ผู้เขียน หัวข้อ: ผมคิดว่าผู้บริหารมาสด้าที่ญี่ปุ่นไม่เก่ง หรือไม่ก็ดูถูกรถตัวเอง  (อ่าน 24610 ครั้ง)

ผมคิดว่าผู้บริหารมาสด้าที่ญี่ปุ่นไม่เก่ง หรือไม่ก็ดูถูกรถตัวเอง

....

ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบตรงๆนะครับ ผมคิดว่าผู้บริหารมาสด้าที่ญี่ปุ่นไม่เก่ง คำว่าไม่เก่งนี่คือ เทียบกับผู้บริหารโตโยต้า ฮอนด้า และนิสสัน

และแถมยังดูถูกรถตัวเอง

ผมรู้ว่า มาสด้าไทยแลนด์ อยากจะนำ CX5 กับ 6  เข้ามาขายใจจะขาด
แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับที่ญี่ปุ่น

ตั้งแต่มาสด้า3แล้ว  กว่าจะเข้ามาขาย เมืองนอกก็ปรับโฉมไมเนอร์ไป3ครั้งแล้ว
พอเข้ามาขายได้ปีกว่า ลูกค้าขับได้ปีเดียว ก็มีภาพหลุดของมาสด้า3 2014 ออกมา 
แบบนี้ยอดขายมันจะไม่แป๊กได้ไง  ถามว่าอายุตลาดมาสด้า3ตัวปัจจุบันที่มาขายในไทย มันเพิ่ง2ปีเท่านั้น แต่ตอนนี้มีใครกล้าซื้อ ถ้าติดตามข่าวสารก็จะรู้ว่ามันใกล้จะตกรุ่นแล้ว 

CX5 กระแสแรงมากๆตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ก็ไม่คิดจะรีบนำเข้ามา ตัดหน้า CRV2012 ตอนนี้กระแสดับหมดแล้ว ผมเชื่อว่าออกมาปลายปีนี้ตามกำหนด มันก็ไม่แรงเหมือนเดิมแล้ว  และที่สำคัญรถมันเปิดตัวในญี่ปุ่นมาจะ2ปีแล้ว ลูกค้าไทยซื้อไปไม่ถึงปี คอยดูสิ มันจะมีภาพหลุดไมเนอร์เช้นจ์ออกมา คนที่จะซื้อก็ต้องลังเล ส่วนคนที่ซื้อไปขับได้ไม่ถึงปี แล้วเมืองนอกไมเนอร์เช้นจ์ ก็อาจเสียความรู้สึก

สำหรับ Mazda 6 ถ้าไม่นำเข้ามาขายก็ แสดงให้เห็นเลยว่า ผู้บริหารที่ญี่ปุ่นดูถูกรถตัวเอง เพราะคิดว่ามันจะขายสู้แคมรี่ แอคคอร์ด เทียน่าไม่ได้
เลยคิดว่าไม่คุ้มที่จะนำเข้ามา  ถ้าไลน์ผลิตในไทยไม่พอ ก็ขยายโรงงานสิ ยี่ห้ออื่นเขาก็ใช้ไทยเป็นฐานผลิตส่งไปทั่วโลก 

ถ้าเจ๋งจริง ก็ต้องเอามาประกอบขายในไทย หรือนำเข้ามาขายเลย จะกลัวอะไรว่าจะไม่คุ้ม ถ้าคิดว่ามันดีจริง เจ๋งจริง ทำไมถึงคิดว่าจะขายสู้แคมรี่ แอคคอร์ด ไม่ได้ ขนาดเทียน่ายังสามารถคว่ำG8ได้เลย  ถ้ายี่ห้ออื่นขาย D-segment แล้วคุ้ม ทำไมมาสด้าจะทำไม่ได้

มาสด้าเป็นอะไรที่ช้าตลอด การอ้างเรื่อง ไลน์เต็ม โรงงานไม่พร้อม นั่น นู่น นี่  มันก็คือข้ออ้างนั่นแหละ
เพราะในเมื่อ โตโยต้า นิสสัน ฮอนด้า เขาทำได้  แต่ตัวเองทำไม่ได้ มันก็คือไม่เก่งนั่นแหละ 


ออฟไลน์ Iwata Kana Σ4

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,483
  • Archievement in Control
    • อีเมล์
ส่วนตัวคิดว่า Mazda Conservative เกินไปนิดนะ
ความมีระดับ มาพร้อมศักดิ์ศรีที่เหนือใคร
มีเป้าหมาย ที่อะไรก็ไม่อาจขวาง
มีอำนาจ ที่เลือกใช้ได้ตามใจ
มีชีวิต อย่างที่ใคร ก็ไม่อาจปฎิเสธ

ออฟไลน์ fishfinger

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 868
คิดมากจังท่าน

ปล. Mazda3 ผมว่าไม่แป็กนะ ขนาดโฆษณาน้อยมาก พรีเซนเตอ์ก็ไม่ดัง ยังขายได้พอสมควร

เท่าที่ขับในกทม. เจอพอๆกะครูซกะซิลฟี่ ที่โฆษณามากกว่า 5dr เห็นบ่อยมาก

ออฟไลน์ KIAT

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 155
    • อีเมล์
เห็นด้วย ผบห.ปอดแหกมาก ยุคสมัยเปลี่ยนมากแล้ว ผบห.ยังฝังใจกับอดีตที่เคยล้มเหลว

คนไทยที่ซื้อรถราคาเกินล้านเต็มถนน ไม่ใช่10ปีก่อน ทีใครซื้อรถล้านกว่าดูรวยมาก

ออฟไลน์ Buffy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,501
    • อีเมล์
ผู้บริหารคงมองข้ามช๊อตแล้วว่า

Mazda ต้องเอาเข้ามาขายตอน Minor change ดีที่สุดมั๊งครับ.........เหมือน Mazda2

ออฟไลน์ fhasociety

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 450
    • อีเมล์
รู้จักฉายาของมาสด้าป่าวค่ะ ยึดฉายาีนี้มาแบบเหนียว แน่น หนึบ เป็นสิบปีแล้ว "เจ้าพ่อตลาดวาย" ;D

เมื่อก่อนนิสสันเคยเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว ยังเหลือแต่มาสด้า ที่ยังครองแชมป์ :D
ทุกวันนี้ ผม ทำงาน เก็บเงิน แต่ง..................รถ

เขตจำกัดความเร็ว 10 แก้วต่อชั่วโมง

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ใครบางคน ใน Mazda เคยบอกกับผมไว้ว่า

คนญี่ปุ่นที่ Mazda หนะ ทำรถดี แต่มันขายไม่เป็น!

