็คงไม่ช่วยอะไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2017, 12:37:22 โดย citrinecw »

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 22,897
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: กันยายน 04, 2017, 11:00:46 »
ถ้าใช้ 6-7 ปี แล้วยี่ห้อ toyota ก็ไม่ต้องกังวลครับ ซื้อไปเถอะ

ออฟไลน์ h0661036

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 921
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 12:16:53 »
รถข้างบ้านเป็น camry  2011 hybrid   ผมก็เห็นขับอยู่ทุกวัน  ไม่งอแง ไม่รวน ขับวันละ 50 โลมาหลายปีละ  เจ้าของก็คงอยากเปลี่ยนรถเหมือนกัน แต่ทำใจราคาขายต่อไม่ได้ก็เลยใช้ต่อไป  ::)

  ข้อดี คือ แรง เครื่องเงียบ ลดมลภาวะโลก (คนไทยส่วนใหญ่คงไม่คิด)  ฟินตอน start เครื่องนี่แหละ ไม่รบกวนคนรอบข้าง เมื่อเทียบกับรถกระบะมังกรทองของพ่อผม มาแต่ละที startเครื่อง ยังกับก่อเตาอั่งโล่ ทั้งควันและเสียง
  ข้อเสีย คือ  cost ต่าง ๆ สูงกว่ารถปรกติ  ราคาขายต่อได้น้อยกว่ารถทั่วไป

ออฟไลน์ nin122

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 590
    • อีเมล์
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 12:45:51 »
บ้านผมมี Prius กับ C300

เจ้า Prius เป็นตัว MC ใช้มา 4 ปีกว่า ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ใช้ดีมากและแบตยังไม่เสื่อม   
ส่วน C300 มีปัญหาจุกจิก ไม่ตัดเค้าแบตบ้าง เครื่องกระตุกบ้าง (อันนี้อาจจะมาจากเกียร์)  และปัญหาบ้าบอคอแดกเยอะมาก

ถ้าใช้ Toyota / Lexus ผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ จะเสียก็แค่ ราคาขายต่อแค่นั้น ซึ่งถ้าเป้นคนใช้รถนานผมว่าไม่เจ็บมาก


ออฟไลน์ punn

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,585
  • may the force lead your way ...
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 13:14:13 »
บริบทรถ Hybrid ในตลาดเมืองไทยกับตลาดโลกมันต่างกันครับ 
ขนาดบ้านเราเองจะว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สำหรับมุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าพี่เอาเม็ดเงินเป็นตัวตั้ง สำหรับบริบทของบ้านเรายังไงก็ไม่มีวันคุ้ม
จุดเริ่มต้นที่ราคาซื้อก็แพงกว่า 
ระหว่างทางการใช้งานมีแนวโน้มที่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจากอุปกรณ์ด้านไฟฟ้าที่มีมากกว่ารถน้ำมัน
จุดปลายทางราคาขายต่อกลับแย่

ส่วนต่างราคาและค่าใช้จ่ายจะถูกชดเชยด้วยค่าน้ำมันที่ประหยัดได้ 
แต่ในภาวะราคาน้ำมันแบบนี้  ไม่มีทางที่มันจะชดเชยได้เลยครับ

แต่ถ้าเราให้ค่าความพึงพอใจ กับอัตราเร่ง  ความภูมิใจกับการรักษ์โลก CO2 ต่ำ ผลาญจำนวนลิตรน้ำมันน้อยกว่า
เครื่องดับสนิทเวลาจอดติดไฟแดง 
ความสุขใจอันนั้นตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้     แต่ในทางกลับกันถ้าทุก ๆ กม.ที่ใช้งานก็คอยแต่จะกังวลกับค่าซ่อมและ
ราคาขายต่อ   แม้ว่ารถคันนั้นจะใช้ดียังไง ไม่เกเรยังไง แต่ใจยังคอยพะวงและเหลือบมองเลขไมล์ตลอด
ว่าวิ่งไปกี่หมื่นกม.แล้ว กี่แสนกม.แล้ว  กลัวมันจะเสีย กลัวจะซ่อมแพง ขายตอนนี้ราคายังตกน้อย รีบ ๆ ขายไปเถอะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าไปซื้อมันเลยตั้งแต่ต้นครับ

