ผู้เขียน หัวข้อ: Zero Requiem--สัมผัสพิเศษที่ช่วยให้นักแข่งรถคาดการณ์ล่วงหน้าได้  (อ่าน 16527 ครั้ง)

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
สอบถามผู้รู้ทุกท่านครับ

ผมดูการ์ตูนเรื่อง Cyber Formular ทุกภาค

ภาค 3 ภาค Zero จะพูดถึงมิตินึงที่นักขับรถบางคนจะเข้าไปถึง

มิติศูนย์หรืออาณาจักรของศูนย์--ตามความเข้าใจของผม

คือ การที่นักแข่งรถสามารถมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
ในอีก 2 - 3 วินาทีข้างหน้า ทำให้นักแข่งรถเตรียมพร้อมที่จะรับมือเหตุการณ์นั้นๆ ได้


ผมพึ่งเจอคำแปลไทยของอาณาจักรศูนย์ ที่ได้ใจความดี

Zero Requiem--สัมผัสพิเศษที่ช่วยให้นักแข่งรถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

ผมทำได้อย่างมากก็แค่คาดเดาว่ารถรอบข้างเราจะตัดหน้า, เลี้ยวออกจากซอยไหม เท่านั้นเองครับ

จึงอยากถามผู้รู้ทุกท่านว่า Zero Requiem--สัมผัสพิเศษที่ช่วยให้นักแข่งรถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
สิ่งนี้มีอยู่จริง หรือเป็นแค่จินตนาการครับ


ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าที่ช่วยตอบครับ
My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ Buffy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,504
    • อีเมล์
ไอ้ที่กล่าวมา ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องนึง Premium Rush (2012)

พระเอกขับจักรยานส่งของ เวลาขับในเมืองที่อันตราย เค้าใช้ความสามารถในการคาดเดาเส้นทางล่วงหน้าว่า ควรจะไปทางไหนให้เร็วที่สุด ปลอดภัยสุด โดยมีทางเลือกต่างๆในหัว 

ผมว่าน่าจะคล้าย Zero Requiem อะไรนั้น

ถามว่ามีจริงหรือๆไม่  ผมคงตอบว่า มีจริงน่ะ  มันไม่ใช่สัญขาติญาน แต่เหมือนประสบการณ์ที่เคยผ่านมา และถูกฝึกเป็นพันพันครั้ง

เหมือนคุณขับรถกลับจาก office ไปบ้าน เส้นทางเดิมทุกวันเป็นเวลาสิบปี  คุณจะคาดเดาทุกอย่างได้เลยว่า อะไรน่าจะเกิดขึ้น .... รถจะออกจากซอย  คันหน้าจะเบรคเมื่อผ่านแยกนี้  คันขวาจะกินเลนคุณ เมื่อจะตรงนี้ อะไรประมาณนั้น

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,949
    • อีเมล์
ไอ้ที่กล่าวมา ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องนึง Premium Rush (2012)

พระเอกขับจักรยานส่งของ เวลาขับในเมืองที่อันตราย เค้าใช้ความสามารถในการคาดเดาเส้นทางล่วงหน้าว่า ควรจะไปทางไหนให้เร็วที่สุด ปลอดภัยสุด โดยมีทางเลือกต่างๆในหัว 

ผมว่าน่าจะคล้าย Zero Requiem อะไรนั้น

ถามว่ามีจริงหรือๆไม่  ผมคงตอบว่า มีจริงน่ะ  มันไม่ใช่สัญขาติญาน แต่เหมือนประสบการณ์ที่เคยผ่านมา และถูกฝึกเป็นพันพันครั้ง

เหมือนคุณขับรถกลับจาก office ไปบ้าน เส้นทางเดิมทุกวันเป็นเวลาสิบปี  คุณจะคาดเดาทุกอย่างได้เลยว่า อะไรน่าจะเกิดขึ้น .... รถจะออกจากซอย  คันหน้าจะเบรคเมื่อผ่านแยกนี้  คันขวาจะกินเลนคุณ เมื่อจะตรงนี้ อะไรประมาณนั้น