ถ้าแต่ก่อน ย้อนไปสัก 10 - 20 ปีที่แล้ว หรือก่อน Mazda 3 รุ่นแรกเปิดตัวหนะ

"จริงเลย ใช่ ไม่เถียง"

แต่ทุกวันนี้ ด้วยความพยายามผลักดันของ เอเจนซีโฆษณาหลายราย
ที่ร่วมงานกับ Mazda กันมา ทั้ง ที่ออสเตรเลีย ทั้ง J Walter Thompson และ Hakuhodo ญี่ปุ่น

Mazda ก็มีตัวเลขยอดขายที่ดีขึ้นได้ในระดับโลก รวมทั้งในบ้านเรา

อย่างไรก็ตาม

ความเสี่ยงในการทำธุรกิจรถยนต์
แตกต่างจาก การลงทุนทำขนมปังขายมากๆ ครับ

ขนมปัง เจ๊งที แค่ ไม่กี่หมื่นบาท หรืออาจจะไม่เกิน แสนบาท

แต่สำหรับรถยนต์ ถ้าเจ๊งทีนึง มันเจ๊งกันเป็น "พันล้าน"
และผลที่ตามมา อาจจะไม่ใช่แค่ ตัวเลขงบดุลติดตัวแดง
แต่มันจะรวมถึง ราคาหุ้นที่ร่วงลงต่ำ ผู้ถือหุ้นสวดยับ
กดดัน CEO ให้พิจารณาตัวเอง ขวัญและกำลังใจพนักงานตกต่ำลง
การสังซื้อชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ก็จะลดน้อยลง บริษัทซัพพลายเออร์
ก็จะได้รับผลกระทบด้วย ฯลฯ อีกมากมาย

คือมันกระทบไปเป็นลูกโซ่ ครับ

ทั้งห่วงโซ่ ทั้งวงจร เลยละ!

เขาถึงต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน

ปัญหาหนึ่ง ของความเสี่ยงในการนำรถเข้ามาขายคือ
การ พยากรณ์ตัวเลขยอดขาย ที่คาดว่าจะได้รับ

คุณต้องดูด้วยว่า ตลาดนั้น ในขั้นต่ำ ภาพรวมอยู่ที่เดือนละกี่คัน
เจ้าตลาดขายได้ เดือนละกี่คัน

เอาอย่างนี้ จากสถิติตัวเลข ผมตีถัวเฉลี่ยให้

ตลาด D-Segment บ้านเรา ยอดขาย เดือนละ แค่ หลัก พันต้นๆ คัน

Camry เจ้าตลาด เฉลี่ยประมาณ 1,000 คัน/เดือน
"ยอดขายต่อเดือน มากกว่า Prius ที่ทุกวันนี้ เหลือแค่ เดือนละ 500 คัน ไม่เกินไปกว่านี้"

Teana ช่วง Peak สุด ขายได้ เดือนละ 500 คัน และตอนนี้ก็เริ่มร่วงไปตามอายุตลาดที่เหลืออีกไม่กี่เดือน
แต่ยังมีหลักร้อยอยู่ ป้วนเปี้ยนแถวๆ 300 คัน/เดือน

Accord ช่วงก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ ขายได้เดือนละ 300 คันนี่ก็ดีใจแล้ว
แต่พอรุ่นใหม่มา ก็เพิ่งจะตีตื้นขึ้นมาได้

ข้อเท็จจริงก็คือ ทุกวันนี้ ถ้าจะเอารถสักรุ่นเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา
มันต้องขายได้เดือนละ 1,000 คัน ถึงจะคุ้มทุน!!

ต่างจากการนำเข้า ถ้านำเข้ามา เดือนละสัก 500 คัน ก็ยังพอเอาตัวรอดได้

ปัญหาคือ ต่อให้นำเข้า คุณจะนำเข้าจากที่ไหน?

ญี่ปุ่น ลืมไปได้เลย ภาษีนำเข้ายังสูงอยู่ เราทำข้อตกลงการค้า AFTA กับ ญี่ปุ่น
เฉพาะ รถระดับหรูไปเลย จำพวก Lexus เท่านั้น

ถ้าต้องการให้ภาษีนำเข้าเหลือ 5% ก็ต้องประกอบในละแวกย่านอาเซียนด้วยกัน

มาเลเซียตอนนี้ มีโรงงานอยู่ แต่ยอดขาย รถยนต์กลุ่ม D-Segment ในมาเลเซีย
ก็ไม่ได้สูงเท่าบ้านเรา จึงต้องพึ่งพาตลาดส่งออกอย่างไทยเป็นหลัก

ถ้ามาในโจทย์ข้างบนนี้ ก็น่าจะยังพอเป็นไปได้บ้าง

---------------------------------

จากที่คุยกับ Kanazawa-san มา

ผมมั่นใจว่า เขาไม่ได้ดูถูกตัวเองอย่างที่คุณกล่าวหาหรอกครับ

แต่แค่เขายังไม่มั่นใจ ว่ามันจะขายได้จริงหรือ เขายังเข้าใจคนไทยไม่มากพอ

วิธีการเดียวที่จะทำให้เขาเข้าใจก็คือ

พอ Mazda CX-5 มา ก็อุดหนุนกันเยอะๆ ครับ ภาพมันจะชัดขึ้น เขาจึงจะมั่นใจ

--------------------------------

เฮ้อ..พอเขียนอย่างนี้ เดี๋ยวก็หาว่าเชียร์ Mazda อีก
ยังก่อน ไว้รอให้ขับรถคันจริงก่อน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็จะแจกแจงให้ดูทั้งหมดตามเคยนั่นละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2013, 13:18:44 โดย J!MMY »

ออฟไลน์ dht_tubes

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,641
    • อีเมล์
เห็นด้วยกับที่คุณจิมมี่เขียนนะ

มันตรงมากๆ โดยเฉพาะมันไม่เหมือนทำขนมปังขาย เพราะเวลาเจ๊งที่ มันแทบล้มละลาย ยิ่งบริษัทขนาดเล็ก ถ้าพังเพราะโปรเจคไหนก็แล้วแต่ แทบล้มทั้งยืนทั้งนั้น

ใครไม่เคยเจอกับตัวเข้าใจได้ยากครับว่าเวลาขาดทุนทีละหลายร้อย หรือ หลายพันล้าน มันรู้สึกอย่างไร

ใครบางคน ใน Mazda เคยบอกกับผมไว้ว่า

คนญี่ปุ่นที่ Mazda หนะ ทำรถดี แต่มันขายไม่เป็น!

ถ้าแต่ก่อน ย้อนไปสัก 10 - 20 ปีที่แล้ว หรือก่อน Mazda 3 รุ่นแรกเปิดตัวหนะ

"จริงเลย ใช่ ไม่เถียง"

แต่ทุกวันนี้ ด้วยความพยายามผลักดันของ เอเจนซีโฆษณาหลายราย
ที่ร่วมงานกับ Mazda กันมา ทั้ง ที่ออสเตรเลีย ทั้ง J Walter Thompson และ Hakuhodo ญี่ปุ่น

Mazda ก็มีตัวเลขยอดขายที่ดีขึ้นได้ในระดับโลก รวมทั้งในบ้านเรา

อย่างไรก็ตาม

ความเสี่ยงในการทำธุรกิจรถยนต์
แตกต่างจาก การลงทุนทำขนมปังขายมากๆ ครับ

ขนมปัง เจ๊งที แค่ ไม่กี่หมื่นบาท หรืออาจจะไม่เกิน แสนบาท

แต่สำหรับรถยนต์ ถ้าเจ๊งทีนึง มันเจ๊งกันเป็น "พันล้าน"
และผลที่ตามมา อาจจะไม่ใช่แค่ ตัวเลขงบดุลติดตัวแดง
แต่มันจะรวมถึง ราคาหุ้นที่ร่วงลงต่ำ ผู้ถือหุ้นสวดยับ
กดดัน CEO ให้พิจารณาตัวเอง ขวัญและกำลังใจพนักงานตกต่ำลง
การสังซื้อชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ก็จะลดน้อยลง บริษัทซัพพลายเออร์
ก็จะได้รับผลกระทบด้วย ฯลฯ อีกมากมาย

คือมันกระทบไปเป็นลูกโซ่ ครับ

ทั้งห่วงโซ่ ทั้งวงจร เลยละ!

