ผู้เขียน หัวข้อ: EV พัฒนาเร็วมาก ผู้ที่จะเปลี่ยนรถใหม่ ควรรอให้เทคโนโลยี่นิ่งเสียก่อนไหมครับ  (อ่าน 49854 ครั้ง)

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,947
    • อีเมล์
ออกตัวก่อนเลยว่าชอบ ev ครับ

โดยปกติไม่มีรถคันเดียวอยู่แล้ว (หลายท่านในที่นี้ก็คงไม่ขับคันเดียวแน่)

ดังนั้น ตรรกกะ ของผมคือ

ใช้ ev ไปตลาด รับส่งลูก ไปโรงเรียน

ส่วนทางไกล ก็ใช้น้ำมันก่อนละกัน

รอจนกว่า แบตจะมีให้เปลี่ยนถังแบบ แก้ซ

หมดปุ้บเปลี่ยนปั้ป

นั่นล่ะน่าสน ev ล้วน

          คงใช้วิธีเปลี่ยนแบบถังแก๊สไม่ได้แน่ๆ  เพราะแบตของรถแต่ละคันใหม่เก่าไม่เท่ากัน  ราคาแบตก็แพง ราคาแบตใหม่กับแบตเก่าน่าจะต่างกันหลายแสนบาท  ถ้าร้านเอาแตเก่ามาเปลี่ยนแทนแบตใหม่ เจ้าของรถคงไม่ยอม  อีกอย่างการเปลี่ยนแบตน่าจะต้องใช้เวลานานเกินครึ่งชั่วโมง  ซึ่งเทคโนโลยีปัจจุบันนี้ใช้เวลาชาร์ตแบตไม่เกินครึ่งชั่วโมงได้แล้ว  ระยะเวลาครึ่งชั่วโมงก็ถือว่าไม่นาน  ผมลองจับเวลาดู ถ้าผมไปเติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ แล้วกลับมาที่รถ  ใช้เวลาเกิน  20  นาทีทุกครั้ง  ถ้าผมแวะเติมน้ำมันแล้วกินข้าวด้วย ใช้เวลาเกิน  40  นาทีทุกครั้ง 

ออฟไลน์ Smith686

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,947
    • อีเมล์
....ผู้ที่จะเปลี่ยนรถใหม่ (ซื้อป้ายแดง) ควรต้องรอ รถ EV หรือเปล่า เท่าที่สังเกตุเห็นค่ายรถแต่ละค่ายพัฒนา EV อย่างรวดเร็วมาก พวกที่เปลี่ยนซื้อรถใหม่ EV เวอร์ชั่นแรกๆจะโบราณตกรุ่นไวมากๆทันที และจะเป็นการเสียเปรียบหรือไม่ เพราะ EV พัฒนาเร็วมาก หรือควรรอให้เทคโนโลยี่นิ่งเสียก่อน ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปก่อน แบบนี้จะคุ้มกว่าหรือไม่
....และเมื่อ EV มีจำนวนมากแล้ว ตลาดรถมือสองจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะยังนิยมซื้อรถมือสองอยู่อีกหรือไม่....

       ผมว่าสมรรถนะของ EV รุ่นใหม่ต่างจากเดิมไม่มากนะ  แต่ก็คงมีการพัฒนาบ้างไม่ต่างจากรถที่ใช้น้ำมัน  แต่สิ่งที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะน่าจะเป็นราคารถ  ช่วงที่เริ่มมี EV ใหม่ๆรถจะราคาแพง  แต่ต่อไปราคาคงจะลดลงเรื่อยๆ  สิ่งที่ทำให้น่ารอรถรุ่นใหม่น่าจะเป็นราคามากกว่า

ออฟไลน์ MUK

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,999
ถ้ามีรถขี่ได้แบบไร้ปัญหา ผมว่ารอก็ไม่เสียหลาย ผมว่ามันเหมือนจะก้าวกระโดด และคิดว่า เรื่องชาร์จน่าจะก้าวกระโดดตาม ใครปล่อยของก่อนอาจจะได้ขายดี ถ้าภาษีถูก และเจ้าที่จะตามมาก็ต้องเน้นที่ดีกว่าแน่ๆ แต่ 10ปี รถย้ำมันก็จะยังมีใช้และน้ำมันจะราคาถูกลง เพราะไม่มีใครใช้ สถานที่ชาร์จ ผมว่ามันทำง่ายกว่า ปั้มน้ำมัน เพิ่มง่่่ายกว่า เพราะไม่ต้องขุดที่เก็บ ไฟไม่พอก็ทำไร่ โซล่าเซลล์ ต่อเข้าระบบ ผมว่ามีทางออกมากกว่าน้ำมัน ไม่ต้องซื้อล่วงหน้า 6 เดือน ปี  โกหกกันไปวันๆ กำไรเพียบ โบนัสเพียบ ประชาชนจน