       คงคล้ายๆกับนักฟุตบอลที่มีประสบการณ์และความสามารถสูงๆ  เขาจะสามารถเดาทางบอลหรือเกมส์การต่อสู้ของคู่แข่งได้  ดักทางบอลคู่แข่งได้  อะไรพวกนั้นหรือเปล่า 

ออฟไลน์ AgentMolder

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,420
มันคือประสบการณ์จากการซ้อมหลายๆๆๆๆครั้ง จนสามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า เห็นลักษณะรถคันหน้า หรือมองกระจกแว่บนึง ก็พอจะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ไม่ได้หมายถึง Dimension แบบ Speed Force เหมือน The Flash แบบนั้น นั่นมันการ์ตูน

เหมือนขับรถมานานๆๆๆ ตาจะมองแทบจะ 360 องศา เห็นไกลๆเป็นกิโล แต่คนเพ่ิงขับรถใหม่ แค่จะเลี้ยวออกจากซอย ยังไม่พ้น

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
sixth sense เกิดขึ้นได้ ยิ่งคนที่ฝึกจิต นั่งสมาธิย่อมรู้ดี การขับรถ(ยิ่งรถแข่งความเร็วสูง) คนขับต้องมีสติตลอด บางคนเหมือนเข้าถึงสมาธิขั้นต้นได้เลย(อย่างพีท ทองเจือ)
ผมเคยฝึกสมาธิอยู่ช่วงนึง (ยังไม่ถึงไหนนะแค่มีขณิกสมาธิหรือฌาณขั้น 1) มีวันนึงกำลังปิดรั้วบ้านก็ได้ยินเสียงคนเรียก มองไปก็ไม่เห็นใคร ประมาณ 5 วินาทีคนนั้นก็โทรมาหาเพราะมีเรื่องให้ช่วย เลยไม่แปลกใจถ้าคนที่ฝึกสมาธิแล้วจะรู้เรื่องอนาคตได้
ปล. แต่ไม่รู้ใช่อันเดียวกับที่จขกท.ถามมั้ยนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 09, 2019, 19:37:11 โดย Jacob »

ออฟไลน์ SP

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,744
น่าจะเป็นทักษะการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้ารึเปล่าครับ ไม่ถึงกับเห็นอนาคตแต่เป็นทักษะที่คาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ว่าควรจะเป็นแบบนี้ แบบนั้น

ควรจะทำยังไง รับมือแบบไหน ซึ่งแบบนี้มีคลาสสอนครับ ผมก็ได้เรียนมาเหมือนกัน

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ

เท่าที่อ่านความเห็นจากทุกท่าน

การคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าของนักแข่งรถ = น่าจะเกิดจากการซ้อม+ฝึกฝน นับครั้งไม่ถ้วน = กลายเป็นฝีมือ+ประสบการณ์

หรือ ถ้าระหว่างการขับรถมีสมาธิแน่วแน่มาก = อาจจะได้ขณิกสมาธิ-สมาธิแบบชั่วขณะ หรือ อาจจะได้ปฐมฌาณ


แต่คงไม่สามารถเห็นอีกมิตินึงได้แบบในการ์ตูน



---คุณ Jacob ครับ คุณพีท ทองเจือ = บรรลุสมาธิขั้นต้นหรือครับ??
 

---คุณ SP ครับ คลาสเรียนขับรถที่ว่า คือ Potenza Driving ของ BridgeStone หรือ ของสื่อสากลที่จัดสอนหรือเปล่าครับ??