เขาถึงต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน

ปัญหาหนึ่ง ของความเสี่ยงในการนำรถเข้ามาขายคือ
การ พยากรณ์ตัวเลขยอดขาย ที่คาดว่าจะได้รับ

คุณต้องดูด้วยว่า ตลาดนั้น ในขั้นต่ำ ภาพรวมอยู่ที่เดือนละกี่คัน
เจ้าตลาดขายได้ เดือนละกี่คัน

เอาอย่างนี้ จากสถิติตัวเลข ผมตีถัวเฉลี่ยให้

ตลาด D-Segment บ้านเรา ยอดขาย เดือนละ แค่ หลัก พันต้นๆ คัน

Camry เจ้าตลาด เฉลี่ยประมาณ 1,000 คัน/เดือน
"ยอดขายต่อเดือน มากกว่า Prius ที่ทุกวันนี้ เหลือแค่ เดือนละ 500 คัน ไม่เกินไปกว่านี้"

Teana ช่วง Peak สุด ขายได้ เดือนละ 500 คัน และตอนนี้ก็เริ่มร่วงไปตามอายุตลาดที่เหลืออีกไม่กี่เดือน
แต่ยังมีหลักร้อยอยู่ ป้วนเปี้ยนแถวๆ 300 คัน/เดือน

Accord ช่วงก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ ขายได้เดือนละ 300 คันนี่ก็ดีใจแล้ว
แต่พอรุ่นใหม่มา ก็เพิ่งจะตีตื้นขึ้นมาได้

ข้อเท็จจริงก็คือ ทุกวันนี้ ถ้าจะเอารถสักรุ่นเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา
มันต้องขายได้เดือนละ 1,000 คัน ถึงจะคุ้มทุน!!

ต่างจากการนำเข้า ถ้านำเข้ามา เดือนละสัก 500 คัน ก็ยังพอเอาตัวรอดได้

ปัญหาคือ ต่อให้นำเข้า คุณจะนำเข้าจากที่ไหน?

ญี่ปุ่น ลืมไปได้เลย ภาษีนำเข้ายังสูงอยู่ เราทำข้อตกลงการค้า AFTA กับ ญี่ปุ่น
เฉพาะ รถระดับหรูไปเลย จำพวก Lexus เท่านั้น

ถ้าต้องการให้ภาษีนำเข้าเหลือ 5% ก็ต้องประกอบในละแวกย่านอาเซียนด้วยกัน

มาเลเซียตอนนี้ มีโรงงานอยู่ แต่ยอดขาย รถยนต์กลุ่ม D-Segment ในมาเลเซีย
ก็ไม่ได้สูงเท่าบ้านเรา จึงต้องพึ่งพาตลาดส่งออกอย่างไทยเป็นหลัก

ถ้ามาในโจทย์ข้างบนนี้ ก็น่าจะยังพอเป็นไปได้บ้าง

---------------------------------

จากที่คุยกับ Kanazawa-san มา

ผมมั่นใจว่า เขาไม่ได้ดูถูกตัวเองอย่างที่คุณกล่าวหาหรอกครับ

แต่แค่เขายังไม่มั่นใจ ว่ามันจะขายได้จริงหรือ เขายังเข้าใจคนไทยไม่มากพอ

วิธีการเดียวที่จะทำให้เขาเข้าใจก็คือ

พอ Mazda CX-5 มา ก็อุดหนุนกันเยอะๆ ครับ ภาพมันจะชัดขึ้น เขาจึงจะมั่นใจ

--------------------------------

เฮ้อ..พอเขียนอย่างนี้ เดี๋ยวก็หาว่าเชียร์ Mazda อีก
ยังก่อน ไว้รอให้ขับรถคันจริงก่อน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็จะแจกแจงให้ดูทั้งหมดตามเคยนั่นละ

ขอบคุณ คุณจิมมี่ ที่เข้ามาร่วมแชร์ความเห็นครับ

ผมคิดว่า ผู้บริหารมาสด้าญี่ปุ่น ควรจะลุยตลาดเมืองไทยแบบเต็มสูบได้แล้ว
ลูกค้าไทยทุกวันนี้ ไม่ใช่เหมือนเมือก่อน ที่จะต้องซื้อแต่รถเจ้าตลาด
คนรุ่นใหม่ กล้าที่จะซื้อรถที่ตัวเองคิดว่าใช่  

เท่าที่ผมสัมผัสมาสด้ามา  อย่างมาสด้า3 ผมคิดว่ามาสด้าทำรถใช้วัสดุดีกว่า เจ้าตลาดอีกนะครับ คุณภาพการขับขี่ก็ถือว่าเหนือกว่า

และถ้ามองว่า ตลาด D-segment รวมขายได้แค่พันกว่าคันต่อเดือน แล้วจะไม่คุ้ม
มาสด้าไม่คิดบ้างเรอะครับ ว่าตลาดนี้มันจะโต มันจะขยายขึ้นไปอีก  ทำไมมาสด้าคิดว่า มาสด้า6ต้องเข้ามาแบ่งเค้กก้อนนี้อย่างเดียว ทำไมไม่คิดว่าตลาดรวมมันจะมียอดขายมากขึ้น  หรือต่อให้ตลาดรวมตัวเลขไม่เพิ่ม  ก็น่าจะคิดว่าถ้าเทียน่า แอคคคอร์ด เขายังมีกำไร ทำไมมาสด้า6 จะทำแล้วไม่คุ้ม  

ผมเชียร์สุดตัวเลยนะ เอาเข้ามาขายเถอะ

ถ้าทำราคาดีๆ ออฟชั่นดีๆ การขับขี่สุดยอดอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกลัวคู่แข่งเลย

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
ถ้าเอาเข้ามาขายแล้วขาดทุน ก็อย่าเอาเข้ามาดีกว่าครับ

ภาพลักษณ์ก็ไม่ดีด้วย

ขายรถที่ตนเองถนัดดีกว่าครับ ;)

ออฟไลน์ yacoolsa9

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 316
ใครบางคน ใน Mazda เคยบอกกับผมไว้ว่า

คนญี่ปุ่นที่ Mazda หนะ ทำรถดี แต่มันขายไม่เป็น!

ถ้าแต่ก่อน ย้อนไปสัก 10 - 20 ปีที่แล้ว หรือก่อน Mazda 3 รุ่นแรกเปิดตัวหนะ

"จริงเลย ใช่ ไม่เถียง"

แต่ทุกวันนี้ ด้วยความพยายามผลักดันของ เอเจนซีโฆษณาหลายราย
ที่ร่วมงานกับ Mazda กันมา ทั้ง ที่ออสเตรเลีย ทั้ง J Walter Thompson และ Hakuhodo ญี่ปุ่น

Mazda ก็มีตัวเลขยอดขายที่ดีขึ้นได้ในระดับโลก รวมทั้งในบ้านเรา

อย่างไรก็ตาม

ความเสี่ยงในการทำธุรกิจรถยนต์
แตกต่างจาก การลงทุนทำขนมปังขายมากๆ ครับ

ขนมปัง เจ๊งที แค่ ไม่กี่หมื่นบาท หรืออาจจะไม่เกิน แสนบาท

แต่สำหรับรถยนต์ ถ้าเจ๊งทีนึง มันเจ๊งกันเป็น "พันล้าน"
และผลที่ตามมา อาจจะไม่ใช่แค่ ตัวเลขงบดุลติดตัวแดง
แต่มันจะรวมถึง ราคาหุ้นที่ร่วงลงต่ำ ผู้ถือหุ้นสวดยับ
กดดัน CEO ให้พิจารณาตัวเอง ขวัญและกำลังใจพนักงานตกต่ำลง
การสังซื้อชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ ก็จะลดน้อยลง บริษัทซัพพลายเออร์
ก็จะได้รับผลกระทบด้วย ฯลฯ อีกมากมาย

คือมันกระทบไปเป็นลูกโซ่ ครับ

ทั้งห่วงโซ่ ทั้งวงจร เลยละ!

