แบตเตอรี่ขนาด 1.5 kWhมันวิ่งได้แค่ 5-8 km เองมั้งมันก็ต้อง start เครื่องยนต์เป็นระยะๆปล่อยๆ
ผมว่าจะทำให้สิ้นเปลือง แถม ไม่พอสำหรับคนจะตีนหนักนิดๆเลย
สรุปแบบนี้จะไม่ประหยัดเท่าไร
ถ้าขนาดแบตเตอรี่ขนาดนี้ผมว่า e-power ไม่น่าใช้กว่า พวก เครื่อง turbo downsizing เท่าไรนะ
แต่ถ้าไว้แบตเตอรีเกิน 5 kWh ค่อยมาดูดีกว่านะสำหรับ e-power อ่ะ
ขอขยายเพิ่มอีกนิด ผมไม่รู้ผมต้องเขียนให้ชัดขนาดไหน ที่ผมเทียบกับรถ EcoCar นี้คือรถรุ่นใหม่ที่เป็นเครื่อง Downsizing แล้ว หรือเครื่องมีประสิทธิภาพที่จูนจนประหยัดอย่าง มาสด้า 2 ที่คนหลายคนขับกันได้ถึง 30 km/l ไม่ได้พูดถึงรถ EcoCar เฟสหนึ่งเครื่องโบราณอย่างพวก Almera ตัวเก่า หรือ อย่าง March ตัวเก่า
จริงผมเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน อย่างที่ผมใช้ Ciaz ผมก็ขับได้เฉลี่ยราวๆ 17.5 km/l ผมขับมาราวๆ เกือบ 2 เหมือนkmก็เติมน้ำมันไป ราวเกือบจะ 3หมื่นเอง
และที่อธิบายว่าทำไมถึงให้แบตใหญ่หน่อยก็อย่างอธิบายนะ เพื่อจะได้ให้ไม่ต้อง restart เครื่องยนต์บ่อยๆนะ และอีกอย่าง รอบในการที่ต้อง charge แบตเตอรี่ได้ไม่ต้องบ่อยๆด้วย เพราะเหมือนมือถือ ยิ่งเราชาร์ตบ่อยๆเท่าไร แบตเตอรี่ก็จะเสื่อมเร็วเท่านั้น
และโดยปกติการทำงานของแตเตอรี่ที่ดีควรทำงานในช่วงอุณหภูมิประมาณ 15-25 เซลเซียส ถ้าต่ำ 0 หรืออุณหภูมิเกิน 35 ก็จะไม่ค่อยดี
และบ้านเราอุณหภูมิบนท้องถนนเฉลี่ยเท่าไรครับผมว่าจะเกิน 35 องศานะครับ
ฉะนั้นการให้พยายาม recharge บ่อยๆที่อุณหภูมืสูงขนาดนั้นย่อมมีผลต่อค่าความเสื่อมของแบตเตอรี่เร็วขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน
ผมว่าคนออกแบบเขาลืมนึกถึงข้อมูลพวกนี้ไปด้วยนะ ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ต้องโดยชาร์ตบ่อยๆ และต้องอยู่ในที่อุณหภูมิบนท้องถนนแบบบั้นเราแบเตเตอรี่คงได้เสื้อมเร็วขึ้นแน่นอนครับ เพราะแบตเตอรี่ในระบบ e-power นี้ต้องถูกใช้งานอยู่ตลอดเวลาอย่างแน่นอน
และคงมีคนถ่ามว่าแล้วพวก HEV ไม่เจอปัญหาเหรอ ผมว่าเขาก็คงเจอเหมือนกัน แต่รถราคามันสูงอยู่แล้วนะครับ จะต้องมาเปลี่ยนแบตกันก็คงเรื่องธรรมดานะ และมันก็มีเครื่องยนต์อยู่แล้ว แค่ดูประหยัดน้อยลงเท่านั้น คงไม่รู้สึกเท่าไร
แต่ในแง่ของ e-power หรือ REEV ผมว่าคนใช้ส่วนใหญ่คงเน้นการประหยัดหรือต้นทุนราคาเป็นหลัก ต่างกับพวก HEV ก่อนหน้านี้ที่ราคาสูงและให้ประหยัดเพิ่มอีกหน่อยก็ดี แต่ราคารถจะต่างกันและคนใช้จะ sensitive กับค่าใช้จ่ายต่างกันนะครับ คือมันคนละตลาดอ่ะ