ผมสนใจที่จะฝึกการขับรถแบบนี้ครับ แต่เวลา+โอกาส+ปัจจัย ยังไม่อำนวยครับ
My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ SP

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,744
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบครับ

เท่าที่อ่านความเห็นจากทุกท่าน

การคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าของนักแข่งรถ = น่าจะเกิดจากการซ้อม+ฝึกฝน นับครั้งไม่ถ้วน = กลายเป็นฝีมือ+ประสบการณ์

หรือ ถ้าระหว่างการขับรถมีสมาธิแน่วแน่มาก = อาจจะได้ขณิกสมาธิ-สมาธิแบบชั่วขณะ หรือ อาจจะได้ปฐมฌาณ


แต่คงไม่สามารถเห็นอีกมิตินึงได้แบบในการ์ตูน



---คุณ Jacob ครับ คุณพีท ทองเจือ = บรรลุสมาธิขั้นต้นหรือครับ??
 

---คุณ SP ครับ คลาสเรียนขับรถที่ว่า คือ Potenza Driving ของ BridgeStone หรือ ของสื่อสากลที่จัดสอนหรือเปล่าครับ??

ผมสนใจที่จะฝึกการขับรถแบบนี้ครับ แต่เวลา+โอกาส+ปัจจัย ยังไม่อำนวยครับ

เป็นหลักการที่เรียกว่า KYT (Kiken Yoshi Training) หรือการหยั่งรู้ระวังอันตรายครับ จริงๆเป็นหลักในการทำงานให้ปลอดภัยมากกว่า

แต่ถูกปรับให้มาอยู่ในรูปแบบการขับขี่ครับ ผมเรียนกับ Honda safety riding ครับ

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
---คุณ Jacob ครับ คุณพีท ทองเจือ = บรรลุสมาธิขั้นต้นหรือครับ??
เท่าที่ฟังเค้าสัมภาษณ์ผมตีความเองว่าเป็นลักษณะปฐมฌาณ
การเข้าถึงสมาธิขั้นต้นไม่จำเป็นว่าต้องนั่งสมาธิอย่างเดียว บางคนเดินจงกรม บางคนยืน หรือบางคนนั่งโดยสารเฉยๆก็เกิดได้ แต่ไม่ได้เกิดทุกครั้ง อย่างผมฝึกหลายปีแต่เข้าปฐมฌาณได้แค่ไม่กี่ครั้งเอง
สรุป การฝึกสติอย่างต่อเนื่องไม่ว่าอยู่ในบริบทไหนมันมีโอกาสจะเข้าถึงสมาธิขั้นต้นได้
ปล.ในการ์ตูนคงเป็นแค่ความชำนาญเลยคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้ ยิ่งเก่งก็ยิ่งทายแม่น มากกว่าจะเป็นอนาคตังสญาณ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2019, 07:40:38 โดย Jacob »

ออฟไลน์ Gordon Freeman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,200
ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่านะครับ พวกนักกีฬาหรือนักแข่งรถจะเรียกว่า ภาวะการอยู่ใน Zone ซึ่งการตอบสนองของร่างกายจะไวกว่าปกติมาก ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนซ้ำๆ จนชำนาญและเป็นเวลานานครับ
2011 Kawasaki Ninja 650 (Sold)
2012 Ford Fiesta 1.6 Sport Ultimate (Sold)
2013 Suzuki Swift Eco GLX 1.25 (Sold)
2015 Honda Civic 1.8 (Sold)
2017 Toyota Fortuner 2.4 (Sold)
2019 Honda Jazz S MT (Sold)
2020 Nissan Almera VL 1.0T
2022 Isuzu D-Max Cab 4 1.9 AT
2023 Neta V