เขาถึงต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วน

ปัญหาหนึ่ง ของความเสี่ยงในการนำรถเข้ามาขายคือ
การ พยากรณ์ตัวเลขยอดขาย ที่คาดว่าจะได้รับ

คุณต้องดูด้วยว่า ตลาดนั้น ในขั้นต่ำ ภาพรวมอยู่ที่เดือนละกี่คัน
เจ้าตลาดขายได้ เดือนละกี่คัน

เอาอย่างนี้ จากสถิติตัวเลข ผมตีถัวเฉลี่ยให้

ตลาด D-Segment บ้านเรา ยอดขาย เดือนละ แค่ หลัก พันต้นๆ คัน

Camry เจ้าตลาด เฉลี่ยประมาณ 1,000 คัน/เดือน
"ยอดขายต่อเดือน มากกว่า Prius ที่ทุกวันนี้ เหลือแค่ เดือนละ 500 คัน ไม่เกินไปกว่านี้"

Teana ช่วง Peak สุด ขายได้ เดือนละ 500 คัน และตอนนี้ก็เริ่มร่วงไปตามอายุตลาดที่เหลืออีกไม่กี่เดือน
แต่ยังมีหลักร้อยอยู่ ป้วนเปี้ยนแถวๆ 300 คัน/เดือน

Accord ช่วงก่อนเปิดตัวรุ่นใหม่ ขายได้เดือนละ 300 คันนี่ก็ดีใจแล้ว
แต่พอรุ่นใหม่มา ก็เพิ่งจะตีตื้นขึ้นมาได้

ข้อเท็จจริงก็คือ ทุกวันนี้ ถ้าจะเอารถสักรุ่นเข้ามาผลิตขายในบ้านเรา
มันต้องขายได้เดือนละ 1,000 คัน ถึงจะคุ้มทุน!!

ต่างจากการนำเข้า ถ้านำเข้ามา เดือนละสัก 500 คัน ก็ยังพอเอาตัวรอดได้

ปัญหาคือ ต่อให้นำเข้า คุณจะนำเข้าจากที่ไหน?

ญี่ปุ่น ลืมไปได้เลย ภาษีนำเข้ายังสูงอยู่ เราทำข้อตกลงการค้า AFTA กับ ญี่ปุ่น
เฉพาะ รถระดับหรูไปเลย จำพวก Lexus เท่านั้น

ถ้าต้องการให้ภาษีนำเข้าเหลือ 5% ก็ต้องประกอบในละแวกย่านอาเซียนด้วยกัน

มาเลเซียตอนนี้ มีโรงงานอยู่ แต่ยอดขาย รถยนต์กลุ่ม D-Segment ในมาเลเซีย
ก็ไม่ได้สูงเท่าบ้านเรา จึงต้องพึ่งพาตลาดส่งออกอย่างไทยเป็นหลัก

ถ้ามาในโจทย์ข้างบนนี้ ก็น่าจะยังพอเป็นไปได้บ้าง

---------------------------------

จากที่คุยกับ Kanazawa-san มา

ผมมั่นใจว่า เขาไม่ได้ดูถูกตัวเองอย่างที่คุณกล่าวหาหรอกครับ

แต่แค่เขายังไม่มั่นใจ ว่ามันจะขายได้จริงหรือ เขายังเข้าใจคนไทยไม่มากพอ

วิธีการเดียวที่จะทำให้เขาเข้าใจก็คือ

พอ Mazda CX-5 มา ก็อุดหนุนกันเยอะๆ ครับ ภาพมันจะชัดขึ้น เขาจึงจะมั่นใจ

--------------------------------

เฮ้อ..พอเขียนอย่างนี้ เดี๋ยวก็หาว่าเชียร์ Mazda อีก
ยังก่อน ไว้รอให้ขับรถคันจริงก่อน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ก็จะแจกแจงให้ดูทั้งหมดตามเคยนั่นละ

ขอบคุณ คุณจิมมี่ ที่เข้ามาร่วมแชร์ความเห็นครับ

ผมคิดว่า ผู้บริหารมาสด้าญี่ปุ่น ควรจะลุยตลาดเมืองไทยแบบเต็มสูบได้แล้ว
ลูกค้าไทยทุกวันนี้ ไม่ใช่เหมือนเมือก่อน ที่จะต้องซื้อแต่รถเจ้าตลาด
คนรุ่นใหม่ กล้าที่จะซื้อรถที่ตัวเองคิดว่าใช่  

เท่าที่ผมสัมผัสมาสด้ามา  อย่างมาสด้า3 ผมคิดว่ามาสด้าทำรถใช้วัสดุดีกว่า เจ้าตลาดอีกนะครับ คุณภาพการขับขี่ก็ถือว่าเหนือกว่า

และถ้ามองว่า ตลาด D-segment รวมขายได้แค่พันกว่าคันต่อเดือน แล้วจะไม่คุ้ม
มาสด้าไม่คิดบ้างเรอะครับ ว่าตลาดนี้มันจะโต มันจะขยายขึ้นไปอีก  ทำไมมาสด้าคิดว่า มาสด้า6ต้องเข้ามาแบ่งเค้กก้อนนี้อย่างเดียว ทำไมไม่คิดว่าตลาดรวมมันจะมียอดขายมากขึ้น  หรือต่อให้ตลาดรวมตัวเลขไม่เพิ่ม  ก็น่าจะคิดว่าถ้าเทียน่า แอคคคอร์ด เขายังมีกำไร ทำไมมาสด้า6 จะทำแล้วไม่คุ้ม  

ผมเชียร์สุดตัวเลยนะ เอาเข้ามาขายเถอะ

ถ้าทำราคาดีๆ ออฟชั่นดีๆ การขับขี่สุดยอดอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกลัวคู่แข่งเลย
ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
ในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่ง ผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ว่า
1. สมัยนี้แนวทางการซื้อรถของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น เปลี่ยนไปกี่เปอร์เซ็นต์จากสมัยก่อนละครับ ถ้าเปลี่ยนแปลงเยอะจริง ๆ ทำไมเรายังเห็น vigo ที่ตัวรถไม่ได้ดีไป ford หรือ mazda เลย ออกมามากมายเกลื่อนถนน ทำไมเรายังเห็น อัลติส กับ ซีวิค ออกมามากมาย ทั้งที่ มาสด้า กับ ครูซ วัสดุกับช่วงล่างดีกว่า
2.สำหรับความคิดของผม ผมว่าการซื้อรถไม่ใช่แค่ว่าชอบแล้วซื้อครับ ตัวแปรมันเยอะมาก แต่ที่คนส่วนใหญ่จะมอง ไม่ใช่แค่มองว่าสวยแล้วจะไปซื้อครับ แต่คนส่วนใหญ่ จะมองว่า ศูนย์เป็นไง บริการหลังการขายล่ะ ปัญหาของรถ แล้วไหนจะทัศนคติต่อยี่ห้อที่ไม่ใช้เจ้าตลาดอีก ผู้ใหญ่ที่ผมเคยคุยด้วยหลายคน พอพูดถึง มาสด้า เชฟโลเรต ฮุนได ฟอร์ด เชื่อมั้ยครับ ผู้ใหญ่หลายส่ายหัว บางคนแถมคำด่ามาให้อีกต่างหาก
3.เรื่องที่พี่เจ้าของกระทู้บอกว่า ทำไมจะต้องมาแย่งแบ่งเค้กก้อนนี้กับเจ้าตลาด ความเห็นของผมคือ ประชากรของประเทศไทยไม่ได้มากมายแบบญี่ปุ่น หรือ อเมริกา ครับ ฉะนั้น สัดส่วนการซื้อรถหรือก้อนเค้กที่พี่เจ้าของกระทู้พูดถึง มันถึงมีไม่เยอะครับ อย่างที่พี่จิมมี่บอกว่า สัดส่วน D-seg ในบ้านเรา ขายได้ต่อเดือนก็ไม่ได้มากไปกว่า 2000 คัน ฉะนั้น ความคุ้มค่าที่จะเอารถเข้ามาขายนั้น ต้องคำนวณอย่างดีครับ