ปล. 1  ระบบ Hybrid Toyota ก็ยังเป็นแนวคิดเดิมตั้งแต่ Prius gen 1 ปี 1997
         ดังนั้น มันไม่มีหรอกครับว่า Alphard รุ่นนั้น Camry รุ่นนี้ Estima  รุ่นโน้น เป็นรุ่นลองยา
         ยังไงมันก็คือยาขนานเดียวกัน ถ้าแพ้ยาตัวนี้ก็บอกหมอเปลี่ยนยาดีกว่าครับ

ปล. 2 ถ้าเราเขียน Chart ระหว่างรถน้ำมัน รถ Hybrid และรถไฟฟ้า EV

         รถน้ำมัน <-------------------- Hybrid --------------------> EV
   
         รถ Hybrid จะอยู่ตรงกลางระหว่า รถน้ำมันแบบดั้งเดิม และรถ pure EV ที่จะมาในอนาคต

         ทุกวันนี้ที่เราไม่อยากใช้รถ Hybrid เพราะเราไม่ไว้ใจ 50% ที่เป็นไฟฟ้า แต่ไม่ได้มีปัญหากับ 50% ที่เป็นน้ำมันเพราะเราคุ้นเคยดี
         ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนที่ไม่อยากใช้รถ Hybrid จะไปอยากใช้รถ EV ได้ยังไง เพราะมันคือการเอาส่วนที่เราไม่ใว้ใจ ส่วนที่เรากลัว
         ว่ามันจะไม่ทน กลัวว่ามันจะเสีย กลัวว่ามันจะซ่อมแพง และกลัวว่าจะทำให้ราคาตก ในรถ Hybrid มา 100% เต็ม ๆ

รถ Hybrid  ถ้าเป็นรถยุโรปที่ได้ยินมาว่า
ไม่ค่อยจะประทับใจ
คือจุกจิกและซ่อมไม่จบเบ็ดเสร็จในคราวเดียว
และบางส่วนมาจากความจุกจิกส่วนอื่นๆที่
อาจจะไม่เกี่ยวกับระบบไฮบริดโดยตรงด้วย


ถ้าเป็น Toyota ซึ่งทำตลาด Hybrid มานานกว่า
หลายๆท่านที่เคยใช้ใน Estima/Alphard
คงพบว่าถ้าซ่อมอู่ดีๆ และยอมจ่ายในจุดที่จำเป็นมันก็ซ่อมจบใช้ต่อกันยาวๆ

เพียงแต่ค่าน้ำมันที่ถูกลง ชดเชยกับค่าแบตลูกเล็กลูกใหญ่
และค่าบำรุงรักษาอื่นๆแล้ว
ยังไงค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ก็มักจะไม่ได้ถูกไปกว่า
รถใช้ในมันล้วนๆในพิกัดความจุเท่ากัน

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าได้รถที่ออปชั่นเต็มกว่า
แรงกว่า อัตราเร่งดีกว่า การตอบสนองที่ดีกว่า


---------------------------------------------

เรื่องความเชื่อมั่นของระบบในระยะยาว
ในมุมของผมนั้นมองรถที่ถูกจำแนกในกลุ่ม Hybrid
แตกต่างกันไปตามกลไกการทำงาน
และเงื่อนไขการรับประกันอุปกรณ์ด้วย

----------------------------------------------

เช่นถ้าเป็น Estima ก็ต้องทำใจและทำเงินเตรียมไว้
เป็นก้อนสำหรับการเปลี่ยนแบตเมื่อถึงอายุของมัน
และอุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า+เครื่องยนต์อื่นๆ
ที่พอเสียหลังหมดประกันสั้นๆของเกรย์
เราจะต้องควักจ่ายเอง ซึ่งไม่ได้มีแค่แบต
มีทั้งคอมแอร์ไฟฟ้า ปั๊มเบรค ปั๊มน้ำ ชุดควบคุมการจ่ายไฟ
หรือสิ่งอื่นๆที่จะตามมา

แต่ถ้าเป็น Camry 2.5 HV รถศูนย์ของโตโยต้า
ซึ่งมีการรับประกันอุปกรณ์ที่ยาวกว่า และประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
มันก็จะลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมได้
ทำให้มีแนวโน้มมากขึ้นที่ใน 150,000 kmจะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตร
ที่ต่ำลงจนอาจจะถูกกว่าเครื่อง 2.0 หรือ 2.5 ได้ในการขับขี่บางเงื่อนไข