ออฟไลน์ Jacob

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,803
ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่านะครับ พวกนักกีฬาหรือนักแข่งรถจะเรียกว่า ภาวะการอยู่ใน Zone ซึ่งการตอบสนองของร่างกายจะไวกว่าปกติมาก ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนซ้ำๆ จนชำนาญและเป็นเวลานานครับ
พวกนี้นอกจากความชำนาญเค้าจะต้องมีสติด้วย พวกนักกีฬา นักดนตรี จึงมักทำสมาธิก่อนเล่น ซึ่งก็คือการฝึกสติให้จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่กังวล ไม่ประหม่า พอจิตใจไม่วอกแวกก็จะทำสิ่งนั้นๆได้ดี (แล้วถ้าสติตั้งมั่นจนเกิดเป็นสมาธิ บางคนจะรู้สึกเหมือนอยู่ในภวังค์ คือเหมือนร่างกายมันทำงานของมันได้เองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอสมองประมวลผลแล้วสั่งการ จึงมีการตอบสนองได้ไวขึ้น)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2019, 10:44:16 โดย Jacob »

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,591
    • อีเมล์
เรื่องการคาดการณ์อนาคตขณะแข่ง นี่น่าจะเกิดจากหลายปัจจัยครับ แต่ผมเชื่อว่านักแข่งที่มีประสบการณ์ จะสามารถคาดการณ์ได้และเอามาใช้เป็นข้อได้เปรียบในการแซงได้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า การแข่งรถถ้าจะให้เร็ว คือต้องขับแบบสุดลิมิต คือรีดประสิทธิภาพรถออกมาให้ได้มากสุด เช่น
-เบรค ก็ต้องเบรคจนabsเกือบทำงาน หรือเกือบล้อล็อคไปเลย
-เร่ง อันนี้ก็ชนred line ทุกเกียร์หรือ จุดsweet spotที่รถไปได้เร็วสุด
-เลี้ยว อันนี้ยาก เพราะบางครั้งต้องเลี้ยวไปด้วย เร่งไปด้วยเลี้ยวไปด้วย
ทั้งสามอย่างนี้ นักแข่งต้องมีsenseของ แรงจี ตามvectorของแรงว่า แรงจีขนาดนี้ คือจุดที่รถมันไปได้สุด เช่นเบรคได้ 1จี เลี้ยวได้1จี เวลาออกโค้ง vector รวมต้องได้1จี ตามกฎ traction circle อันนี้นักแข่งต้องมีsense และผ่านการฝึกฝนมาพอสมควร ถึงสร้างsenseตรงนี้ได้

ทีนี้ เมื่อขับรถ แบบ สุดลิมิตแบบนี้มันมีข้อดีที่เร็ว แต่ข้อเสียคือ เมื่อคุณขับแบบนี้ มันจะควบคุมอะไรแทบไม่ได้เลย เช่น
-ถ้าเบรคทางตรงจนสุด รถมันจะเลี้ยวไม่ได้ จนกว่าจะถอนเบรค(ในกรณีที่ไม่มีabs)
-เข้าโค้ง ถ้าขับจนสุดลิมิตจริง มันจะมีover steer/under steer อ่อนๆไปเกือบตลอดโค้ง ซึ่งถึงจุดนั้น มันต้องปล่อยรถไปตามแรงเฉื่อยจากจุด apexไปจุดexit หรือ บางครั้ง ต้องเลี้ยวด้วยการเติมคันเร่ง หรือถอนคันเร่ง จะมาหักเลี้ยวตอนโค้งเหมือนบนถนนไม่ได้แน่นอน
 ทั้งหมดนี้ มันก็จะพอคาดการณ์อนาคตได้บ้างแล้วครับว่า ถ้าเบรคเลยจุดนี้ ลงหญ้า เลี้ยวด้วยความเร็วสูง ขนาดนี้จะหลุดแทรคแน่นอน ทีนี้ ความยากมันอยู่ที่ สภาพยางครับ

ยางมันเสื่อมลงเรื่อยๆ ตลอดที่แข่ง อันนี้มันต้องมีsense ของยางด้วยว่า รอบนี้ ยางน่าจะไปแล้ว เข้าเบาๆหน่อย

