Review : REMAP เรียกความแรงด้วยงบเบาๆ All New D-Max 2.5 AT

[the kit]

มีคนแซวมาว่า “ไหนว่าพี่ไม่ค่อยแต่งรถ เท่าที่ผมอ่านเห็นแต่งครบเกือบทุกคัน!!”
“ช่วยเล่ามาอีก อ่านเพลิน อ่านมันเลย..”
“เอาเรื่องเครื่องเสียงบ้าง...”
“เรื่องรถก็เล่าไปแล้ว มีเรื่องมอไซค์บ้างไหมพี่...”
และอื่นๆ เนื้อหาโดยรวมประมาณนี้

จริงๆ รถผมแต่งแทบทุกคันเหมือนกันนะ แต่โดยส่วนใหญ่ผมจะแต่งแบบเรียบๆ
Skirt, Spoiler, Aeropart เยอะๆ ผม “ไม่ชอบ”
แต่เพื่อนสนิทผม “มันชอบ”
ร้านไฟเบอร์ชื่อดังแถว “อตก.” นี่ ได้ตังค์ มันไปน่าจะหลายแสน
ใส่ “ชุดรบ” ออกมาจากร้านตอนบ่าย ตอนดึกออกไปเที่ยวก็เอาไปชนแตกแล้ว!!
ชอบเฉี่ยว ชอบชน ที่หนึ่งในดวงใจ..

เรื่องเครื่องเสียงต้อง “เท้าความ” ให้ฟังก่อน..
ย้อนไป “สามสิบกว่าปี...”
ก่อนผมจะมาชอบเครื่องเสียงรถยนต์ ผมมีความชอบมาจาก “เครื่องเสียงบ้าน”
พ่อผมใช้เครื่องเสียง “Sansui” ผมก็ฟังว่ามันดี ไพเราะดี มันมีมิติ ฟังเพลิน

แต่พอไปเจอชุดของปู่ผม อันนี้ “แจ่มกว่าเยอะ” 
ปู่ที่ผมเล่าในตอนก่อน ที่ว่าชวนผมไปดู Cayenne ใหม่
ซึ่งแกอยากจะเปลี่ยนแทนคันเก่าที่เป็น Cayenne เหมือนกัน  ตอนนี้ปู่ผมอายุ 91 ปี ยังขับรถเองได้นะ
กลับมาที่เครื่องเสียง ชุดที่ปู่ใช้ “McIntosh” เกือบทั้งเซต Amp, Receiver, Speakers
ยกเว้นเครื่องเล่น ใช้ Luxman หัวอ่านเป็นของ Teac 
เครื่องเสียงชุดนี้เห็นแกเล่าให้ผมฟังว่า “เกือบสี่แสน!!” ในตอนที่ซื้อ เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้ว
ไม่รู้ว่าแกเพิ่ม “ศูนย์หลัง” มาตัวหนึ่ง หรือเปล่าก็มิอาจทราบได้ เพราะในตอนนั้นทองบาทละ “สี่ร้อย”
ถ้าเทียบมูลค่าปัจจุบัน ประมาณ “ยี่สิบห้าล้านบาท!!”
แต่ถึงตัดศูนย์หลังออกตัวก็ “สองล้านห้าแสนบาท” อยู่ดี!!
ผมฟังราคาในตอนแรกๆ ผมก็ไม่เชื่อซักเท่าไร..

แต่ไม่เกินห้าปีผ่านมา ประมาณปี 2558 ได้ไป หาซื้อชุด Home Theater แบบง่ายๆ ที่ “พารากอน” กับปู่
ได้แวะไป Showroom McIntosh ที่นั้น เพื่อดู “นวัตกรรมใหม่” ของยี่ห้อนี้  ซึ่งปู่ผมชอบในยี่ห้อนี้มากกกกก...
ชุด Home ของยี่ห้อนี้ “ตัวกลางๆ” 5.1 CH ครบชุด ยกเว้นจอภาพ ลดพิเศษช่วงโปรโมชั่น “16 ล้านบาท!!!”
แม่เจ้า!!  นี่ตัวกลางนะ  ถ้าตัว Top “สามสิบ”
แกกระหยิมยิ้มย่อง เป็นการใหญ่ “เห็นไหม บอกแล้ว ไม่เชื่อ!!!”

ไม่ว่าจะยังไง จะราคาเท่าใดก็ตาม  ต้อง “ยอมรับ” ในน้ำเสียงและเนื้อเสียง “ครบ” อบอุ่นและมีมิติ
ชุด McIntosh ที่ปู่ผมใช้นี้ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่และ “ใช้ได้ดี” ตามปกติ
ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยพังนะ เอาไป service มาแล้ว โดนไป “หลักแสน”
ทุกวันนี้เลยต้องทำให้มันทันสมัยขึ้น โดยหาเครื่องเล่น DVD Bluray มาต่อเพื่อให้มันเล่น File เพลง ผ่าน USB ได้
เพราะมันทำให้ชีวิต "ง่าย" การปรับเปลี่ยนเพลงก็ง่าย
แต่มันยังคง “ไพเราะ” อยู่ และจะให้ดีต้องเปิด Amp ให้มันเล่นอะไรเบาๆ ทิ้งไว้
ก่อน “ฟังจริง” ซักครึ่งชั่วโมงขึ้นไป จะ “ละเมียด” มากยิ่งขึ้น
เครื่องเสียงดีๆ ฟังเพลงอะไรก็ดีทุกอย่าง
สมัยเรียน ผมแอบเอา Tarzan Boy, Ring my bell, Lady Bump, Agadoo มาเปิด มันส์มากกกกก..
แต่ปัจจุบัน ถ้าได้ไป “เยี่ยมปู่กับย่า” ถ้ามีโอกาสได้เล่น McIntosh  ผมเลือกที่จะฟังเพลงของ “ผู้ล่วงลับ!!” หรือ "Senior"
เพียงคำเดียว, จงรัก, – สุเทพ  เสียงคุณสุเทพนี้ สมกับฉายา “นักร้องเสียงขยี้แพรบนฟองเบียร์”
อะไรมันจะ “ละเลียด ละเมียด ละไม” ขนาดนี้
แต่ปางก่อน – สุเทพ สวลี  โดยเฉพาะเสียงของคุณสวลีนี้ “หวานมาก” หวานแบบสัมผัสได้จากเสียง!!
Rhinestone Cowboy, Suttle's mill, Vincent อะไรประมาณนี้
อยากฟังเสียงให้ดี ก็ต้องปิดโสตประสาทด้านอื่น ทุกอย่างจะยิ่งดีขึ้น!!