ที่ต้องบอกว่าบางเงื่อนไขเพราะรถ Hybrid ไม่ได้ประหยัดกว่า
เครื่องยนต์ธรรมดามากๆ ครอบคลุมในทุกๆเงื่อนไข
เงื่อนไขที่ รถ Hybrid ที่มีกลไกแบบ Camry

-จะประหยัดได้มากกว่าเห็นได้ชัด
จะเป็นในช่วงที่เราขับมีเร่งมีผ่อน
ตามการเคลื่อนตัวไปตามๆกันของรถ
ในย่านความเร็ว 50-100 km/h
มีการเอาพลังงานจากการลดความเร็วมาปั่นไฟกลับ
และไม่ได้มีไฟแดงที่ติดนานเป็นสิบนาที
คือขับชานเมืองทั่วไป เงื่อนไขนี้
มันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

-แต่ถ้าวิ่งทางไกลความเร็วค่อนข้างคงที่ 100-120 km/h ตลอด
ด้วยกลไกการทำงานแบบ Camry
ต่อให้โดยหลักการของมันแล้ว
เครื่องมีพฤติกรรมเป็นอิสระจากล้อมากกว่า
รถธรรมดาที่มีเกียร์ล็อคอัตราทดเป็นขั้นๆ หรือแม้กระทั่ง CVT

คือมันมีความคล้ายกับเกียร์ CVT
ในแง่อัตราทดในมุมของ รอบเครื่องยนต์ vs ความเร็วล้อ
ที่มีจำนวนอัตราทดได้หลากหลายมากๆ
และมีอิสระในการจัดให้เครื่องทำงานในย่านที่มี BSFC ดีๆ
แล้วใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาสร้าง torque offset
คือเสริมเข้ามาก็ได้ หรือเอากำลังส่วนเกินไปปั่นเก็บในแบตไว้ก่อน
แต่ในทางปฏิบัติแนวโน้มของรถรุ่นใหม่
บางรุ่นเครื่องยนต์เล็ก+ระบบอัดอากาศ+เกียร์ที่เหมาะสม
แม้จะไม่ Hybrid ก็สามารถสร้างอัตราเร่งได้ไม่ต่างกันมาก
รวมถึงความประหยัดที่ทำได้ไม่หนีกันมาก
แต่มีความซับซ้อนของระบบที่น้อยกว่า

-ส่วนถ้าติดมากๆนานๆ รถ Hybrid ส่วนใหญ่
แบตที่เคยสะสมไว้ก็จะหมดลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อน
ต้องดึงพลังงานมาใช้ในระบบปรับอากาศมากแบตยิ่งหมดเร็ว

จากการใช้งานจริงของ Hybrid ของโตโยต้า
พบว่าที่ความเร็วๆต่ำๆคลานๆสลับหยุดนิ่งสั้นๆ
หรือต้องมีการติดไฟแดงยาวๆ แบบในกทม.
มันจะเป็นช่วงเวลาไม่ใช่จุดเก่งของรถ

เพราะตอนที่คลานช้าๆ จะไม่สามารถ
เอาพลังงานจากการเบรค มาปั่นไฟได้
แต่กลับต้องดึงแบตสร้างแรงขับเคลื่อน
และต้องจ่ายไฟให้ระบบเบรคอีกด้วย

เครื่องยนต์ก็จะเร่งๆผ่อนๆในช่วงที่
เบรค สลับปล่อยเบรคคลานช้าๆ
ซึ่งปั่นไฟกลับได้ช้ากว่าการจอดหยุดนิ่งให้ปั่นไปอย่างเดียว
หรือวิ่งลอยตัวออกไปแล้วแบ่งพลังงานขับเคลื่อนมาปั่นไฟ
ทำให้ต้องฟังเสียงเครื่องเร่งอยู่นานกว่าแบตจะมากพอ
และเครื่องยนต์จึงจะดับลงและกลับมาใช้ไฟฟ้าล้วนอีกครั้ง