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,150
ตอนนี้คือ EV ทำมาให้คน "มีอันจะกิน" ซื้อนะครับ

ถ้าไม่ได้มี Cash Flow ที่ดีอย่าซื้อเลยครับ เอาง่ายๆ คือซื้อรถคันเดียวก็ฝืดเคืองแล้ว ใช้รถน้ำมันไป คุ้มกว่า

แต่ถ้ามีอันจะกิน ก็จะรู้ว่ามันเป็นรถที่คุ้มค่ามากครับ

สำหรับผมมีรถ 2 คันอยู่แล้ว ถ้าคันนึงใช้ EV สบายๆ อีกคันเอาไว้เดินทางไกล เป็นน้ำมันหรือไฮบริด แบบนี้ชิวๆ ครับ

ผมย้ำนะครับ "มีอันจะกิน" ไม่ใช่ "รวย"

เอาง่ายๆ มีปัญญาซื้อ Dsegment ได้ ก็มีปัญญาใช้ EV แบบสบายๆ

ถ้าย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว จะซื้อ EV ได้คือต้อง "รวย" คือซื้อรถระดับ 3-4 ล้านแบบชิลๆ

ต่อไปอีก 5 ปี รถ EV ก็จะเป็นรถที่คนที่ซื้อ b segment ได้ สามารถซื้อได้ ตามลำดับครับ

ในอีก 10 ปีก็ ราคาไม่ต่างจาก eco car ถึงจุดนั้นคน EV ก็จะบูมจริงจังครับ

ถ้าถามว่ารอให้นิ่งมั้ย ตอนนี้เทคโนโลยี EV มันก็นิ่งแล้วนะครับ มีแค่ราคาแบตปรับลดลงเรื่อยๆ เอาง่ายๆ ถ้าซื้อตอนนี้มันก็จะแพง ซึ่งก็ย้อนกลับไปที่ว่า คนจะซื้อได้ ต้อง "มีอันจะกิน" ครับ

ออฟไลน์ mochalatte

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 357
เราคงเติมแก๊สให้รถที่บ้านไม่ได้แน่ฯ
แล้วจะไปต่อแถวยาวฯทำไม ถ้าคุณไม่ได้ขับรถ taxi
แค่กลับบ้านแล้วเสียบ

โลกเปลี่ยนไป
พลังงานที่เอามาเติมรถEV มันใช้น้อยกว่าพลังงาน fossils ที่ต้องมาขับเคลื่อนรถสันดาป
ที่สำคัญ...มันปล่อยมลพิษ(0) ศูนย์ % ในทุกที่ฯมันไป
จะในโรงเรียน ในห้าง ในบ้าน และบนถนน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 04, 2020, 21:37:47 โดย mochalatte »

ออฟไลน์ adiPureII

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 246
    • อีเมล์
ผมไม่คิดจะรอ จะเอาเลย EV ทุกวันนี้อยู่คอนโด ลำพังที่จอดรถยังหายาก บางทีต้องจอดซ้อน
ที่ทำงานก็เป็นลานจอดกว้างๆ จะไปชาร์ตที่ไหน

ถึงอนาคตมีสถานชาร์ต เอารถไฟจอดชาร์ตไว้ แล้วมาทำงานยังไง
เดินมา สมมุติ 2 กม เหงื่อท่วมชุดทำงานแน่ ถ้านั่งวิน ก็ 30 บาท

ผมผ่อนป้ายแดงหมด ผมว่า EV ก็ยังไม่พร้อมสำหรับ life style ของมนุษย์เงินเดือนใน กทม.