เครื่องเสียงบ้านในยุคเก่า จะมีตัวปรับแต่งเสียงนิดหน่อย แค่ Bass Mid Treble และลำโพงก็จะมีแค่ 2CH
แต่แนะนำฟังเป็น “Flat” ผมว่าจะได้อารมณ์ของ “ต้นฉบับ” มากกว่า

เครื่องเสียงรุ่นใหม่ โดยมากจะทำได้แทบทุกอย่าง ดูหนัง ฟังเพลง เพราะ มันมีมาอย่างน้อย 5.1CH
แถมยังมีระบบ Auto Tuning, Auto Time Alignment เพื่อปรับให้เหมาะกับสภาพห้องที่เราจะฟังอีกต่างหาก!!

กลับมาที่เครื่องเสียงรถยนต์
ในตอนเด็กแรกเริ่มที่เล่น ในรถ Subaru 1800 GFT
ผมก็เริ่มจากชุดง่ายๆ Front ตัว และลำโพง 6x9 ที่ด้านหลัง หนึ่งคู่ แค่นั้น
ไม่ใช่ เพราะ อะไร มันเป็นเรื่องของ “เงิน” ล้วนๆ มีน้อยก็ใช้น้อย!!

พอมาได้ Isuzu มังกรทองมาเป็น “คู่ใจ” ตอนออกมาจากศูนย์นี่ สมัยนั้นไม่มีเครื่องเสียงติดมาให้นะ
มีแต่ “ช่องพลาสติกเปล่าๆ” ไว้วางของให้มา และสมัยนั้นแอร์ก็ไม่มีมาให้นะ ต้องเสียตังค์เพิ่มเองเป็น “Option!!”
แต่ตอนนั้น ผมขอภายนอกสวยไว้ก่อน ภายในค่อยตามมาที่หลัง
แล้วจะเอาเครื่องเสียงที่ไหนฟัง? 
เอา Sound About ของ Sony ที่ใช้ถ่านไฟฉาย “AA” ต่อกับลำโพงง่ายๆ ฟังได้เบาๆ แก้เหงาไป
ช่วงนั้น “บิลลี่ วันนั้น วันนี้ วันไหน” กำลังดัง!!
เก็บเงินนานมากๆ กว่าจะได้เครื่องเสียง เพราะ พอเก็บได้ระยะหนึ่ง ยางก็ใกล้หมด, ช็อคอัพก็รั่ว ฯลฯ
ขอที่บ้าน เขาก็ไม่ให้ทั้งหมด เขาบอกว่า “ใช้เงินเปลือง” นะเรา...
อยากได้เงินเยอะ ก็ต้อง “ขยัน” ทำงานช่วยที่บ้าน อย่า ออกไปเที่ยวเล่นมาก ก็ต้องเก็บตังค์ไป
ตอนนั้น ผมมีความคิดเรื่องเครื่องเสียงว่า ถ้าจะติดก็ต้องติดให้มันดี ไอ้ครึ่งๆ กลางๆ ไม่เอา!!

เพราะเห็นจาก “รถคนเคยเป็นเพื่อน” เอา Front Roadstar, ลำโพง 6x9 Noname ไว้ที่ประตูหน้า
ซับ Noname + Amp Noname + Pre Noname เรียกว่า “Noname” ทั้งชุด
ไม่ใช่ว่า ผมบ้า “Brandname” อะไรหรอกนะ ในสมัยนู่น ยี่ห้อ Noname คุณภาพก็จะ “ห่วย” ตามราคา
ทั้งหวีด ทั้งกวน เยอะมาก ต้องเปิดดัง เพื่อ “กลบ” เสียงพวกนี้
“ถ้าจะติด ต้องติดให้ดี”

ก็เป็นแบบนี้ในทุกคัน ถ้าผมจะติดเครื่องเสียง ผมจะเลือกให้มันดี ถ้าไม่ดี ยี่ห้อไม่มาตรฐาน หรือเกรดกลางๆ ขึ้นมา
ผมจะรอ...