และด้วยกลไขแบบของ Camry หรือ Estima
ถ้าจอดติดไฟแดงนานๆจนแบตหมด
เครื่องจะต้องติดขึ้นมาปั่นไฟ
ในรอบเครื่องที่หมุนเร็วกว่ารอบเดินเบาของรถทั่วไป
มีเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่มากกว่า
 
และมันไม่สามารถชาร์จได้ในเกียร์ N
จำเป็นต้องเหยียบเบรคเข้าเกียร์ D หรือเข้าเกียร์ P ไปเลย
และไม่ใช้คันเกียร์ไฟฟ้าแบบ Prius ที่มีปุ่มกดเข้าเกียร์ P
ได้ทันที่ ไม่ต้องลากผ่าน R ก่อน

ทำให้ในมุมมองของผมแล้ว มันยังไม่ตอบโจทย์
การใช้งานในเมืองที่รถติดหนักมากๆ
หากคาดหวังว่ารถ Hybrid เหมาะกับรถติดๆ
ตรงนี้ความประหยัดที่ได้เพิ่มขึ้นมากับความ
ราบรื่นที่เสียไปในหลายๆท่านก็อาจจะมองว่าไม่คุ้ม

ส่วนตัวผมไม่มีปัญหาในจุดนี้เพราะใช้วิ่งระหว่างจังหวัด
หรือวิ่งตามชานเมืองเป็นหลัก
ซึ่งค่อนข้างตรงกับเงื่อนไขการทำงาน
ทำมันทำงานได้ดีอยู่แล้ว

------------------------------------------------

ในหลายๆส่วนด้วยกลไกแบบ
Accord Hybrid ข้อจำกัดในบางมุม
อาจจะตอบโจทย์ได้มากกว่า ซับซ้อนน้อยกว่า
และมีความกระเดียดไปทาง
รถไฟฟ้า plugin หรือไฟฟ้าล้วนมากกว่า  Camry HV

ด้วยสัดส่วนกำลังระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ที่มอเตอร์มีกำลังมากพอจะขับเคลื่อน
รถโดยลำพังได้ในช่วงกว้างกว่า
ถ้ามีเทคโนโลยีแบตความจุมากๆ และมีขนาดเล็กลง
มันมีแนวโน้มที่จะดัดแปลง ต่อไปเป็นรถไฟฟ้าเสียบปลั๊กได้ง่ายกว่า

สำหรับรถที่เป็น plugin
ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเครื่องยนต์ชำรุด
เสียบปลั๊กให้ไฟเต็มน่า มันจะพาเราเอาตัวรถ
ไปไปยังศูนย์ที่ใกล้สุดได้ ถ้าอยู่ในกทม.

ส่วนกลไกในแบบ Camry นั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้
ที่่จะใช้เครื่องยนต์ เพียงอย่างเดียว
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน
ให้ครอบคลุมการถอยหลัง เดินหน้า
ไล่ไปจนถึงความเร็วในการเดินทางไกลต่อเนื่อง

และก็ไม่เหมือนรถที่มีสัดส่วนกำลังของมอเตอร์น้อยๆ
เมื่อเพียงกับเครื่องอย่าง Jazz Hybrid ตัวเก่า
หรือ E300 hybrid ที่ยังอาศัยพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์เป็นตัวหลัก


*********************************


ผมเข้าใจว่าหลายๆคนเลือกที่จะไว้วางใจรถ
ที่เครื่องเครื่องยนต์ล้วน หรือไฟฟ้าล้วน
มากกว่ารถลูกผสมแบบ Hybrid เพราะว่า

1.เทคโนโลยีที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
พัฒนามายังไม่อยู่ต้ว และอาจะไม่ได้อยู่นาน
ไม่เหมือนเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือไฟฟ้าล้วนๆ ที่มีการพัฒนา
และลองผิดลองถูกมาเป็นเวลานานแล้ว
แต่การใช้เครื่องยนต์ผสมมอเตอร์ไฟฟ้ายัง
เพิ่งมีการใช้งานมา สั้นกว่า
เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ล้วนๆ
หรือมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน

และการผสมกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า
ECU จำเป็นต้องมีการตัดสินใจที่มากและเชื่อมโยง
กับระบบต่างๆเป็นโยงใย อุปกรณ์บางตัว
แม้ชำรุดตัวเดียวก็อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง

ถ้าเป็นไฟฟ้าล้วนกลไกชิ้นส่วน
และเงื่อนไขความซับซ้อนในการทำงาน
น้อยกว่าการเป็น Hybrid ที่ต้องผสมกันสองอย่างมากๆ
ที่ส่วนประมวลผลจะต้องอ่านค่า input ต่างๆรวมกันมากขึ้น
และจะต้องสั่งการให้เครื่องทำอะไร และมอเตอร์ทำอะไร
มากน้อยเท่าไหร่ และให้ทั้งสองส่วนสอดประสานกัน

เคยเห็นวารสารในเนตผ่านๆตา
เค้าเอา matrix ที่ใช้ในการคำนวณ
ส่วนหนึ่งมาให้ดู (ซึ่งดูแล้วไม่เข้าใจ) แต่ขนาดของ
matrix ก็ใหญ่อยู่ บ่งบอกถึงความซับซ้อนในตอน
ที่ต้องทำงานผสมกัน


2.เพื่อนผมบางคนคิดขำๆแบบนี้นะครับ

สมมุติว่าถ้า
- เครื่องยนต์ล้วนๆมีโอกาสเสีย 20%
- ไฟฟ้าล้วนๆมีโอกาสเสีย 30%

อันนี้แสดงว่าเครื่องยนต์ล้วนๆก็มีความน่าเชื่อถือ
100-20 = 80%

และไฟฟ้าล้วนๆ ก็จะมีความน่าเชื่อถือ
100-30 = 70%

แต่พอเอาเครื่องยนต์มาผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป
และต้องทำงานได้พร้อมๆกันทั้งสองส่วน
ระบบจึงจะทำงานได้ ความน่าเชื่อถือของระบบจะเท่ากับ
80%x70% = 0.80x0.70 = 0.56 = 56%

ซึ่งน้อย 56% นี้น้อยลงกว่า
เครื่องยนต์ล้วนคือ 80 % และ ไฟฟ้าล้วน 70%


3.ช่างที่มีความชำนาญในการซ่อมบำรุงมีไม่มาก
หลายๆท่านคงพอทราบว่า พอเป็นรถ Hybrid
ที่มีช่วงเวลาที่เครื่องยนต์ดับสนิท
แต่อุปกรณ์ต่างๆยังต้องทำงาน
หลายอย่างเคยทำงานโดยอาศัยกำลังจากเครื่องยนต์
ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าไม่ว่าจะเป็นคอมแอร์
ปั๊มน้ำ ระบบเบรค ฯลฯ ซึ่งนอกจากอุปกรณ์พวกนี้
มีเทคนิคการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม
นอกจากนี้ยังต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษ
เช่ื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการซ่อมบำรุง
ตัวเลือกอู่จึงมีแคบกว่า


4.คิดภาษีตอนซื้อเหมือนว่าถูกว่ารถธรรมดา
 แต่ต่อทะเบียนไม่ได้ถูกลงด้วย
เช่น Camry 2.5HV ต่อภาษี 4 พันกว่าเกือบๆ 5 พัน
ไม่ได้ถูกลงตามการเป็นรถรักษ์โลก
W212 เครื่องดีเซลไม่ Hybrid
ต่อภาษีปีนึงถูกกว่าเป็นพัน
แต่ไม่รู้ใครปล่อยมลภาวะมากกว่า *_*


5.ราคาตก มากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา
และปล่อยออกยากกว่า


6.รำคาญรอยต่อระหว่าง เครื่องยนต์กับไฟฟ้า
แม้จะน้อยแต่ก็ยังรู้สึกได้
และมีแนวโน้มจะสัมผัสได้มากขึ้นเรื่อยๆเมื่อรถ
วิ่งมากขึ้น รอยต่อนี้ไม่ได้เฉพาะการเร่งความเร็ว
แต่การเบรคจริงๆแล้วถ้าเป็นคนช่างสังเกต
ก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
พวกที่เล่นรถ D seg หรือรถตู้ครอบครัว
บางท่านจะชอบรถที่ให้บุคลิกเป็นผู้ใหญ่ราบรื่น
ไม่ติดๆดับๆให้สะดุดอารมณ์