^^

ออฟไลน์ Iwata Kana Σ4

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,483
  • Archievement in Control
    • อีเมล์
อ้างถึง
"ยอดขายต่อเดือน มากกว่า Prius ที่ทุกวันนี้ เหลือแค่ เดือนละ 500 คัน ไม่เกินไปกว่านี้"
เห็นแล้วกลัวว่า Prius จะไปตาม Wish ยังไงไม่รู้สิ
ความมีระดับ มาพร้อมศักดิ์ศรีที่เหนือใคร
มีเป้าหมาย ที่อะไรก็ไม่อาจขวาง
มีอำนาจ ที่เลือกใช้ได้ตามใจ
มีชีวิต อย่างที่ใคร ก็ไม่อาจปฎิเสธ

ออฟไลน์ KIAT

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 155
    • อีเมล์
ค้าขายไม่ใช่แต่เอาแต่ขายของถูก ของแพงก็ต้องมีโชว์ ของแพงขายได้น้อยกว่าเรื่องปกติครับ

ไม่งั้นภาพลักษ์ก็สู้เขาไม่ได้ ค้าขายกำไรมันถัวกันอยู่แล้ว  ถ้าอ้างว่ากลัวขายไม่ได้ ไม่คุ้ม ก็ทำแต่ตลาดล่างต่อไป

อย่าว่าแต่มาสด้าเลย ฟอร์ดก็พอกัน ไม่กล้าเอาเอสเคปใหม่มาขาย ทั้งที่ออกมาร่วม2ปีเช่นเดียวกัน

สรุปคือกลัวppvเจ้าตลาด 

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
Prius เนี่ย ผมมองว่า อย่างน้อย มันก็เป็น Halo Car ครับ คือยังไง Toyota ก็ต้องยื้อไว้เพื่อแสดงศักดิ์ศรีเจ้าพ่อ Hybrid เหมือนที่ Mazda พยายามยื้อ Rotary มาตลอด 30 ปีนั่นแหละ ประเภท "กินไม่ได้ แต่เท่ห์"
 
กรณี Mazda เนี่ย ใจผม ผมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อว่า Mazda6 มันจะไปได้ในตลาดไทย ต่อให้จะได้ตัว wide-body ของทาง US มาก็ตาม เพราะ character ของตัวรถ มันค่อนข้างสวนทางกับตลาด D-Segment ของเมืองไทย ในช่วง 10 ปี มานี้ ที่ทำหน้าที่ รถภูมิฐาน ของคนที่สร้างฐานะได้แล้ว Mazda6 มันเหมาะกับขายประเภทที่คนที่ไม่รวยมาก หรือยังเด็กๆ ก็ซื้อรถใหญ่ขับได้มากกว่าครับ ประเทศที่รถใหญ่ มีแต่คนแก่ คนรวยที่ซื้อไหว อย่างบ้านเรา ผมว่าการทำตลาดก็ยาก เพราะคนที่ขับรถกลุ่มนี้ ก็ไม่ได้รวยขนาดจะไปบ้าความเป็น sport จี้ดจ้าดอะไร ไม่เหมือนระดับพวก 3-series หรือ CLA ครับ

ทางเดียวที่ Mazda จะขาย 6 ในบ้านเราได้ คือเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าในกลุ่มนี้ไปเลย เช่น ทำให้วัยรุ่นมาซื้อรถ D-Segment (เอาตังค์จากไหน?) หรือทำให้คนแก่ เกิดอาการ Zoom-Zoom-Zoom ขึ้นมาครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว Honda ก็เคยเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ยอมรับรถ Hatchback ด้วย Jazz มาแล้วเหมือนกัน

เพียงแต่ มันเป็นการเดิมพันที่ยาก และความเสี่ยงมหาศาลมาก ต้องช่างน้ำหนักดีๆ ว่าคุ้มจะเสี่ยงไหม
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ kiwiwi

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,858
ผมรอมาสด้า5มานานแล้วครับ รอจนเหงือกแห้งแล้ว
Mpv ตรงกลางระหว่าง estima กะ space wagon พร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้า ผลิตที่มาเลย์

เฮ้อ ปอดแหกจริง

ออฟไลน์ Korn Coconut

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 145
ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะเจ๊งทีเท่ากับหมดตัว เท่าที่เป็นอยู่ก็บวกน้อยๆอยู่ ถ้ารุกตลาดอาจลบเยอะๆก็ได้ ถึงผู้บริโภคจะสนใจ แต่การซื้อจริงที่จะเกิดขึ้นมันเดาไม่ได้เลย

แต่ส่วนตัวผมก็เชียร์ให้เอาเข้ามานะ ;D

ออฟไลน์ nin122

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 610
    • อีเมล์

ขอบคุณ คุณจิมมี่ ที่เข้ามาร่วมแชร์ความเห็นครับ

ผมคิดว่า ผู้บริหารมาสด้าญี่ปุ่น ควรจะลุยตลาดเมืองไทยแบบเต็มสูบได้แล้ว
ลูกค้าไทยทุกวันนี้ ไม่ใช่เหมือนเมือก่อน ที่จะต้องซื้อแต่รถเจ้าตลาด
คนรุ่นใหม่ กล้าที่จะซื้อรถที่ตัวเองคิดว่าใช่  

เท่าที่ผมสัมผัสมาสด้ามา  อย่างมาสด้า3 ผมคิดว่ามาสด้าทำรถใช้วัสดุดีกว่า เจ้าตลาดอีกนะครับ คุณภาพการขับขี่ก็ถือว่าเหนือกว่า

และถ้ามองว่า ตลาด D-segment รวมขายได้แค่พันกว่าคันต่อเดือน แล้วจะไม่คุ้ม
มาสด้าไม่คิดบ้างเรอะครับ ว่าตลาดนี้มันจะโต มันจะขยายขึ้นไปอีก  ทำไมมาสด้าคิดว่า มาสด้า6ต้องเข้ามาแบ่งเค้กก้อนนี้อย่างเดียว ทำไมไม่คิดว่าตลาดรวมมันจะมียอดขายมากขึ้น  หรือต่อให้ตลาดรวมตัวเลขไม่เพิ่ม  ก็น่าจะคิดว่าถ้าเทียน่า แอคคคอร์ด เขายังมีกำไร ทำไมมาสด้า6 จะทำแล้วไม่คุ้ม  

ผมเชียร์สุดตัวเลยนะ เอาเข้ามาขายเถอะ

ถ้าทำราคาดีๆ ออฟชั่นดีๆ การขับขี่สุดยอดอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกลัวคู่แข่งเลย