มามองภาพคน ตจว.
รถไม่ติด วิ่งวันนึงเสียค่าน้ำมันไม่เท่าไร เขาก็ไม่คิดอยากใช้เท่าไรหรอก

ออฟไลน์ ariazero

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 621
รอครับ

รถ Hybrid รอ 15-20 ปี

ในไทยมีเหตุผลเพียงพอ ให้ทำแบบนั้นครับ

ดูพัฒนาการรถกระบะในไทยเป็น บรรทัดฐานได้ครับ
'8X Familia, '91 TFR ,
'94 Sunny B13, '98 520i (E28), '99 Sunny B14,
'08 Vios, '08 C200, '08 Vitara
'15 Vios, '17Accord G9 MC, '17 X1 18i

ออฟไลน์ SRY

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 713
มองดู NGV แล้ว จบ
นั่นแหละ เหตุผล

ออฟไลน์ Amnaj

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 511
รอจนกว่าสถานีชาร์จ จะมีทุกตำบลในประเทศค่อยใช้

ออฟไลน์ seeker

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,525
คำว่านิ่งของ จขกท คืออะไรครับ
ผมว่าตัวรถเสถียรในระดับที่ใช้ได้แล้ว แต่ราคายังเหมือนเป็น toy car ของคนมีเงินอยู่
ต้องพัฒนาระบบ ecosystem ด้วย

1 เมื่อเทียบกับรถน้ำมันแพงกว่าสูงสุดไม่เกิน 20% ใน segment เดียวกัน
2 ขับเที่ยวทั่วไทยได้สะดวก มีสถานีชาร์ทรองรับ และใช้เวลาชาร์ทใกล้เคียงกับน้ำมัน
3 มีอู่ซ่อมภายนอก ไม่ใช่ต้องเข้า 0 อย่างเดียว

ปล
เพื่อนผมขับ glc จะถึงรอบเปลี่ยน แต่อยู่ ตจว ผมเชียร์ e-tron เพื่อนถามปมว่า ถ้าไม่ชาร์ทที่บ้านจะให้ไปชาร์ทที่ไหนละ

ถ้าอยู่มีรถ ev สัก 1 ล้านคัน โรงไฟฟ้าในไทยจะพอหรือไม่
ค่าไฟตอนกลางคืนจะแพงขึ้นหรือไม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2020, 05:33:33 โดย seeker »

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
วิ่งได้ 400-500 โล แบบใช้งานจริง ผมถึงยอมใช้

หรือมี Powerbank ให้แบกไปด้วย ผมถึงยอม

คือ มันเสียอารมณ์มั้ย มีรถสมรรถนะดีๆ เร่งทีหลังติดเบาะ
ศูนย์ถ่วงต่ำ เงียบ ไม่มีมลพิษ
แต่วิ่งได้แค่ 200 โล ออกตจว.ไม่ได้ แล้วจะมีไปเพื่ออะไร?

ออฟไลน์ HHHsung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,385
จะบอกว่าเทคโนโลยีมันนิ่งมาซักพักนึงแล้ว ไม่รู้จะเชื่อที่ผมว่ามั้ย

ส่วนที่เป็นอิเลคทรอนิคส์หรือมอเตอร์ไฟฟ้ามันล้ำนานละ แต่ยังถูกดึงด้วย สเปคแบตเตอรี่ที่ยังตามไม่ทันอยู่

จุดเปลี่ยนสำคัญคือแบตเตอรี่ แต่ไม่ต้องกังวล ตลาดแบตเตอรี่ใหญ่มาก ทุกคนเร่งพ้ฒนาอยู่ ไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ

ปล. รถถ้าจำเป้นต้องใช้ ซื้อๆ ไปเถอะ มันไม่ล้มหาตายจากไปทันทีหรอก ต้องใช้เวลาหลายปี


ออฟไลน์ pladaek

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,020
  • FF1.5SMG
ผมคนนึงที่ไม่รอ และไม่ได้สนใจรถ EV อะไรมากมาย
ตราบใดที่สถานีชาร์จมีแค่หยุมหยิม ไม่กี่สถานี และเวลาในการชาร์จที่ถึงกับนอนรอได้
ไม่ได้ขับรถเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุด.. แต่ขับรถเพื่อเจอช่วงเวลาที่ดีที่สุด..