ึึ7.ความร้อนบริเวณที่แบตติดตั้งอยู่
เช่น Camry แบตอยู่ตรงเบาะหลัง
เร่งแซงหนักๆต่อเนื่องคนนั่งหลังจะร้อนแบบรู้สึกได้


8.แรงไม่ตลอด
ถ้าแบตลดต่ำลง กำลังที่มีให้นำไปใช้
ขับเคลื่อนล้อจะลดลงแบบพอรู้สึกได้
เพราะ กำลังเครื่องยนต์ ถูกหักลบต้องแบ่งไปชาร์ทไฟ
ไม่เหมือนตอนแบตเยอะ
กำลังเครื่องยนต์ + กำลังจากมอเตอร์มาเสริม

ตัวอย่างเช่นของ Camry 2.5 HV
ถ้าแบต 6 ขีดแล้วกดจาก 100-160 km
แล้วกดเบรคหนักๆกลับมาเหลือ 80-90
แล้วกดขึ้นไป 160 ใหม่ ไม่เกิน 2-3 รอบ
แบตจะลดอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
เพราะถ้ากดเบรคหนักๆไม่ได้ค่อยๆเลียเบรค
มันจะใช้เบรคปกติมาก แต่ gen ไฟได้น้อยจึงไงก็ชาร์จกลับไม่ทัน
 
กรณีนี้พวกที่แบตความจุมากๆแบบพวกเสียบปลั๊ก
น่าจะพบปัญหานี้ได้น้อยกว่ามาก

========================



ส่วนข้อดีจริงๆที่สัมผัสได้ของรถ Hybrid ในตอนนี้
คือการตอบสนองต่อการเหยียบคันเร่ง
ที่มันไม่งึกงักแบบรถมีเกียร์ และไม่ต้องกลัว
สายพานจะรูดจะพังไว เพราะไม่ได้ใช้สายพานแบบเกียร์ CVT
ประหยัดผ้าเบรคจานเบรคมาก


ในอนาคตข้างหน้าถ้าเป็นไฟฟ้าล้วน
ที่พัฒนาพิสัยเดินทาง และวิธีในการชาร์จไฟเข้าไป
ที่ดีขึ้น ไฟฟ้าล้วนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า Hybrid มากครับ
ให้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องไร้รอยต่ออย่างแท้จริง
และกลไลระบบขับเคลื่อนผมเชื่อว่าน่าจะต่างไปจากเดิมมาก
ชิ้นส่วนน่าจะน้อยลง น้ำหนักน้อยลงซ่อมบำรุงง่ายขึ้น
ระบบควบคุมการทรงตัวน่าจะทำงานได้ดีขึ้น
ถ้าสามารถให้ 1 ล้อมี 1 มอเตอร์ มันน่าจะ
กระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อได้โดยอิสระ
ทำให้ช่วยบังคับให้อยู่ในทิศทางตามที่ต้องการได้ดีขึ้น
เด็กรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่าเฟืองท้ายคืออะไรก็ได้  ;D

เป๊ะเลยครับ สุดยอดมาก ตามที่ผมรู้สึกเลย แต่ผมอธิบายไม่เก่งแบบนี้  ;D
เป็นคนโลกปกติธรรมดา :)
ไม่โลกสวย และไม่โลกมืด อยู่กับความเป็นจริงและพลังงานบวก ..

ปราชญ์สอนสิ่งไหน คนก็จะจำสิ่งนั้น
ประสบการณ์เจอแบบไหน คนก็จะคิดทางนั้น
ต่างคนต่างประสบการณ์เรียนรู้สิ่งเดียวกัน ก็จะออกมาแตกต่างกันไปครับ

ออฟไลน์ Activehybrid

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,433
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: กันยายน 05, 2017, 13:32:28 »
ซื้อเพราะเงื่อนไขเดียวครับ ความแรง เมื่อเทียบกับรถที่ม้าเยอะๆไม่มีปัญญาจ่ายค่าภาษี

ออฟไลน์ MC Stradale

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,490
Re: ขอเปิดประเด็นคำถามเรื่องรถ HYBRID
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: กันยายน 06, 2017, 21:42:27 »
แล้วแต่โชคแต่ดวงครับ เจอคันไม่ดีก็ไม่ดีอยู่อย่างนั้นละ เจอคันดีก็รักเลย มันเป็นอย่างงี้กันทั่วโลก