นิตยสารรถยี่ห้อหนึ่ง ช่วงแรกจะเป็นเหมือน “Classified” ซะมากกว่า
ความน่าสนใจมันอยู่ที่คอลัมน์เครื่องเสียง นักวิจารณ์ นักทดสอบของเขา
บรรยายลักษณะเสียงออกมาเป็น “ตัวอักษร” ได้อย่างน่าสนใจและติดตาม
หลายเทคนิคมากมายเกี่ยวกับเครื่องเสียง ที่แบบไม่เคยรู้และไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน
Sound Stage, Front Stage Rear Fill, Back to Front, Tone Balance, Level Matching, Phase
Bi-wired, Single Amp, Bi Amp, Tri Amp, Multi Amp, Cross Over, Frequency ต่างๆ,
การเล่นสาย ทั้งสายไฟ สายสัญญาณ ขนาดสายไฟ ความยาวสาย หัวแจ๊ค ชุบทองไม่ชุบ การหุ้มสายไฟ การแดมป์
ประเภทตู้ซับ ประเภทซับ และอื่นๆ อีกมากมาย..
ผม “เคลิ้ม” ตามเลยนะ...

แต่อ่านไป อ่านมาเยอะๆ จาก “Columnist” หลายคน
บางมุมก็จริง บางมุมก็ขายของ  40/60
ก็อย่างว่า ถ้าไม่เขียนเชียร์ขายของ จะเอาเงินไหนมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกัน
เพราะฉะนั้น “เชื่อเขามากไม่ได้หรอก!!”

แต่ยังไงผมก็ยัง “ยอมรับ” อยู่ข้อ คือ
ของไหนที่มันมีประวัติและชื่อเสียง “ที่ดี” มานาน ของนั้น “แบบไม่มี ไม่มี” มักจะดีใช้ได้เสมอ

เครื่องเสียงในรถผมแทบทุกคัน โดยมากจะ “เน้นฟังในรถ” เป็นประเภท SQ “Sound Quality”
ในรถเก๋ง รถสี่ประตู โดยมากจะใช้ ลำโพงคู่หน้า 6 ½” แยกชิ้น เพราะมันสามารถให้เสียงร้อง
รวมถึงเสียงสูงได้ดีและเสียงความถี่กลาง สามารถลงได้ถึง “Mid-bass” และโดยมาก “ผมชอบ” ที่จะเอา “Tweeter” ไว้ที่ “เสาหน้า”
ถ้าสามารถทำได้ แล้วยิง Tweeter ซ้าย-ขวา มาตัดกันที่ “กระจกมองหลัง” เพื่อสร้าง “เวทีเสียง”
Sub โดยมากผมชอบขนาด 10” ซึ่งให้ “Bass” ได้ดี กระชับตื่นตัว “ไม่หย่อนยาน” เหมือนขนาดใหญ่กว่านี้
แต่ถ้า “ซับ” ยี่ห้อดีๆ รุ่นสูงๆ 12” นี้ ให้เสียงได้ดีและอัดได้มัน ให้ความถี่ได้ต่ำลึก ระดับ “ขากางเกงสั่น” ได้
แม้ไม่ต้องเปิดดังมาก!!

ร้านเครื่องเสียง ชื่อดังในประเทศไทย เมื่อประมาณ “ยี่สิบกว่าปี” ที่ผ่านมามีไม่มาก
แต่ผมว่า ผม “ลองยา” มาเกือบทั้งหมดนะ ไม่ว่าจะเป็น
ร้านแถวใกล้แยกรัชโยธิน
ร้านแถวนนทบุรี
ร้านแถวประดิพัทธ์
ร้านแถวบรรทัดทอง
ร้านแถวรัชดา ห้วยขวาง
ร้านใกล้แยกสุทธิสาร
พูดถึงร้านใกล้แยกสุทธิสาร วันนั้น ผมไปดู ผมไปถาม เจอ Volvo 940 สีดำ “แต่งซิ่ง”
เข้าไปติดชุดใหญ่ ใหญ่มาก Amp ต้องมี 5-6 ตัว!! Sub 12” 1คู่ + Sub 15” 1 คู่!! กลางแหลมอย่างน้อย 6 คู่
TV สี Sony 2 ½” พิมพ์ไม่ผิด “สองนิ้วครึ่ง” 1 ตัว CD Changer ครบครัน  ของดีมียี่ห้อทั้งนั้น
เจ้าของรถ คือ เจ้าของเพลง “ถอยดีกว่า” ที่ดังสุดๆ ในตอนนั้น
แม่เจ้า!! เขาหรือเธอ จัดหนักจัดเต็มจริงๆ ชุดนี้ในตอนนั้นต้องมี “สี่แสนขึ้น!!”

แต่พอเล่นเครื่องเสียงรถยนต์มานาน เล่นมาเยอะ ผมรู้เลยว่า..
“เติมเท่าไรก็ไม่เต็ม  ถมเท่าไรก็ไม่พอ”
ยิ่งถ้าไป “เผลอ” รู้ลึก รู้เยอะ
ผมว่าสู้รู้น้อย แล้วฟังเอาโดยรวมว่า เสียงที่ได้นั้น “ถูกจริต” เรามากในระดับที่เรา “พอใจ” หรือไม่
ถ้าใช่ควรจะจบ อย่า!! ไปหาความรู้เพิ่ม หรือแวะไปร้านเครื่องเสียงใดๆ อีก!!

เมื่อก่อน เครื่องเสียงรถ เป็นอะไรที่ “แพงมาก”  ยิ่งยี่ห้อดี ยิ่งแพง จ่ายครั้งเดียว จบ??!!

มันไม่จบหรอก ถ้าคุณยังเลือกที่ “จะตาม” มันอยู่
ฟังตอนแรกก็ว่าดี ว่าครบ พอ “เสพสื่อ” หรือเจอ "คนใกล้ตัว" เล่นพวกนี้ แล้วไปฟังรถเขาแล้วสลับมาคิด ก็ชักจะ “เขว”
ของเราแนว “SQ” มันก็ดังและไพเราะ  แต่พอไปเจอคนที่เล่น “SPL” เข้า
“อะไรว่ะ กูเสียตังค์แพงกว่า แต่ทำไมดังน้อยกว่า...”