ออฟไลน์ Sacrifice

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 590
ในฐานะคนซื้อรถ ผมว่าไม่ต้องคิดมากหรอก

จะใช้รถ NA ต่อไปก็มีปั๊ม อะไหล่ support อีกยาว

หรือจะเปลี่ยนมาเล่น EV ก็ได้ภาพลักษณ์ ทันสมัย ดู cool รักโลก
แต่ยังใช้ เดินทางไกลไม่ได้ ที่ชาร์จยังไม่ค่อยพร้อม   ต้องมีรถน้ำมันอีกคันไว้เดินทางไกล

แต่ในฐานะ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ หรือประกอบรถยนต์ นี่คิดหนักเลย 
เกิดวันนี้ เทคโนโลยีแบตมันราคาถูกขึ้น ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
จนลูกค้าไม่ซื้อรถ NA แล้ว จะย้ายการผลิตจากรถ NA ไป EV มันค่อนข้างใช้เวลาค่อนข้างนาน

ออฟไลน์ dailioh

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 55
    • อีเมล์
ตอนนี้ ผมใช้รถ hybrid อยู่ครับเพราะมันตอบโจทย์กว่า ev ก็จนกว่า ev จะตอบโจทย์การใช้งานจริง ไม่ใช้มาต้องวางแผนการเดินทางการ ชาท นั่นละผมถึงเปลี่ยนเป็น ev

ออฟไลน์ num_tm

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 50
ผมกลับมองว่า รถ EV มันยากมาก ที่จะบูมในเมืองไทย
1. ระยะทางในการวิ่งต่อการชาร์ต 1 ครั้ง ถึงจะบอกว่าวิ่งได้ 300-400 กม. แต่ถ้าไปใกลกว่านั้นลำบากแน่ ต่อให้มีสถานีชาร์ตก็เหอะ ชาร์ตนานขนาดนั้น ควิกชาร์ตก็ถือว่านานกว่าน้ำมันมาก แล้วยิ่งขับรถกลับช่วงเทศกาล ไม่เหมาะเลยสักนิด
2. แบตเตอรี่น่าจะเหมือนกับแบตเตอรี่มือถือ ใหม่ๆก็วิ่งได้ตามที่เคลมไว้ 300-400 กม. แต่ตามหลักประสิทธิภาพแบตมันจะลดลงเรื่อยๆ
3. วิธีคนเมืองแค่หาที่จอดรถยังยาก จะหาที่จอดชาร์ตตรงไหน เช่าที่จอดเพื่อชาร์ตไฟเหรอ เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายเข้าไปอีก

ออฟไลน์ น้ำเขียว

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 160
    • อีเมล์
ส่วนตัวอยากเริ่มจาก hybrid ก่อนแล้วไป ev ปกติก็ใช้รถแค่อยู่ในเมืองรับส่งลูกถ้าราคาสามารถจับต้องได้คงใช้ทั้งประหยัดสะอาด ถ้าพร้อมคงไม่รอเทคโนโลยีนิ่งเราไม่รู้เมื่อไรมันจะนิ่งคงไม่ได้ใช้แน่

ออฟไลน์ O_o"

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,359
เทคโนโลยี EV ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดนิ่งหรอกครับ ถ้าจะรอจนถึงขนาดนั้น คงไม่ได้ซื้อมาใช้งาน

เห็นรถ EV รุ่นไหนตรงใจ ก็ซื้อเถอะครับ ยิ่งปีนี้ค่ายรถทั่วโลก ทั้งค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ พร้อมใจเปิดตัวรถ EV ออกมากันเยอะมาก


ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

ผู้บริโภคเค้าไม่สนใจว่า อุตสาหกรรมทำรถ ice ในประเทศจะตามไม่ทันหรอกนะคับ EV นำเข้าจากจีน และอีกหน่อยจากอินโดเพิ่มอีกที่ มันเหนือกว่า ขับดีกว่า ประกอบดีกว่า แถมราคาถูกกว่ารถ ice, hev ที่อุตภายในพยายามยัดเยียดขาย  ผู้บริโภคก้อซื้ออีวีนอก มุขชาตินิยมแฝงเตรียมเอาเปรียบกั๊กๆ ไม่ได้ผลแล้วในยุคนี้

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

ผู้บริโภคเค้าไม่สนใจว่า อุตสาหกรรมทำรถ ice ในประเทศจะตามไม่ทันหรอกนะคับ EV นำเข้าจากจีน และอีกหน่อยจากอินโดเพิ่มอีกที่ มันเหนือกว่า ขับดีกว่า ประกอบดีกว่า แถมราคาถูกกว่ารถ ice, hev ที่อุตภายในพยายามยัดเยียดขาย  ผู้บริโภคก้อซื้ออีวีนอก มุขชาตินิยมแฝงเตรียมเอาเปรียบกั๊กๆ ไม่ได้ผลแล้วในยุคนี้

ผู้บริโภคไม่สน แต่ก็ไม่มีพาวเวอร์พอที่จะสู้กับรัฐบาล หรือคนที่คุมอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศนี้ได้ไงครับ