ถ้าขับตามคู่แข่งบ่อยๆ คนที่มีsense สังเกตุคู่แข่ง และก็จะเดาได้ว่า โค้งนี้คู่แข่ง มีจุดอ่อนตรงไหน และคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะแซงได้หรือไม่ อย่างไรนั่นเอง ครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2019, 19:33:07 โดย koko86 »

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
---คุณ  koko86 ครับ

ขอบคุณที่อธิบายอย่างละเอียดครับ
ผมเข้าใจว่าคุณ  koko86 น่าจะเป็นนักแข่งรถหรือไม่ก็อยู่ในวงการแข่งรถ
ถึงอธิบายเรื่องการขับรถในสนามแข่งได้ละเอียดดีครับ

1. อยากขอความกรุณา ให้ช่วยอธิบายความหมายของ 2 คำนี้
ให้เข้าใจแบบง่ายๆ ซักนิดได้ไหมครับ--และ 2 เรื่องนี้
สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการขับรถทั่วไปบนท้องถนนธรรมดาได้ไหมครับ??

1.1 จุด sweet spot
 
1.2 เวลาออกโค้ง vector รวมต้องได้ 1 จี ตามกฎ traction circle




2. Zero Requiem--สัมผัสพิเศษที่ช่วยให้นักแข่งรถคาดการณ์ล่วงหน้าได้

Zero Requiem ในโลกแห่งความเป็นจริง = ทักษะของนักแข่งรถในการคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า
ซึ่งเกิดจากซ้อมนับครั้งไม่ถ้วน+ประสบการณ์ของตัวนักแข่งเอง--การมองเห็นเป็นภาพหรือเห็นเป็นนิมิต
ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 - 3 วินาทีข้างหน้านั้น น่าจะเป็นเพียงจินตนาการในการ์ตูนมากกว่า--ผมสรุปแบบนี้พอได้ไหมครับ


ขอบคุณล่วงหน้าที่ช่วยตอบครับ
My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,591
    • อีเมล์
1.1 sweet spot คือจุดที่ พื้นที่ใต้กราฟของแรงม้าสูงสุดในช่วงที่เปลี่ยนเกียร์ครับ
สมมุติว่า แรงม้าสูงสุดที่ 5500รอบ แต่ค่อยๆ ตกลงมาที่ 6500 รอบ red line ที่6500 รอบเช่นกัน  เปลี่ยนเกียร์ที่ 6500 รอบจะได้พื้นที่ใต้กราฟของแรงม้าในเกียร์ถัดไปมากสุด ตามรูปแรก ซึ่งรถส่วนใหญ่เปลี่ยนเกียร์ที่ red line ก็มักจะได้พื้นที่ใต้กราฟแรงม้าสูงสุด
1.2 traction circle
เรื่อง แรง 1 จี ไม่ได้เป็นกับรถทุกคันนะครับ แตกต่างกันไปสำหรับรถแต่ละคันขึ้นกับยาง น้้ำหนัก จุดศูนย์ถ่วง และ แอร์โร่วไดนามิกส์ ถ้ารถแข่งใช้ยางสลิค บางคันไปถึง 1.5-2 จีก็มี
เรื่อง traction circle กล่าวง่ายๆคือ ยางรับแรงจากแรงจีได้จำกัดในทุกทิศทาง เช่น ถ้าเบรคจนสุดข้อจำกัดของยางก็จะเลี้ยวไม่ได้ ในทางกลับกัน ถ้าเลี้ยวจนสุดลิมิตยางเมื่อเติมคันเร่งรถก็จะเสียอาการ ต้องคลายพวงมาลัยก่อนถึงเติมคันเร่งได้
นักแข่งที่เข้าใจเรื่องนี้ เมื่อเข้าโค้งจะเบรคจนสุดลิมิตยาง และเมื่อเริ่มหักพวงมาลัยจะค่อยๆถอนเบรคทีละนิด หักพวงมาลัยเติมทีละหน่อย เพื่อ ใช้การยึดเกาะของยางจนถึงที่สุด เมื่อวัดกราฟแรงจีตอนเข้า-ออกโค้งจะเป็นรูปวงกลม ในทางกลับกันถ้านักแข่งมือสมัครเล่น อาจจะถอนเบรคหมดแล้วเลี้ยวเลย จะใช้ความสามารถของยางได้ไม่เต็มที่  ตามรูปสอง
คลิปอธิบายเพิ่มเติม