ต้องเข้าใจว่ามันคนละประเภท แต่ไม่ต้องว่าใคร...
“ผมก็เป็น...”

สติ ต้องมา และต้องบอกตัวเองว่า “มันคนละชั้น”
มันเหมือนฟังลำโพงตาม “DiscoTheque” ดีๆ เอารุ่นกลางๆ หน่อย เช่น Phebus, Nacissus
“เธค” พวกนี้นิยมใช้ JBL Concert  เสียงดี รายละเอียดใช้ได้ อัดมันส์
ไม่เหมือน "เธค" ตาม ตจว. ลำโพงตู้ใหญ่แบบงานวัด ฟังไกลๆ ฟังเทศน์ ฟังธรรมก็พอได้
แต่ถ้าไปอยู่ใกล้ๆ บอกเลย "มันคืออะไร ไม่รู้เรื่อง" มันจะมีก็เพียงแต่ "หึ้งๆ ตู้มๆ แซ็คๆ"

ผมว่าแม้แต่ตำนานเธค “The Palace” ก็น่าจะใช้ JBL ด้วยเช่นกันนะ แต่ไม่แน่ใจ
ดูแต่ “หญิง” ใครจะสนลำโพง!!

นักฟัง “หูทอง” บางคนหรืออาจจะหลายคน
“Anti” การปรับแต่งเสียงมากเลยนะ
“Flat” คือ ดีที่สุด การปรับแต่ง ปรุงแต่งต่างๆ ทำให้เสียความเป็น “Original” ไป

ผมเห็นด้วย!! แต่เฉพาะเครื่องเสียงบ้านนะ!!??
เพราะที่บ้านเราสามารถจัดวาง, สร้างและกำจัด “จุดอ่อน” ในหลายสิ่งได้ ถ้ามีพื้นที่มากพอ
แต่ถ้าเป็น “คอนโดฯ” อาจจะต้องพึ่งพา ตัว Auto Tuning และ Time Alignment เพื่อสร้าง Acoustic ช่วย

แต่ถ้าเป็นรถยนต์การวางลำโพงต่างๆ แล้วแต่ทางผู้ผลิตออกแบบมาเลย
ถ้าเราจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ในการจัดวางลำโพง เพื่อต้องการ Sound Stage และอื่นๆ
จริงๆ มันสามารถทำได้ เพียงแต่ว่ามันจะดูสวยงามหรือขัดตามากเพียงใด สุดแท้แต่การออกแบบ
และการทำแบบนี้ ในหลายคัน เรียกว่า “เสียรถ เสียของ” ไปเลยทีเดียว

โดยส่วนตัวผมๆ เลือกที่จะวางลำโพงในตำแหน่งเดิมตามที่ผู้ผลิตให้มา
แต่อาจจะมี “เจาะ คว้าน ขยาย” เพื่อให้ยัดลำโพงในขนาดที่ต้องการเข้าไปได้ แต่เลือกที่จะ “ทำลาย” ตัวรถให้น้อยที่สุด

การปรับแต่งเสียง “จูนเสียง” อันนี้สำคัญที่สุด
ต่อให้ชุดดี ของดีแค่ไหน  ถ้า “จูนไม่เป็น” ทุกอย่างจบ
เสียงโดยรวม อาจจะออกมาแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่เราจ่าย
ยิ่ง Power Amp เยอะ, ลำโพงเยอะ ยิ่งจูนยาก

ตอนผมเล่นแรกๆ ก็คิดแต่ว่า “ของดี” เสียงจะต้องดีเสมอ...
นั้น “ไม่จริง” เสมอไป  มันต้องอยู่กับคนจูนด้วย
เพราะของดีและติดตั้งดีถูกต้อง เสียงกวน เสียงหวีด จะน้อย หรือไม่มีเลย!!

ยิ่งช่วงที่ผม “เคลิ้ม” กับเครื่องเสียงมากๆ และเป็นช่วงที่ “เงินหาง่าย รายได้ดี”
นี่ผมหาลองไปทั่วเลยนะ โดยเฉพาะ “ของที่มองไม่เห็น!!”
.....
.....
......
อย่า!! คิดไปไกล “ผมไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์”
ไอ้ที่มองไม่เห็น นี่คือ พวกสายสัญญาณ สายลำโพง
พวกนี้แพงมากเลยนะ มีตั้งแต่ “หลักสิบ” ยัน “หลักหมื่น”
ตัวเลขที่ว่านี่ มีหน่วยเป็น “เมตร!!”
ไม่ว่าจะสายอะไร “สั้นสุด คือ ดีสุด” เท่าที่มันจะ Connect กันได้ เพรามันจะ Lost น้อย
แถมยังไม่พอ มันควรจะเรียงสายจากตัวอักษร จากแอมป์ไปลำโพงด้วย!! นอกจาก “บวก-ลบ”
เรื่องสายลำโพง ยิ่งสายใหญ่ ทองแดงบริสุทธิ์ หน้าตัดใหญ่ คือ ดี
ดีจริง แต่เมื่อเทียบกับ เม็ดเงินที่จ่ายไปแล้ว บอกเลย “ไม่คุ้ม”

สายสัญญาณก็เช่นกัน เนื้อหาตามสายลำโพง
แต่สัมผัสได้ว่า “มีผลดี” ต่อชุดเครื่องเสียงจริง!!
สายดี ทำให้เสียงกวนหรืออะไรอื่นๆ “ไม่มี” หรือลดน้อยลง เสียงนักร้องหรืออะไรต่างๆ
“ดีขึ้น” แต่เลือกจ่ายแค่พอดีๆ แพงมากไป ก็เกินจำเป็น
ถ้าไม่รู้จะเลือกแบบไหน เอายี่ห้อมาตจรฐาน ราคากลางๆ แค่นี้ “เหลือเฟือ!!”