ผมว่าไม่ใช่ซะทีเดียวครับ ผมทำงานในวงการ marketing research มาพักหนึ่ง ทำให้พอรู้ว่า คนไทยส่วนมาก ยังติดเจ้าตลาดอยู่มากครับ

ปล. แอบบอกว่า ช่วงนี้ mazda มีเข้ามาทำ research พอสมควรนะครับ  ;D ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2013, 15:09:52 โดย J!MMY »

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ค้าขายไม่ใช่แต่เอาแต่ขายของถูก ของแพงก็ต้องมีโชว์ ของแพงขายได้น้อยกว่าเรื่องปกติครับ

ไม่งั้นภาพลักษ์ก็สู้เขาไม่ได้ ค้าขายกำไรมันถัวกันอยู่แล้ว  ถ้าอ้างว่ากลัวขายไม่ได้ ไม่คุ้ม ก็ทำแต่ตลาดล่างต่อไป

อย่าว่าแต่มาสด้าเลย ฟอร์ดก็พอกัน ไม่กล้าเอาเอสเคปใหม่มาขาย ทั้งที่ออกมาร่วม2ปีเช่นเดียวกัน

สรุปคือกลัวppvเจ้าตลาด  

ไมใช่ Ford กลัว

แต่เพราะการพัฒนารถสักรุ่น มันต้องมองถึงสารพัดองค์ประกอบมากมายกว่าที่คุณคิด

คนรอบข้างผมเมื่ก่อน ก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
แต่พอได้เข้าไปทำงานฝ่ายการตลาดบริษัทรถยนต์แล้ว

เขาเข้าใจกระจ่างแจ้งแดงแจ๋เลยว่า ไอ้สิ่งที่คุณๆ เขียนกันมาทั้งหมดนี้
ลองถ้าได้มาทำงานบริษัทรถจริงๆ มันจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณคิด โดยสิ้นเชิง!

1. บริษัทรถยนต์ ไม่โง่ เขาทำการบ้านเยอะกว่าที่เราคิดเยอะมาก
2. บางอย่าง ที่มันมาไม่ได้ มันมีข้อจำกัดหลายอย่าง ส่วนใหญ่มาจากเรื่อง ต้นทุน
แหล่งผลิต โครงสร้างภาษี และการได้เปรียบมากน้อยเรื่องราคา

รวมทั้งเรื่องของขนาดตลาด จำนวนประชากร รายได้ต่อหัว GDP ฯลฯ อีกมากมาย!!!
พวกนี้ อย่านึกว่าไม่เกี่ยวนะครับ ตัวประเมินเบื้องต้นเลยละ!

รถ 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ สมมติว่า ขนาดเดียวกัน คันนึง ประกอบเมืองไทยได้
แต่อีกคัน ถ้าจะมา ต้องมาตั้งโรงงานใหม่หมด และถ้าต้องขายในราคาเท่ารถคันคู่แข่ง
จะต้องบริหารจัดการในระดับบีบคั้นมากๆ ถึงจะขายได้ แล้วต่อให้ขายได้ ก็อาจจะได้แค่
ไม่กี่ 100 คัน จนจบอายุตลาด ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันเป็นรถที่ดีกว่ารถคันคู่แข่ง
แต่ ความเชื่อมั่นในแบรนด์ของ รายหลัง ยังไม่ดีเท่ารายแรก

ปัญหาเยอะครับ ทุกอย่าง เป็นลูกโซ่กันไปหมด

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อรถของคนไทยนั้น
มันเพิ่งเริ่มเปลี่ยน เมื่อไม่เกิน 4-5 ปีมานี้เองครับ

เปลี่ยนแค่ว่า หาข้อมูลมากขึ้น และแบรนด์เจ้าตลาดเริ่มไม่ใช่ทางเลือกหลักอีกต่อไปสำหรับคนที่เิดรับข่าวสารเยอะๆ

แต่กับคนทั่วไป ที่ไม่ได้สนใจเรื่องรถ และต้องซื้อรถสักคันมันไม่ใช่อย่างนั้นเนี่ยสิ

ลองไปถาม คุณป้าเจ้าของร้านเสริมสวย เวลาคิดจะซื้อรถให้หลานสักคันดูครับ ป้าเค้าจะเลือกรถอะไร?
ไม่ต้องไปถามที่ต่างจังหวัดหรอกครับ เอาแค่ร้านเสริมสวยหน้าปากซอยบ้านคุณก็พอ จะเห็นคำตอบในโลกความจริงเลยละ!


ไม่ต้องอื่นไกล มีคนเพิ่งมาถามผมเรื่องซื้อรถ เขามาพร้อมกับคำถามที่ว่า

"ผมจะซื้อ Altis หรือ Civic ดีกว่ากัน"

ผมไล่ให้ไปดู Civic 1.8 เทียบกับ Sylphy 1.6

เจ้าตัวยังเหวอๆ เลย เหตุเพิ่งเกิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง
เพราะความไม่มั่นใจในแบรนด์ เขายังเชื่อถือในความทนมือทนตีนของ Toyota อยู่
และคิดว่ารถรุ่นใหม่จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ทั้งที่จริงๆแล้ว ก็ไม่แน่เสมอไป

ในช่วงนี้ ช่วงที่หลายค่ายรอง เริ่มขายดีขึ้น นี่คือช่วงเวลาสำคัญ
ทำศูนย์บริการให้ดี ดูแลลูกค้าให้ดี ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ต้องใข้เวลา
อย่าหวังแต่น้ำบ่อนี้ หรือน้ำบ่อหน้า แต่จงมองยาวๆ กินยาวๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2013, 15:14:18 โดย J!MMY »

ออฟไลน์ sith(สิทธิ์)

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,415
  • นับ1ใหม่
    • อีเมล์
แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมเห็นจากมาสด้าก็คือ
ตลอดเวลาที่ค่ายรถอื่นเผยโฉมรถรุ่นต่างๆกันออกมามากมาย
มาสด้าเงียบไปพักนึงซึ่งผมก็แปลกใจทำไมอยู่ดีๆเงียบจัง
แต่สิ่งที่ผมเห็นถัดมาก็คือ มาสด้าหันกำลังปรับปรุงเรื่อง0บริการและแอบซุ่มเงียบวิจัยอะไรรึเปล่า
ซึ่งที่ผมเห็นก็คือข่าวเจ้าสกายแอคทีฟ
และหลังๆมานี่ผมเห็นศูนย์บริการมาสด้าเริ่มเกิดขึ้นเริ่มผุดขึ้น และขยายขนาดของ0ให้ใหญ่ขึ้น
เหมือนเตรียมความพร้อมรองรับอะไรสักอย่าง ถ้ามองอีกมุมนึงผมคิดว่า
มาสด้าเอาจริงครับ ดีลเลอร์ต่างๆเริ่มปรับตัวด้านงานบริการมากขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมทำอะไรรับมือกับอะไรรึเปล่า
ซึ่งในตอนนี้ผมมองมาสด้ากำลังพยุงตัวเองในเรื่องยอดในรถรุ่นต่างๆที่มีในตอนนี้
แต่
เค้ากำลังจะทำอะไรกับตลาดรถในบ้านเราหรือเปล่า เห็นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นละ
ผมคิดว่า มาสด้าถึงแม้จะเป็นคนทำอะไรช้าๆ แต่ดูแล้วเค้ามองการณ์ไกลกว่าที่คิด
ถ้า
ขยายเร่งยอดขายรถให้มากขึ้นแต่งานบริการ0รถยังเหมือนเดิมผมว่าไปไม่รอด
ซึ่งเรื่องเร่งขายรถแต่ศูนย์ยังไม่รองรับ ผมว่าค่ายคู่แฝดมาสด้าอนาคตจะเจอปัญหาหนักกว่าทุกวันนี้
ตอนนี้ผมเห็นเหมือนกับว่า มาสด้ากำลังเตรียมพร้อมจากงานขั้นพื้นฐานเลยคือ
ทั้งศูนย์บริการและยอดขายในอนาคตรึอาจจะมีเซอร์ไพร์ก็ได้สำหรับค่ายนี้