คนคุมเกมส์คือใคร ถ้าไม่ใช้นายทุน และรัฐ

ไม่งั้นก็เอารถจีนมาขายอีกสิครับ ทำไมไม่มากันล่ะ คนอยากซื้อมี แต่ก็ไม่มา เขากลัวอะไรล่ะ

MacH1

  • บุคคลทั่วไป
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

ผู้บริโภคเค้าไม่สนใจว่า อุตสาหกรรมทำรถ ice ในประเทศจะตามไม่ทันหรอกนะคับ EV นำเข้าจากจีน และอีกหน่อยจากอินโดเพิ่มอีกที่ มันเหนือกว่า ขับดีกว่า ประกอบดีกว่า แถมราคาถูกกว่ารถ ice, hev ที่อุตภายในพยายามยัดเยียดขาย  ผู้บริโภคก้อซื้ออีวีนอก มุขชาตินิยมแฝงเตรียมเอาเปรียบกั๊กๆ ไม่ได้ผลแล้วในยุคนี้

ผู้บริโภคไม่สน แต่ก็ไม่มีพาวเวอร์พอที่จะสู้กับรัฐบาล หรือคนที่คุมอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศนี้ได้ไงครับ

คนคุมเกมส์คือใคร ถ้าไม่ใช้นายทุน และรัฐ

ไม่งั้นก็เอารถจีนมาขายอีกสิครับ ทำไมไม่มากันล่ะ คนอยากซื้อมี แต่ก็ไม่มา เขากลัวอะไรล่ะ

จับตาดู BYD นะคับ ผมได้ยินจากวงใน จะเอา E1, E2 เข้ามา  กำลังไปคุยกับ grab อยู่ ราคาแว่วมาว่าไม่เกิน 350,000 บาท

MG รอดู MG5 EV Wagon, MG/Roewe Marvel-X, MG E-motion

ส่วน Nio ต้องรอเค้าขายในEuro ก่อน ตอนนี้ไปเปิดบริษัทสาขารอไว้อยู่ มีรถ ES9 เข้าไปเทสบนถนนกันแล้ว

Mini Cooper SE หลังจากตัวทำ UK 20 คันขายหมดแล้ว ล็อตถัดๆไปจะมาจากจีนทั้งหมด

BMW iX3 จ่อรอเข้า BMW TH ไม่ได้ยื่น BOI โครงการ BEV ยุทธศาสตร์ในเอเชียเค้าคือสั่ง BEV ผลิตในโรงงานที่ Shenyang มาทำตลาด

Volvo รอดู XC40 recharge, Polestar 2 ผลิตที่ Luqiao

FTA มันคือดีย์  8)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 05, 2020, 11:34:07 โดย Ivy Modernist »

ออฟไลน์ delete

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,963
    • อีเมล์
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

ผู้บริโภคเค้าไม่สนใจว่า อุตสาหกรรมทำรถ ice ในประเทศจะตามไม่ทันหรอกนะคับ EV นำเข้าจากจีน และอีกหน่อยจากอินโดเพิ่มอีกที่ มันเหนือกว่า ขับดีกว่า ประกอบดีกว่า แถมราคาถูกกว่ารถ ice, hev ที่อุตภายในพยายามยัดเยียดขาย  ผู้บริโภคก้อซื้ออีวีนอก มุขชาตินิยมแฝงเตรียมเอาเปรียบกั๊กๆ ไม่ได้ผลแล้วในยุคนี้

ผู้บริโภคไม่สน แต่ก็ไม่มีพาวเวอร์พอที่จะสู้กับรัฐบาล หรือคนที่คุมอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในประเทศนี้ได้ไงครับ

คนคุมเกมส์คือใคร ถ้าไม่ใช้นายทุน และรัฐ

ไม่งั้นก็เอารถจีนมาขายอีกสิครับ ทำไมไม่มากันล่ะ คนอยากซื้อมี แต่ก็ไม่มา เขากลัวอะไรล่ะ

จับตาดู BYD นะคับ ผมได้ยินจากวงใน จะเอา E1, E2 เข้ามา  กำลังไปคุยกับ grab อยู่ ราคาแว่วมาว่าไม่เกิน 350,000 บาท

MG รอดู MG5 EV Wagon, MG/Roewe Marvel-X, MG E-motion

ส่วน Nio ต้องรอเค้าขายในEuro ก่อน ตอนนี้ไปเปิดบริษัทสาขารอไว้อยู่ มีรถ ES9 เข้าไปเทสบนถนนกันแล้ว