ในไทยช่วงประมาณ 20-30ปีที่ผ่านมา การ “ห่มผ้า” ให้สายต่างๆ ในรถนี่ได้รับความนิยม “เว่อร์ๆ”
ด้วยความเชื่อว่า “มันจะทำให้เสียงดีขึ้น!!??”
จริงเหรอ!!??
...
...
ไม่จริงหรอก ในด้านเสียง
มันให้เสียงเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ได้อบอุ่นเพิ่ม หรืออื่นๆ
มันเป็นแค่ความรู้สึกทางใจ ทางตาล้วนๆ ว่า “มันดี”

เล่นเครื่องเสียงต้องรู้ลึกพอควร โดยเฉพาะเครื่องเสียงที่ไปติดจากร้านข้างนอกไม่ใช่มาจากโรงงานผู้ผลิต
เมื่อผมเล่นนานขึ้น + ความชอบโดยส่วนตัว หัดฟัง ตั้งใจฟัง เรียนรู้ช่วงของเสียง ความถี่เสียง หัดจูนต่างๆ
บอกได้เลย “มันสนุกมาก”
แค่ Amp 2 ตัว กว่าจะให้ได้เสียงดี “ดั่งใจ” ได้ เสียเวลา “จูน” เป็นวัน!!

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ร้านเครื่องเสียงถึง “รวยเอาๆ”
เพราะมันเป็นร้าน “ขายเสียง” ที่มาพร้อมกับ “ความไม่พอเพียง” ของคน

รถของผมในช่วงหลังๆ ตั้งแต่ Honda Jazz ขึ้นมา
ผมมีร้านติดเครื่องเสียง ที่ไม่ไกลจากที่ทำงานผมนัก เจ้าของร้าน "ยังเด็ก" เคยเป็นลูกมือมาจากที่อื่น ฝีมือ "ใช้ได้"
จาก "วัยรุ่นสร้างตัว" มีเงินอยู่ไม่กี่พัน ตอนนี้ก็น่าจะมี "หลักแสน" อยู่นะ
ข้อดีของ "ไอ้น้อง" คนนี้ คือ มันรับฟังและพร้อมที่จะทำตามที่เราต้องการ
ผมก็ออกแบบให้ น้องมันทำให้ตามแบบ ติดตั้งตามที่ต้องการ เรื่องเสียงและต่างๆ ผมจูนเอง ปรับเองทั้งระบบ
ง่าย ดี ประหยัดงบ ประหยัดเวลาไม่ต้องเข้ากรุงเทพ และได้งานแบบ "สั่งได้" แม้ว่าจะ "ขลุกขลัก" บ้างนิดหน่อย

ถ้าเล่นไม่ลึก คุณก็จะ “เจ็บ” ไม่มาก
แต่ถ้าเล่นลงลึก และอยากให้ดี แบบ “สั่งให้” Taylor Swift or Ed Sheeran มายืนร้องด้านหน้าตรงกลางให้ฟังได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ต้องยอม “เจ็บ” มากหน่อย เพราะ ค่าตัวเขาและเธอหรือคนอื่นๆ “มันแพง!!”
เพราะบางครั้ง “อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล” ก็มี..

ปัจจุบัน รถรุ่นใหม่ๆ ยิ่งรถราคาแพง ให้เครื่องเสียงชั้นดีมาจากโรงงาน
บางรุ่นนี่ "ดีขั้นเทพ" แต่ก็มันก็รวมมาในราคาค่าตัวรถในราคา "พญามาร"
แต่มันก็ดีที่มันมาพร้อมกับความเรียบร้อย และการจัดการ "Acoustic" ที่ดี
จากผู้ผลิตรถและผู้ผลิตเครื่องเสียงชั้นดี เพราะ เขาก็กลัว "ชื่อเสีย" มาทำลายชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างยาวนาน

ไม่ว่าอย่างไงก็ตาม ผมเชื่อว่า ในทุกวันก็ยังคงมีนักเล่น (เครื่องเสียง) หน้าใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อหา "เสียงของตัวเอง" ขึ้นมา
พยายามต่อไปนะ..สักวันความฝันก็คงจะจริง..

“เจ็บและจบคราวนี้...เห็นทีต้องจดจำไว้”

[the kit]

เดือนที่แล้ว คุยเรื่องเครื่องเสียง มีคนทักมาว่าผมเป็น “หูทอง”
ผมบอกตามตรง ผม “ไม่รู้” ว่า หูทอง หูทิพย์นี้เป็นแบบไหน
เพราะ ความชอบในแนวเสียงนี้ แต่ละคน “ย่อมต่างกัน”
อย่างผมๆ ชอบ นักร้องเด่นชัด แหลมพอควรไม่จัดจ้าน ทุ้มสามารถรับกับเสียงร้องได้ดี เบสลงลึก หนักแน่น ไม่หย่อนยาน แต่ต้องไม่แข็ง!!
ยิ่งอายุมากขึ้น ความถี่ของเสียงที่ได้ยิน มันเปลี่ยนไปตามระบบประสาทของร่างกาย
อาจจะเพิ่มที่ความถี่ช่วงนี้ แต่ไปได้ยินน้อยลงในความถี่อีกช่วงหนึ่ง ก็เป็นไปได้