ออฟไลน์ ichok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 791
    • อีเมล์
งั้นฮอนด้าคงมั่นใจในรถตัวเองมากเลยแป๊กไม่เป็นท่าอย่างบริโอ้ไง  ;)

ออฟไลน์ mooo

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
ตลาดเมืองไทยเมื่อเทียบกับตลาดโลก มันน้อยมาก  กำไรไม่คุ้ม

ถ้าตลาดเมืองไทยใหญ่เท่า เมืองจีน ยังพอไหว  

การขายสินค้าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ต่อให้แบรนด์ดังขนาดไหน  ถ้าไม่รู้จักตลาดเมืองไทยดีพอ ก็จะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง






ออฟไลน์ Jxxx

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 489
จิมมี่ตอบไปหมดแล้ว  :)

ออฟไลน์ NONT4477

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9,851
  • Let the SKYFALL
ให้อุดหนุน CX5 เยอะๆแบบพี่จิมมี่ว่าผมคงไม่เอาอ่ะ 555
ขอนอนรอข้ามช็อตไป 6 เลยดีกว่า เงินน้อย ค่อยเก็บ ;D
Top Gear's Biggest FAN!!! (IN MY House)
I'm NAC1701  ^ ^

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
งั้นฮอนด้าคงมั่นใจในรถตัวเองมากเลยแป๊กไม่เป็นท่าอย่างบริโอ้ไง  ;)

อย่างที่เขียนไว้ในรีวิว Brio เป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
และวิเคราะห์ สารพัดอค์ประกอบผิดพลาด แทนที่จะเลือกทำ Global Sub B-Segment
กลับทำออกมาแค่ตอบโจทย์ India กับ ไทย

ต้นทุนที่มีอยู่ เลยแพงเมื่อเทียบกับค่ายอื่น ที่มีเงินเท่ากัน แต่ทำรถออกไปทั่วโลก
สมมติว่า มีเงิน 8 พันล้านบาท ทำรถ ขายแค่ อินเดีย กับไทย
แต่คู่แข่ง มีเงิน เท่ากัน หรืออาจจะเป็น 9 พันล้านบาท ทำรถขายทั่วโลก

เริ่มเห็นใช่ไหมครับว่า แบบนี้ ต้นทุนต่อคัน ของใครจะสูงกว่า
ก็ต้องเป็นรถที่ใช้งบ 8 พันล้าน แล้วขายแค่ อินเดียกับไทย ถุกไหมครับ
ดังนั้น การหั่นออพชัน โน่น นี่ นั่น ออก จึงจำเป็นต้องทำ เพื่อพยุงให้
ตัวเลขของผลกำไร ทั้งกำไรต่อคัน กำไรต่อโครงการ มันยังอยู่ในระดับ
พออยู่ได้

รถก็เลยออกมาเท่าที่เห็นอยู่นี้


ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

เท่าที่ผมอ่านคอมเม้นของทุกๆคน สรุปได้ว่า สมาชิกกว่า90%ที่เข้ามาตอบ ไม่เห็นด้วยที่มาสด้าจะนำ มาสด้า6 เข้ามาขาย เพราะอาจจะขาดทุน

ผมเชื่อว่าลึกๆ หลายๆคนสบประมาทมาสด้า6กันอยู่ในใจ แม้กระทู้ first impression Mazda6  สมาชิกต่างเข้ามาบอกว่า ให้รีบเอาเข้ามาขายเถอะ ซื้อแน่ๆ เจ้าตลาดหนาวแน่

แต่พอผมตั้งกระทู้นี้ กลับมีแต่คนหาเหตุผลมาบอกว่าทำไม มาสด้าจึงยังไม่ควรนำมาสด้า6เข้ามาขาย

ผมคิดว่า มันลักลั่นย้อนแย้งจริงๆนะครับ  


ไม่ต้องไปดูอื่นไกลหรอกครับ แม้แต่ยูสเซอร์เดียวกันแท้ๆ กระทู้นั้นสนับสนุนให้เอาเข้ามาขาย เจ้าตลาดหนาวแน่ๆ แต่มากระทู้นี้บอกว่าเข้ามาขายแล้วอาจไม่คุ้ม สู้เจ้าตลาดไม่ได้

ผมยัง งง ว่าจุดยืนมันอยู่ตรงไหนกันแน่


ลองเข้าไปอ่านดู

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,30923.60.html

ผมยัง งง ว่า นี่เรากำลังพูดถึงรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันอยู่รึป่าว


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 18, 2013, 16:16:31 โดย SiamParagon »

ออฟไลน์ gorilla

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,462
ตลาดไทยไม่เหมือนตลาดประเทศเจริญแล้วแน่นอนครับ

คนส่วนใหญ่รายได้ต่ำ ซื้อรถทีเก็บเงินกันเหงือกแห้ง  ซ่อมง่าย ซ่อมถูก ขายต่อดี จึงเป็นปัจจัยหลักสำคัญ

คนมีรายได้พอประมาณ ก็ยังไม่วายห่วงเรื่องซ่อมถูก ราคาขายต่ออยู่ดี  คนกลุ่มนี้จะพอมีอายุนิดนึงที่ต้องการภาพลักษณ์ ดูน่าเชื่อถือ และดูหรูหราพอจะอวดได้


รถ กับ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชากรเค้ามองคนละมุมเลยครับ ลูกค้าจะเลือกสิ่งที่ถูกใจได้ง่ายกว่าปัจจัยรอบข้าง เพราะรายได้ดีเทียบกับราคารถที่ถูก  รถไม่ใช่สิ่งที่แสดงภาพลักษณ์ซักเท่าไหร่นัก  ยกเว้นพวก super car ถ้าแค่ Benz, BMW, Audi มันพื้นๆครับ ใครก็ซื้อได้  ผมเห็นพวกฝรั่งซื้อรถ ให้เต็มที่ราคารถไม่น่าเกิน 12 เท่าของรายได้/เดือน

ออฟไลน์ phraeboy_mz2

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,236
  • My Beloved Pal !
    • อีเมล์
Prius เนี่ย ผมมองว่า อย่างน้อย มันก็เป็น Halo Car ครับ คือยังไง Toyota ก็ต้องยื้อไว้เพื่อแสดงศักดิ์ศรีเจ้าพ่อ Hybrid เหมือนที่ Mazda พยายามยื้อ Rotary มาตลอด 30 ปีนั่นแหละ ประเภท "กินไม่ได้ แต่เท่ห์"
 