Mini Cooper SE หลังจากตัวทำ UK 20 คันขายหมดแล้ว ล็อตถัดๆไปจะมาจากจีนทั้งหมด

BMW iX3 จ่อรอเข้า BMW TH ไม่ได้ยื่น BOI โครงการ BEV ยุทธศาสตร์ในเอเชียเค้าคือสั่ง BEV ผลิตในโรงงานที่ Shenyang มาทำตลาด

Volvo รอดู XC40 recharge, Polestar 2 ผลิตที่ Luqiao

FTA มันคือดีย์  8)

รีบมาเลยครัช แต่เดี๋ยวรอดูได้เลยว่าก็จะมีพวกที่บ่นเรื่องจุดชาร์จ ระยะเวลาในการชาร์จ ราคาแบต อะไรอีก เยอะแยะวุ่นวาย
ยิ่งประเภทที่เอาสเปกแบบเทสล่า แต่จะเอาราคาอีโคคาร์ ก็เพียบ
ตอนนี้ขอดูตัวเลขยอดขายให้ได้สัก 10,000 คัน/ปี ก่อน ค่อยว่ากันอีกที อิอิ

ออฟไลน์ koko86

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,593
    • อีเมล์
จริงๆเทคโนโลยีมันก็เร็วอยู่แล้ว แถมราคาก็ไม่ได้เอื้อมถึงยากแล้ว
เพียงแค่ว่าเรามันอยู่ในประเทศที่มีอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตฺเครื่องสันดาปเป็นกระดูกสันหลังของระบบเศรษฐกิจไทย
แถมยังพึ่งพารายได้จากการจัดเก็บภาษ๊สรรพสามิตจากน้ำมันเชื้อเพลิงถึง20% ของรายได้ประเทศ

ถ้ามีเทสล่าขาย ในราคา 1.3-1.5 ล้าน เหมือนเมืองนอก ยังไงคนไทยก็ซื้อได้
ส่วนรถในระดับราคา 7-8แสน อย่าง mg zs ev(ราคาในจีน) ก็ซื้อกันได้

ส่วนเรื่องการชาร์จ เทสล่าสามารถใช้เวลาชาร์จ15-20 นาที แล้วขับไปด้วยความเร็ว120 ไปได้200กิโลเมตรได้เลย
ส่วนรถระดับล่าง อย่าง zs ev ก็ใช้เวลา30นาที แล้วขับได้ในระยะทาง200กิโลเช่นกัน

ลองนึกถึงเวลาขับทางไกล 200กิโลเมตรพักทีนึง อย่างน้อยก็ 15-20นาทีอยู่แล้ว กว่าจะเข้าห้องน้ำ ไปสั่งกาแฟ แวะร้านสะดวกซื้อ
หรือหากพักทานข้าว ก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 นาทีอยู่แล้ว

เรื่องไฟไม่พอใช้ ไม่มีโรงไฟฟ้า จริงๆเรื่องนี้เคยมีการพูดถึงแล้ว ตอนนี้คร่าวๆมีความต้องการกระแสไฟฟ้าอยู่วันละ 30,000 เมกะวัต์ (30,000,000kw กิโลวัตต์) กำลังการผลิตปัจจุบัน มีราว 42,000-43,000 เมกะวัตต์ มีกำลังไฟฟ้าสำรองมากถึง 10,000 เมกะวัตต์ (สิบล้าน กิโลวัตต์ 10,000,000 kw)
รถ 1 คัน เอา zs ev ละกัน ง่ายๆ ใช้ไฟ 40kw(แต่ถามจริงๆ เอาแค่การเดินทางประจำวัน ไม่ถึง20kwหรอกครับ) ตอนนี้มี 3พันคัน(ตีให้มากสุดเลย จริงๆเพิ่งผ่าน 2 พันคันไป) จะใช้ไฟรวม40*3000= 120,000kw (กำลังไฟสำรองมีมากกว่า 10ล้านkw)
ระบบมันยังรองรับได้อีกมากมาย

จริงๆมีการตั้งคำถามในเวบต้องห้ามไว้แล้ว แต่ไม่เอามาลงในนี้เพราะต้องห้าม เขาคำนวณการใช้ไฟของรถ 1 ล้านคัน ต่อวัน ใช้ไฟเพิ่มแค่ไม่ถึง 5,000 เมกกะวัตต์ (กำลังสำรองมี 10,000 เมกกะวัตต์)