สรุป คือ การฟังเพลงหรือความนิยมชมชอบในเสียงของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
แต่หลักๆ ที่ต้องการเหมือนกัน คือ ความชัดเจนและไม่มีเสียงรบกวน

การไปติดตั้งเครื่องเสียง
คุณบอกความต้องการของคุณไป เช่น ชอบนักร้องเด่นๆ เบสหนักๆ หรืออะไรก็ว่าไป
แล้วก็บอกงบประมาณไปว่า ไม่เกินเท่าไร ประมาณนี้
ราคาของยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน แต่ต่างร้านกันก็คนละราคานะ
ส่วนผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไร ต้อง “รอฟัง” ตอนติดตั้งและจูนเสร็จอีกที
แม้ของแบบเดียวกัน รถรุ่นเดียวกัน แต่คนละร้านติดตั้ง แต่ละคนจูน เสียงออกมาอาจจะไม่เหมือนกันด้วยนะ!!
ยิ่งลำโพง, amp, อุปกรณ์เสริมต่างๆ ยิ่งเยอะมากเท่าไร การจูนและอื่นๆ จะยากเพิ่มขึ้น มากและมาก


แต่ก็ตามที่เคยบอก ผมเชื่อว่า ของดีมียี่ห้อ ปห.ที่เกิดขึ้นจากตัวผลิตภัณท์จะมีน้อยกว่าของ “โนเนม”
เมื่อหลัง “จูน” เสร็จ คุณจะชอบไม่ชอบ ก็คุยกับ “Tuner” เพื่อปรับปรุงอีกที
หรือ ถ้าปรับปรุงแล้วยัง “ไม่ตรงใจ” นัก
คุณควรต้องรอมัน “Burn In” จนได้ระยะของมันก่อน  แล้วค่อยกลับมาให้ที่ร้านที่ติดไปนี่ จูนให้อีกครั้ง

บางทีคุณอาจจะ “แปลกใจ” ว่าน้ำเสียงมันอาจจะผิดไปจากตอนติดตั้งในตอนแรกพอควร
แต่ถ้าได้เสียงที่คุณชอบมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ? หลังจาก Burn In แล้วมันจะผิดเพี้ยนหรือแย่ลงไหม?
“ไม่แน่นอน ดีขึ้นอีก แย่ลงได้”
แต่โดยมากจะดีขึ้น.. 
เสียงแหลมจากที่เคย “จัดจ้าน” ก็จะผ่อนคลายมากขึ้น
เสียงนักร้อง จากโด่งๆ “เป็นไซนัส” ก็จะถูกรักษาหาย
เสียงทุ้มลึกจากซับ จากแข็งๆ โด่งๆ ก็จะนิ่มนวลขึ้น

แต่ที่บอกว่าแย่ลง คือ บางคนอาจจะชอบแหลมจัดๆ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันไม่คม ก็ต้องปรับเพิ่ม
บางคนชอบ “ลูกครึ่ง ครึ่งควบลูก” อาจจะผิดหวัง เสียงที่เคยทำให้ “นักร้องไทยกลายเป็นฝรั่ง” หายไป
ถ้าอยากได้ “ลูกครึ่ง” เหมือนเดิมก็แก้ได้ แต่อันนี้อาจจะต้องใช้ Pre-Amp or Equalizer ช่วย
แต่ถึงไม่แก้ ลองฟังดูดีๆ โดยเฉพาะ “นักร้องรุ่นใหม่ๆ” ก็ออกเสียง “แบบฝรั่ง” อยู่แล้ว ทั้งๆที่ไม่ใช่
“ครึ่งควบลูก, ป-ป ” หรือไปเรียนนอกมานาน อะไรกับเขาเลย.. จริงๆ
นักร้องรุ่นใหม่ๆ จากเสียงร้องเต็มในลำคอ แล้วก็มาบีบให้มาเล็ก เพื่อให้มันไปถึง
หรือไม่ก็บีบเสียงให้เล็กและ "หอน" ไปเสียงสูง ฟังแล้ว "งง" ร้องเพลงฝรั่งหรือเพลงไทย
คือ มัน "ไม่ชัดเจน" ทั้งฝรั่งและไทย  มันคืออะไร!!???
"ฟังแล้ว งง"
แต่มันคงเป็น “Trend” สำหรับรุ่นใหม่ ที่ผม “ไม่อิน” กับมันเท่าไรนักนะ...

ถ้าหลังจาก Burn In มาแล้ว ลองไปปรับจูนมาใหม่ จากทุกอย่างที่มีให้ในระบบเดิมแล้ว ยังไม่ถูกใจอีก!!
Pre-Amp or Equalizer เป็นวิธีถัดไปที่คุณต้องเลือก หรือไม่ก็ต้องจัดชุดใหม่!!
ก็เคยบอกไว้แล้วว่า “อยากได้เสียงแบบไหน งบเท่าไร บอกกับทางร้านไป”
ถ้าร้านเป็น!!?? ไม่เน้นที่จะขายแต่ของที่เขาได้ “กำไรเยอะ” ก็น่าจะสนองความต้องการของคุณได้!!??
แต่ก็ ความพอใจ เสียงที่ชอบ ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อันนี้ คุณต้องหาเอาเอง!!