กรณี Mazda เนี่ย ใจผม ผมก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อว่า Mazda6 มันจะไปได้ในตลาดไทย ต่อให้จะได้ตัว wide-body ของทาง US มาก็ตาม เพราะ character ของตัวรถ มันค่อนข้างสวนทางกับตลาด D-Segment ของเมืองไทย ในช่วง 10 ปี มานี้ ที่ทำหน้าที่ รถภูมิฐาน ของคนที่สร้างฐานะได้แล้ว Mazda6 มันเหมาะกับขายประเภทที่คนที่ไม่รวยมาก หรือยังเด็กๆ ก็ซื้อรถใหญ่ขับได้มากกว่าครับ ประเทศที่รถใหญ่ มีแต่คนแก่ คนรวยที่ซื้อไหว อย่างบ้านเรา ผมว่าการทำตลาดก็ยาก เพราะคนที่ขับรถกลุ่มนี้ ก็ไม่ได้รวยขนาดจะไปบ้าความเป็น sport จี้ดจ้าดอะไร ไม่เหมือนระดับพวก 3-series หรือ CLA ครับ

ทางเดียวที่ Mazda จะขาย 6 ในบ้านเราได้ คือเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้าในกลุ่มนี้ไปเลย เช่น ทำให้วัยรุ่นมาซื้อรถ D-Segment (เอาตังค์จากไหน?) หรือทำให้คนแก่ เกิดอาการ Zoom-Zoom-Zoom ขึ้นมาครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว Honda ก็เคยเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ยอมรับรถ Hatchback ด้วย Jazz มาแล้วเหมือนกัน

เพียงแต่ มันเป็นการเดิมพันที่ยาก และความเสี่ยงมหาศาลมาก ต้องช่างน้ำหนักดีๆ ว่าคุ้มจะเสี่ยงไหม
อืมๆ ผมเห็นด้วยมากเลยคับ  ;)

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,015
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

เท่าที่ผมอ่านคอมเม้นของทุกๆคน สรุปได้ว่า สมาชิกกว่า90%ที่เข้ามาตอบ ไม่เห็นด้วยที่มาสด้าจะนำ มาสด้า6 เข้ามาขาย เพราะอาจจะขาดทุน

ผมเชื่อว่าลึกๆ หลายๆคนสบประมาทมาสด้า6กันอยู่ในใจ แม้กระทู้ first impression Mazda6  สมาชิกต่างเข้ามาบอกว่า ให้รีบเอาเข้ามาขายเถอะ ซื้อแน่ๆ เจ้าตลาดหนาวแน่

แต่พอผมตั้งกระทู้นี้ กลับมีแต่คนหาเหตุผลมาบอกว่าทำไม มาสด้าจึงยังไม่ควรนำมาสด้า6เข้ามาขาย

ผมคิดว่า มันลักลั่นย้อนแย้งจริงๆนะครับ  


ไม่ต้องไปดูอื่นไกลหรอกครับ แม้แต่ยูสเซอร์เดียวกันแท้ๆ กระทู้นั้นสนับสนุนให้เอาเข้ามาขาย เจ้าตลาดหนาวแน่ๆ แต่มากระทู้นี้บอกว่าเข้ามาขายแล้วอาจไม่คุ้ม สู้เจ้าตลาดไม่ได้

ผมยัง งง ว่าจุดยืนมันอยู่ตรงไหนกันแน่


ลองเข้าไปอ่านดู

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,30923.60.html

ผมยัง งง ว่า นี่เรากำลังพูดถึงรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันอยู่รึป่าว




สรุปง่ายๆ ครับ ความคิดเห็น 90% ที่คุณว่ามาก็คือ

พวกเราส่วนใหญ่ในนี้ชอบ Mazda6 ครับ แต่ไม่มั่นใจว่ามันจะขายได้

เพราะสภาวะตลาด กับสภาวะทางอารมณ์ของเรามันไม่ได้สอดคล้องกัน

การที่บอกว่า "ไม่น่าจะขายได้" ไม่ได้เป็นการบอกว่า รถมันห่วย คนละเรื่องกันครับ พวกเราแค่บอกว่า รถน่ะดี แต่ไม่แน่ว่าตลาดไทยจะยอมรับหรือเปล่าต่างหาก

เมื่อก่อนผมก็เป็นครับ เวลาไปญี่ปุ่น ก็ชอบคิดว่า ทำไมไม่เอารถรุ่นนู้น นี่ นั่น มาขาย รถสวยจะตาย

แต่พอบ้าเรื่องรถไปนานๆ ถึงเข้าใจว่า รสนิยมของคนส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศ มันไม่เหมือนกัน และเราเองก็อาจจะมีรสนิยมไม่เหมือนคนอื่นด้วย

ตัวอย่างง่ายๆ Wish กับ Innova ผมชอบ Wish แต่ผมก็เข้าใจว่าทำไม Wish ทำตลาดต่อไม่ได้ เพราะสภาพตลาดบ้านเราไม่รับไงครับ แถม logistic ของ Innova ยังได้เปรียบกว่าด้วยเพราะผลิตอินโด ทางนู้นเขาขายได้เยอะอยู่แล้ว แค่ไปตัดรถเขามาขายก็ใช้ได้ ในขณะที่ Wish ต้องตั้ง line ใหม่ มันไม่คุ้ม

โดยสรุปคือ รถที่เราชอบ ไม่จำเป็นต้องเป็นรถที่เราคิดว่าจะขายได้
และ รถที่เราไม่ชอบ เราก็อาจจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันจะขายได้ก็ได้ครับ
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ sith(สิทธิ์)

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,415
  • นับ1ใหม่
    • อีเมล์
ถ้าจุดยืนของผมคือ ผมรอรถครอบครัวของมาสด้าประเภท SUV or PPV
ถ้ากล้าเอาเข้ามา และ อุปกรณ์มาตราฐานมีให้ผมเอาครับ
ส่วนมาสด้า6 รึรถเก๋งของมาสด้าผมพอแล้ว ตอนนี้จุดยืนผมคือมองหารถครอบครัวเท่านั้น  ;D

ส่วนใจลึกๆอยากให้เอา M6 เข้ามาเพราะผู้บริโภคจะได้มีตัวเลือกมากขึ้น
 ;D

ออฟไลน์ Ponthakorn

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 437
    • อีเมล์
ขอบคุณทุกท่าน ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

เท่าที่ผมอ่านคอมเม้นของทุกๆคน สรุปได้ว่า สมาชิกกว่า90%ที่เข้ามาตอบ ไม่เห็นด้วยที่มาสด้าจะนำ มาสด้า6 เข้ามาขาย เพราะอาจจะขาดทุน

ผมเชื่อว่าลึกๆ หลายๆคนสบประมาทมาสด้า6กันอยู่ในใจ แม้กระทู้ first impression Mazda6  สมาชิกต่างเข้ามาบอกว่า ให้รีบเอาเข้ามาขายเถอะ ซื้อแน่ๆ เจ้าตลาดหนาวแน่

แต่พอผมตั้งกระทู้นี้ กลับมีแต่คนหาเหตุผลมาบอกว่าทำไม มาสด้าจึงยังไม่ควรนำมาสด้า6เข้ามาขาย

ผมคิดว่า มันลักลั่นย้อนแย้งจริงๆนะครับ  


ไม่ต้องไปดูอื่นไกลหรอกครับ แม้แต่ยูสเซอร์เดียวกันแท้ๆ กระทู้นั้นสนับสนุนให้เอาเข้ามาขาย เจ้าตลาดหนาวแน่ๆ แต่มากระทู้นี้บอกว่าเข้ามาขายแล้วอาจไม่คุ้ม สู้เจ้าตลาดไม่ได้

ผมยัง งง ว่าจุดยืนมันอยู่ตรงไหนกันแน่


ลองเข้าไปอ่านดู

http://www.headlightmag.com/webboard2011/index.php/topic,30923.60.html

ผมยัง งง ว่า นี่เรากำลังพูดถึงรถยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันอยู่รึป่าว




เห็นด้วยครับ