นี่ยังไม่รวมแผนพัฒนาไฟฟ้าประจำปี ที่จะต้องเพิ่มขึ้นตามความต้องการในแต่ละปีอยู่แล้ว การไฟฟ้าเขาทำไว้แล้ว (แต่จะใช้ไฟฟ้าจากตรงไหน มันอีกเรื่องนึงนะ ไม่เกี่ยวกัน ขอยังไม่พูดถุง)

จากตอนนี้ มีไม่ถึ 3 พันคัน จนกว่าจะมีถึง 1 ล้าน (3,000 ------- 1,000,000) ใช้เวลากี่ปี กว่าจะถึง
ตอนนั้นก็คงมีกำลังไฟฟ้ารองรับเพียงพออยู่แล้วล่ะครับ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
กระจ่างเลยว่ากำลังไฟ มันพอมีอยู่
มองไปนอกหน้าต่างก็อยากให้รถไฟฟ้าได้รับความนิยมเร็วๆเหมือนกันครับ
มันจะได้ช่วยแก้ปัญหามลพิษอย่างถาวรบ้าง

ออฟไลน์ panjap

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,259
สถานีชาจตอนนี้เรียกว่ามีเหลือๆ ในกรุงเทพนี่ก็เยอะมากแล้ว ส่วน ตจว.ก็น้อยไปตามสัดส่วน
ของ EA นี่ก็ 500 กว่าแห่ง ไม่รวมบิ้กซี กับ 7-11 อีก ร้อยกว่าแห่งที่กะลังรอติดอยู่ เรียกว่า ทุกๆ 5 กิโล ในกรุงเทพ มีสถานีชาจแน่นอน  อย่างนี้จะเรียกว่าน้อยได้ไง ผมยังงง ในเมื่อมันมีเยอะกว่าสถานีเติมน้ำมันเสียด้วยซ้ำ

ปัจจัยหลักคือ รถนั่นเอง ว่าชาจเร็วได้ขนาดไหน เร็วสุดตอนนี้ ก็ 15 นาที 80 % ด้วยรถ mine ที่กำลังจะออกเมษานี้  แต่ถ้าปัจจุบันก็ราว 30 นาที สำหรับ mg ก็น่าจะถือเป็นมาตรฐานปกติสำหรับรถ EV ในการ quick charge  ตรงนี้ต่างหากที่จะเป็นตัววัด ว่า รถ ev มันจะไปได้ขนาดไหน ถ้ารถ สามารถ quick charge ได้ 15 นาที ผมว่า คนคงปฏิเสธการใช้ยากอยู่ เพราะรถ ev ยังไงมันก็ค่าดูแลต่ำกว่ารถน้ำมันมากนัก

ออฟไลน์ iamitman

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 301
    • อีเมล์
ส่วนตัวผมว่ามันนิ่งประมาณนึงแล้วนะครับ คันต่อไปถ้าไม่ติดอะไร อยากไป EV หรืออย่างน้อย PHEV

รถคันปัจจุบันเป็นรถจูน E85 อยู่ เผลอๆจะหาเติมยากกว่าสถานีชาร์จไฟครับ  :-X ส่วนตัวเลยไม่ค่อยกังวลครับ

ออฟไลน์ mochalatte

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 357
สถานีชาจตอนนี้เรียกว่ามีเหลือๆ ในกรุงเทพนี่ก็เยอะมากแล้ว ส่วน ตจว.ก็น้อยไปตามสัดส่วน
ของ EA นี่ก็ 500 กว่าแห่ง ไม่รวมบิ้กซี กับ 7-11 อีก ร้อยกว่าแห่งที่กะลังรอติดอยู่ เรียกว่า ทุกๆ 5 กิโล ในกรุงเทพ มีสถานีชาจแน่นอน  อย่างนี้จะเรียกว่าน้อยได้ไง ผมยังงง ในเมื่อมันมีเยอะกว่าสถานีเติมน้ำมันเสียด้วยซ้ำ

ปัจจัยหลักคือ รถนั่นเอง ว่าชาจเร็วได้ขนาดไหน เร็วสุดตอนนี้ ก็ 15 นาที 80 % ด้วยรถ mine ที่กำลังจะออกเมษานี้  แต่ถ้าปัจจุบันก็ราว 30 นาที สำหรับ mg ก็น่าจะถือเป็นมาตรฐานปกติสำหรับรถ EV ในการ quick charge  ตรงนี้ต่างหากที่จะเป็นตัววัด ว่า รถ ev มันจะไปได้ขนาดไหน ถ้ารถ สามารถ quick charge ได้ 15 นาที ผมว่า คนคงปฏิเสธการใช้ยากอยู่ เพราะรถ ev ยังไงมันก็ค่าดูแลต่ำกว่ารถน้ำมันมากนัก