หรือลองดูกราฟกลมๆ ตามลิงค์นี้ก็ได้ครับ แต่ผมยังไม่ได้โค้งตามทฤษฎีเท่าไหร่



2. ถ้าเรารู้จักยาง รู้จักรถ และเดาใจคู่แข่งได้ มันสามารถ"คาดการณ์ล่วงหน้าได้" ตามที่ตอบไปแต่แรก เช่น เบรคเลทขนาดนี้เลี้ยวไม่ได้แน่ๆ ออกนอกแทรคแน่ๆ  เป็นต้น  แต่คิดว่าคงไม่ถึงขั้นเกิดนิมิตล่วงหน้าของผลลัพท์ครับ เพราะขณะอยู่บนแทรค มันจะอยู่กับปัจุบันมากที่สุด พลาดแค่เสี้ยววิเดียวมันเป็นกำแพง ถ้ามีนิมิตขึ้นมาตอนกำลังเลี้ยวแล้วจิตหลุดไปอยู่ตรงนั้นนี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าเป็นยังไง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 11, 2019, 01:03:18 โดย koko86 »

ออฟไลน์ lonely

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,408
---ขอบคุณ คุณ koko86 เป็นอย่างสูงที่กรุณาสละเวลาอธิบายครับ

รบกวนเวลาคุณ

1. คุณ koko86 น่าจะเป็นนักแข่งรถอาชีพ ไม่ทราบว่าแข่งรถประเภทไหน+ใช้รถอะไรคู่กายครับ??

2. จุดตัดในรูปนี้

2.1 เป็นช่วงที่เครื่องยนต์ให้ แรงบิดสูงสุดใช่ไหมครับ--แต่แรงม้ายังไม่สูงสุด
ถ้าลากรอบเครื่องยนต์ต่อไป แรงม้าจะเพิ่มขึ้น แต่แรงบิดจะลดลง--ผมเข้าใจถูกไหมครับ??

2.2 แต่ถ้าเรา ต้องการเพิ่มความเร็วรถ ก็ต้องเร่งรอบเครื่องยนต์ให้สูงขึ้น โดยต้องยอมเสียแรงบิดไปใช่ไหมครับ??



3. นักแข่งรถ ต้องฝึกใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรคใช่ไหมครับ??
ผมเคยลองทำในซอยแถวบ้าน
ผลคือ หน้าคะมำ เพราะไม่สามารถควบคุมน้ำหนักเท้าซ้าย เหมือนกับเท้าขวาที่เราถนัดได้

4. รถผมเป็น City ZX หน้าดิสก์เบรค หลังดรัมเบรค--ไม่มี ABS, VSA-ควบคุมการทรงตัว, EBD-กระจายแรงเบรค, BA-เสริมแรงเบรค
ใดๆ ทั้งสิ้น

อยากเรียนถามคุณ koko86 เกี่ยวกับวิธีการเบรคซักนิดครับ

4.1 เวลาเบรค ผมจะเหยียบแป้นประมาณ 20 - 30 % แล้วค่อยๆ เพิ่มแรงกดแป้นเบรคลงไปเรื่อยๆ ประมาณ 60 - 70 % รถจึงหยุด

4.2 เหยียบแป้นเบรคประมาณ 20 - 30 % --> ผ่อนแรงเหยียบแป้นเบรค --> เหยียบแป้นเบรคลงไปที่ประมาณ 60 - 70 % รถจึงหยุ


ไม่ทราบว่า การเบรคทั้ง 2 แบบนี้ มันผิดวิธีไหมครับ
เนื่องจากรถผมไม่มี ABS ผมกลัวล้อล้อค--จึงไม่กล้าเหยียบเบรคแบบเต็มที่ครับ


5. เรื่องแรง G ผมงงมาตั้งนานแล้วครับ

แรง G ตอนเบรค & เข้าโค้ง ต้องยิ่งน้อยหรือยิ่งมากถึงจะดีกันแน่ครับ??