เรื่องที่ “ผู้อ่าน” อยากให้ผมคุยตามที่ “Request” มา
อีกเรื่อง คือ เรื่อง “มอไซค์”

มอไซค์ ผม “ขี่เป็น” หลังขับรถยนต์เป็นได้ 2 ปี คือ ประมาณช่วง ม.1
ตอนหัดขี่ครั้งแรก คือ รถของคนงาน Yamaha Belle 80
ขึ้นคร่อม ตบเกียร์ก็ขี่ได้เลย ง่ายๆ เพราะมันก็คือ จักรยานติดเครื่อง

ที่มันง่าย เพราะ ผมเป็น “สิงห์ BMX ” มาก่อน เรื่อง “เล่นท่า” นี่ผมถนัด!!
ไม่ว่าจะ ยกล้อหน้า ยกล้อหลังวิ่ง หรือ แม้แต่กระโดดยกสองล้อ, Sailing และอื่นๆ
ปั่นยกล้อหน้า นี่ยกได้เป็น “กิโล” เลยนะ สบายๆ “กินหมู”
รวมถึงขี่ๆ ไป ตบแฮนด์หมุนแบบ “เฮลิคอปเตอร์” ผมก็ทำได้!!
แต่ถ้าจะ ตบแฮนด์หมุนแบบ “เฮลิคอปเตอร์” ได้ ต้องใส่ของแต่งที่เรียกว่า “โรเตอร์” ก่อนนะ
ไม่งั้นสายเบรกมันจะพันกัน แล้วจะพาล้มเอา..

มอไซค์คันแรกของผม คือ Suzuki Sprinter มันสวย มันเฟี้ยวมากเลยนะในตอนนั้น
ถ้าจำไม่ผิด เรือนไมล์มันสุดแค่ 120 แต่วิ่งจริงได้ประมาณ 90 ถ้าหมอบมีลมส่งหน่อยๆ 100 สบายๆ
คันต่อมาก็เป็น Yamaha Belle100 คันนี้ขี่ได้แปปเดียว ยกให้ไปเป็นรถโรงงานไป เพราะ “ไม่แรง”
ถอย Honda Nova-S มาแทน คันนี้แรงแถมมี “ดิสค์เบรกหน้า!! ”
 พอพูดถึงดิสค์เบรกหน้า หลายคนคง “งง” ว่าทำไม ต้องใช้ “!!” ด้วย มันมีอะไร
ในสมัยนั้น ตอนนั้น ประมาณ 30 ปีเห็นจะได้ มัน คือ ของใหม่ ของแปลก สำหรับ “รถกะเทย”
คันนี้ก็แต่งท่อ แต่งเครื่อง ทดสเตอร์ให้มันแรงขึ้นไปอีก จำได้ว่า วิ่งได้ “จมไมล์”

จากนั้นก็ขยับมา “เล่นใหญ่” อีกนิด เป็น KR150SP ไอ้คันนี้ แต่งเยอะมาก
“ท่อสูตร” ลองมาหลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็น แดงบางทราย, หั่งโมดิฟาย, The Bike, เครา และสุดท้ายจบที่ PDK
เครื่องนี่แต่งครบสูตร ถึงขั้นยกใส่รถยนต์ เอามาให้ที่กรุงเทพ “โม” เลยนะ
แฟริ่งต่างๆ ถอดออกเกือบหมด, “อะไรที่มันหนัก” และถอดออกได้ เอาออกเรียบ
คันนี้ไปประกบกับ Class400cc. 4 จังหวะ พวก CBR400RR, VFR400RR ที่แต่งไม่เยอะได้สบาย
ระยะ 1 กิโลเมตร นี่  KRผม “แ_กเช็ด”
นำตั้งแต่ต้นยันปลาย แบบ “ห่างๆ”

มีอยู่ช่วงหนึ่งอยากลองขี่ “วิบาก”
เลยได้ลองของแรง “รถสูตร” ของ Suzuki RM125 รถแ_งโคตรสูง แรงดึงโคตรๆ “ตอดมือตลอด”
ขี่ยังไง ไม่ให้ “ล้อหน้ายก!!” 1,2,3 นี่ยกได้ทุกเกียร์
ลองเล่นอยู่ซักระยะ ทั้งวิบากและ “Enduro” แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ทาง ก็ห่างออกมา

ผมนี่โชคดีอยู่อย่าง ที่มีเพื่อนห่างๆ พ่อมันเป็นเจ้าของร้านมอไซค์ ทั้งรับซ่อมและจำหน่าย
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น “มือสอง” จากญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่ ก็เลยได้เล่น ได้ลอง ในหลายรุ่นมากๆ

ก็มีอยู่ซํกระยะ รถมอไซค์ก็แทบไม่ได้แตะอยู่พักใหญ่ เพราะ งานที่บ้านค่อนข้างเยอะเลย ต้องใช้รถยนต์โดยส่วนใหญ่
จนกระทั่งมาแอบซื้อ VFR400RR ไว้ขี่เล่นซักระยะ

เมื่อต้องกลับไป “คุมบังเหียน” กิจการที่บ้านเต็มตัว เวลาเล่นในช่วงแรกก็มีน้อย
แต่ก็หาซื้อมอไซค์มาไว้ขี่อยู่ดี เป็น Honda V45 Magna แบบ “สพม.”
ก็แรงดี อยู่กับผม 6 ปี วิ่งไปแค่ สองพันกว่าโล เพราะ ไม่มีเวลาขี่
คันนี้ ขายไปมี “กำไร” มาอีก “สองหมื่น”

หลังจากแต่งงานมา ผมมี “ศรีภริยา” เข้ามาช่วย ทุกอย่างมันก็ “สบายขึ้น”
ตอนนั้นผมก็เลย “แอบซื้อ” แต่ไม่ใช่ “ญ” นะ
แต่เป็น Kawasaki Versys 650 เพราะอยากลองขี่แนว “Touring” ดูบ้าง
พอเธอรู้ โดน “ต่อว่า” เช็ดเลย ว่ามันอันตราย ไม่ใช่เพราะ มันเป็นมอไซค์นะ!!
แต่เพราะตัวรถมันสูง แม้ว่าเท้าผมจะ “ติดพื้น” เต็มเท้าทั้งสองข้าง
แต่เธอก็กลัวว่า เผื่อถนนลื่น เมื่อจอดแล้วจะทำให้ทรงตัวลำบาก!!