นี่คือนิยามคำว่า โลกเปลี่ยนไป การขยายจำนวนแท่น charge มันง่ายกว่าการขยายปั้มน้ำมันหรือปั้มแกสมาก
เพราะไม่ต้องมีบุคลากรไดฯ ลูกค้าเติมเอง จ่ายเงินเอง ต้นทุนค่าแรงที่หัวจ่ายไม่มี

ออฟไลน์ SM.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 27,407
ผมคงไม่รอครับ และคิดว่าอาจจะไม่ใช้ด้วย

ถ้ามองระยะยาวๆ ผมว่า fuel cell น่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ

ออฟไลน์ GOBBS

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,033
สถานีชาจตอนนี้เรียกว่ามีเหลือๆ ในกรุงเทพนี่ก็เยอะมากแล้ว ส่วน ตจว.ก็น้อยไปตามสัดส่วน
ของ EA นี่ก็ 500 กว่าแห่ง ไม่รวมบิ้กซี กับ 7-11 อีก ร้อยกว่าแห่งที่กะลังรอติดอยู่ เรียกว่า ทุกๆ 5 กิโล ในกรุงเทพ มีสถานีชาจแน่นอน  อย่างนี้จะเรียกว่าน้อยได้ไง ผมยังงง ในเมื่อมันมีเยอะกว่าสถานีเติมน้ำมันเสียด้วยซ้ำ

ปัจจัยหลักคือ รถนั่นเอง ว่าชาจเร็วได้ขนาดไหน เร็วสุดตอนนี้ ก็ 15 นาที 80 % ด้วยรถ mine ที่กำลังจะออกเมษานี้  แต่ถ้าปัจจุบันก็ราว 30 นาที สำหรับ mg ก็น่าจะถือเป็นมาตรฐานปกติสำหรับรถ EV ในการ quick charge  ตรงนี้ต่างหากที่จะเป็นตัววัด ว่า รถ ev มันจะไปได้ขนาดไหน ถ้ารถ สามารถ quick charge ได้ 15 นาที ผมว่า คนคงปฏิเสธการใช้ยากอยู่ เพราะรถ ev ยังไงมันก็ค่าดูแลต่ำกว่ารถน้ำมันมากนัก
เข้าใจผิดจากที่คนส่วนใหญ่จะสื่อนะครับ
จุดชาร์ทเยอะ ไม่เถียงครับ แต่จุดชาร์ที่สามารถชาร์ทเร็ว 80% ใน30นาทีเนี่ย นับหัวได้เลยครับ มีของPEA กับNissan บางศูนย์เท่านั้น ของ EA ที่เห็นเยอะๆนั่นชาร์ทช้าทั้งนั้น .... ไม่งั้นไม่มีเคสขับกลับจากบุรีรัมย์วิ่งเกือบสองวันเพราะหาที่ชาร์ทหรอกครับ พวกจอดชาร์ท7-11 ชม.นึงไฟขึ้น 5-10% ประมาณนั้นหนะ
แล้ว quick charge ไม่ได้แก้ที่ตัวรถนะครับ มันต้องทำที่ตู้จ่าย มันอั้นอยู่ รถจะเติมก็น้อยลงทุนหลักล้าน มี PEA เนี่ยละกล้าๆทำ(แล้วยังมาบ่นกันว่ารัฐไม่ช่วย) แล้วตัวรถหนะทั้ง leaf mg hyundai ชาร์ทเร็วได้หมดถ้าตู้มันรองรับนะครับ
.....2006 honda jazz idsi
.....2015 mazda2 skyD
..ใช้รถเท่าที่จำเป็นกันเถอะครับ...รถมันติด

ออฟไลน์ muff

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 44
แล้วแต่บุคคล ผมคนกทมวิ่งไปไหนต่อไหนในชีวิตประจำวันสำหรับงานผม แล้วมาชาร์จที่พัก 2วันก็ยังเหลือ ไม่ต้องพึ่งตู้ชาร์จสาธารณะ ก็คือซื้อใช้ได้เลย รอแค่ตัวรถถูกใจหรือเปล่าเท่านั้น