และอีกอย่างเพื่อประสิทธิภาพกรณีสมมติต้องขับขึ้นเขาระยะทางยาวๆหน่อยจะได้มีกำลังไม่จะขับรถขึ้นดอยสุเทพ หรือ ดอยอ่างขางต้องมาชาร์ตเครื่องตลอดเส้นทาง ทำให้เกิดมลพิษบนดอยอีกเยอะแยะ
และอีกอย่างผมว่าราคาแบตเตอรี EV มีแต่ละลดลงทุกๆปีนะ อย่างเมื่อปี 2019 เขาก็ว่าราคาแบตเตอรี EV ก็ลงมาถึง 145$ ต่อ kWh แล้ว
สมมติอีกถ้าผมใช้แบตเอรี่สัก 5 kWh เนือ้จากก้อนมันใหญ่อาจจะต้อง recharge ทุกระะยะการวิ่ง 25-30 km สมมติแบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมลงเหลือ ประสิทธิภาพ 60% เมื่อถูกชารต์ไปสัก 5000 รอบนะครับนั้น นั้คือก็วิ่งไปสัก 100000 km อย่างผมใช้รถปีละ 10000 km นั้นคือผมใช้รถสัก 10 ปีต่อยมาเปลี่ยนเจ้าแบตเตอรี EV และสมมติแบตเอตรี่อีก 10 ปีราคาลดลงเหลือ 70 $ kWh นั้นคือ 5 kWh ก็แค่ 350$ หรือราว 10,000 บาทผมก็ยินดีจ่ายนะเะพราะ 10 ปีแล้ว
แต่ในขณะที่ ถ้าแบตขาด 1.5 kwh มันวิ่งได้ 8 km ก็ต้องชาร์ตแล้ว ถ้าสมมติคิดที่รอบการขาร์ต 5000 รอบ นะนั้นคือแค่ราว 40,000 km ประสิทธิภาพอาจเหลือแค่ 60% และในมุมผมคือต้องเปลี่ยนแล้ว ถ้าคนใช้เยอะอาจแค่ 2 ปีนะ และวันนั้นราคาแบตเตอรี่อาจอยู่ราว 115$ / kWh นั้นคือ 2 ก็ต้องเปลี่ยนแบตแล้วไม่แพงครับราว 3,500 แต่อีก 2 ปีก็ต้องเปลี่ยนอีก 3,000 และอีก 2 ปี เปลี่ยนอีก 2500 และอีก 2ปี เปลี่ยนอีก 2000 และอีก 2ปีเปลี่ยนอีก 1500 แต่นั้นคือค่าของนะครับ ไม่รวบค่าเสียเวลาและค่าแรงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วยระหว่างทาง รวมถึงประสิทธิภาพโดยรวม ของการมีแบตก้อนใหญ่กว่าที่จะดีกว่ามากๆ รวมถึงการที่อาจจะเกิดมลพิษจากการต้องไปฉุดให้เครื่องยนต์เดิมเครื่องที่น้อยครั้งกว่า นั้นคือเกิดมลพิษที่น้อยกว่าด้วย และรวมถึงประสิทธิภาพในการใช้งานในช่วงที่จำเป็นต้องใช้กำล้งอย่างต่อเนื่องได้ยาวนานกว่าอย่างเช่นช่วงที่ขึ้นเขา หรือมีการแบกน้ำหนักที่มากขึ้นด้วย หรืออาจมีจังหวะที่ต้องเร่งแซงที่ไกลกว่าเช่นเร่งแซงขบวนที่ยาวๆรถพ่วง 3-4 คันได้อย่างสบายใจ แบบนี้เป็นต้นนะครับ
ส่วนตัวนะคือ ถ้าการปะรหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ได้ดีกว่า mazda 2 ได้นะ ก็ยากที่จะโน้มน้เาวให้คนประโยชน์ที่จะต้องใช้รถอย่าง e-power ยกเว้นจะขายถูกกว่านะ ซึ่งผมคิดว่า nissan ไม่น่าจะกล้าทำราคาแบบนั้น เพราะ อย่าลืมคุณกำลังจะเปิดสิ่งใหม่ ที่คนกลุ่มใหม่จะไปใช้อาจต้องเสี่ยงนะ เพราะ การขาดบุคลากร หรือความคุ้นเคยของคนในสังคมนะครับ
ส่วนตัวนะผมชอบแนวคิด e-power ครับมันเหมาะกับเมืองไทย