ขอขอบคุณ คุณ koko86 ล่วงหน้าที่ช่วยตอบครับ

My car and Driving is My Life = เวอร์ไปไหม ??

ออฟไลน์ DiKiBoyZ

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 7,247
    • อีเมล์
ในชีวิตจริง ผมเรียก ประสบการณ์ ครับ

ออฟไลน์ Beats

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 166
คุณ koko86 อธิบายได้เก่งจริงๆ ฟิสิกส์แน่นๆ เห็นภาพชัดเข้าใจง่าย ได้ความรู้เพียบ ขอบคุณมากครับ

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,591
    • อีเมล์
1.ไม่ใช่นักแข่งอาชีพครับ งานที่ทำนี่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรถเลย แต่ใจมันรักด้านนี้มาก เคยมีคนชวนไปลงแข่งซีรี่ย์แต่เมียไม่ให้เพราะลูกยังเล็กเลยได้ขับแทรคเดย์ประมาณสองเดือนครั้ง ครับ
2.1 ถูกครับ แรงม้าเป็นสมการผลคูณระหว่าง torque กับรอบเครื่อง รอบสูงๆถึงtorque จะตกแต่ม้าก็ขึ้นตามรูปครับ
2.2 ถูกต้องครับ ในสนามแรงม้าสำคัญ มาก ครับ บนถนน ใช้งานทั่วไป เน้นtorque จะใช้งานง่ายกว่า
3. ถ้าระดับ high level ก็ฝึกไว้เผื่อเวลาฉุกเฉินครับ บางครั้งซัดมาเร็วเกินไปในโค้ง การแย๊บเบรคเท้าซ้าย มันจะกระจายแรงไปทั่วๆทั้งสี่ล้อ รถจะรีเซทกลับมาใหม่ได้ครับ ถ้าเทียบกับถอนคันดร่ง แรงหน่วงอาจจะส่งไปแค่ที่ล้อหน้าหรือล้อหลังรถอาจจะยิ่งเสียอาการได้
เบรคเท้าซ้ายได้เปรียบมากๆในพวกรถฟอร์มูล่า พวกนี้คนที่ขับโกคาร์ทมาก่อนจะได้เปรียบมากๆ
ถ้าจะฝึกเบรคเท้าซ้าย ต้องเริ่มจากฝึกให้ชินกับกล้ามเนื้อมัดเล็กๆเช่นข้อเท้าก่อน อย่าใช้ต้นขาครับเดี๋ยวล้อล็อค
4.ใช้งานบนถนนทั่วไป 4.1น่าจะดีกว่านะคนับ ทำแบบ4.2คนนั่งจะเวียนหัวได้
แต่ถ้าแข่งในสนามต้องเริ่มที่90-100%ในโค้งที่ต้องเบรคจริงจังไม่งั้นแพ้เค้าครับ
5. ถ้าขับบนถนน แรงจียิ่งน้อยยิ่งดีครับ การขับจะนุ่มนวลมีที่เหลือสำหรับความผิดพลาดไว้เยอะ

ถ้าในสนาม
5.1 อันดับแรก ต้องขับหาไลน์ที่แรงจีน้อยสุดก่อน เช่น out-in-out แบบในเกมส์แข่งรถ
5.2เมื่อได้ไลน์ที่ดีแล้ว ค่อยเพิ่มความเร็วเรื่อยๆจนได้แรงจีสูงสุดที่ยางจะรับได้ครับ