แต่จริงอยากใ้ห้ BOI บอกเลยจะลดภาษีให้เท่ารถ EV ไปเลยถ้าปล่อยมละิษต่ำ และเครื่องยนต์รองรับพวก น้ำมันพืชได้ดีเช่นรองรับพวก E85, B100 อะไรแบบนี้อ่ะ เะพราะในยามสินค้าเกษตรราคาตกต่ำในข่วงใด ก็ให้รัฐให้คนมาใช้พลังงานพวกนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเรามีรถที่มีเครื่องยนต์รองรับนะครับ และมันง่ายกว่าอยู่แล้ว เพราะถ้าสามารถทำให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบค่อนข้างคงที่นะ การจะออกแบบเครื่องยนต์พวกนี้น่าจะง่ายขึ้นด้วยหรือเปล่านะ แต่เพียงแต่ตอนี้ทางรัฐยังไ่ม่ได้มีมาตรการตรงนี้นะ ก็หวังในอนาคตจะเล็งเห็นกันนะ
แต่ถ้าสมมติ ด้วยตัว e-power ราคาไม่ได้ดีกว่ารถอย่างของ mazda2 หรือ แนว almera ใหม่ของ nissan เอง ก็ต้องถามนะ
ทำไมคนต้องมาใช้ e-power ในเมื่อต้องเสี่ยงกับที่ส่ิ่งที่ไม่คุ้นเคย เช่นเกิดไปเจอปัญหาในต่างจังหวัด หรือบนดอย และรถไม่ได้ประหยัดหรือถูกกว่าเห็นๆ ภามหน่อยทำไมต้องซื้อ e-power ใช้ครับ ซื้อรถอย่าง mazda2 หรือ almera เครื่อง 1.0 ก็พอไหมครับ
นี้คือจุดที่พูดว่าทำไมควรจะทำให้แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นไปเลยนะครับอักนิดนะครับ
ขอขยายความนะครับ ไหนอุส่าห์ ทำเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งตั้งชื่อว่า e-power นะผมไม่ได้คาดหวังแค่พลังกำลังที่อัตราเร่งจะดีขึ้น
แต่จริงๆที่หวังมากกว่าคือ การประหยัดพลังงานนะครับ
ขนาดพวก ลด turbo downsizing อย่าง mazda2, City, Almera นี่ก็ 23-30 km/l
ผมก็คาดหวังว่า kick e-power ใช้งานจริงจะได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อย่างน้อย 22-25 km/l และถ้าได้มากกว่า 25km/l ก็ยิ่งดี โดยที่จะยังปล่อยค่า CO2 ควรต่ำกว่าพวก EcoCar ด้วยก็จะดี นั้นคือที่ผมคาดหวัง ไม่ใช้บอกได้ 22 km/l แต่ต้องขับทางไกลแบบนั้นถึงจะได้อ่ะ แถมยังมีการปล่อย CO2 สูงกว่า EcoCar อีก
และที้บอกว่าแบตเตอรี่ควรมีขนาดใหญ่เพื่อ เครื่องยนต์แค่หยุดพัก 3-4 นาทีก็มาทำงานใหมอีกครั้งแบบนี้ตลอด ผมคาดหวังว่าให้เครื่องยนต์พักไปสัก 10-15 นาทีไปเลยก็จะดีเลยไหม
เพราะนั้นหมายถึงต่อระยะทางการเดินทางการใช้พลังงานเชื้อเพลิงน่าจะน้อยลงกว่าไหมเพราะไม่ต้องออกแรงเพื่อ restart เครื่องยนต์ขึ้นใหม่ปล่อยๆซึ่งทุกครั้งที่ restart คือการต้องออกแรงมากในการเริ่มต้นให้เครื่องยนต์ทำงาน
และการมีขนาดแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้นขนาด 5-10 kWh สมมติรถต้องขึ้นเขาทางชันยาวๆสัก4-5 km ก็สามารถขึ้นได้ถึงสบายโดยไม่จำเป็นต้อง restart ใหม่เลยก็ได้
ถ้าออกมาการประหยัดไม่ได้ดีกว่า EcoCar turbo downsizing แบบนี้จะไปเลือกใช้ e-power ทำไมเมื่อประสิทธิภาพไม่ได้ดีเหนือกว่าชัดเจน