ตัว Versys นี่ก็ใช้มากว่า 6-7 ปี เลย วิ่งไป สองหมื่นกว่าโล
โดยรวมก็ดี ไม่มีอะไรจุกจิก ขี่สนุก ขี่มัน แรงบิดดี
คันนี้ไม่ได้แต่อะไรเลย ที่น่ารำคาญที่สุด เห็นจะเป็นเสียง "โซ่"
 
และถ้าได้ตามอ่านที่ผมเขียนมาตลอด ก็จะรู้ว่า...
ในที่สุด “The Dream come true” 
เมื่อผมได้เป็นเจ้าของ “ราชามอเตอร์ไซค์”
“Harley-Davidson”
มัน คือ ที่สุดของมอไซค์แล้วจริงๆ
พูดแบบนี้ คอ HD อาจจะ "ไม่พอใจ" ได้
ต้องเป็น "ผมไม่ได้ขี่แค่มอเตอร์ไซค์ แต่ผมขี่ Harley-Davidson"

จริงๆ ในชีวิตผม “ขี่” มาหลายรุ่น หลายยี่ห้อมาก แต่ไม่ใช่รถของตัวเองทั้งหมดนะ รถเพื่อน รถคนงาน รถร้านที่รู้จัก ฯลฯ
เอาเท่าที่จำได้ตอนที่พิมพ์นี้ก่อนนะ
Honda 50cc. ทรงเม็ดถั่ว ไม่รู้เรียกว่ารุ่นอะไร, Mio50, Giorgio, Nova-S, Nova-R, Nova-RS, Tena, Cela, Beat, AX-1, CB1, Bros1, Bros2, NSR150, NSR150SP, NSR250, CB400 VTEC, CB1300, X4 1300, CBR600RR, CBR1000F, VFR400RR, VFR400R, CBR400RR, CBR400R, V25Magna, V45Magna, CBR1000 Blackbird, CR125, STEED400, STEED600, Rebel250

Yamaha Belle80, Belle100, Bell R, Mate100, ZR120, RXS, RXZ, VR150, TZR150, FZ400, FZR250RR, FZR400RR, FZR750R OWO1, Vmax750, Virago250-400-750, XJ400, XV750, SRX600, TZR250, YZ125

Suzuki Sprinter, Akira-R, Crystal, RGV150SSS, RGV150SP, RGV250SP, GSXR250R, GSXR400R, Hayabusa1300, DR Big800, RM125

Kawasaki Cosmo-R, Micro80, KR150SP, KR250, ZXR400R, Eliminator400, KLX125, Vulcan-S, Versys650

Ducati Diavel

BMW R1200C

Harley Davidson Herritage Softail1340, Herritage Springer1450, Fatboy 1450, Fatboy96cu, Roadking107cu, StreetBob107cu, StreetGlide107cu, FXDR114, Fatboy114
ตกหล่นไม่รู้อีกเท่าไร..
พอมานับดู  “ขี่มาเยอะจริงๆ”

สมัยละอ่อน ก็ขี่เร็ว เร็วมาก ถ้ารถเล็กก็บิด “สุดปลอก” ทุกคัน
การขี่ “เข้าโค้ง” แบบ “เข่าเช็ดพื้น” ก็เคย แถมยังเข้าแบบไม่มี “Guard” หรืออะไรเลยนะ
กางเกงยีนธรรมดาล้วนๆ !!
เมื่อนึกถึงอดีตแล้ว “กูรอดมาได้ไงว่ะเนี่ย”
ไม่ใช่ตัวเองขี่เก่ง หรือขี่เซียนอะไร ใดๆ ทั้งสิ้น
“โชคดี” ซะมากกว่า

ถ้าย้อนกลับไปได้และมีความคิดแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ “คงไม่กล้า” ที่จะทำแบบนั้นอีก...

เมื่ออ่านถึงตอนนี้... หลายคนคงอยากรู้ว่า.. ผมเคยขับล้ม คว่ำ หรืออะไรบ้างหรือเปล่า...?
.....
.....
......

“ไม่เคยครับ!!” ตั้งแต่ขี่มอไซค์มาสามสิบกว่าปี
“ไม่เคยประสบอุบัติเหตุ แม้แต่ครั้งเดียว!!”
แต่!! ก็เคยจอดรถเรียบร้อยแล้ว เอาขาตั้งลงไม่ดี แล้วรถมาเกี่ยวดึงล้มไปด้วย...
เหลือเชื่อใช่ไหม!! แต่บอกแล้ว “โชคดีล้วนๆ”
มอไซค์นี่ ผมเคยขี่เร็วสุด ประมาณ 280 กม./ชม.!! บนอาน Suzuki Hayabusa1300

แต่ผมเคยอุบัติเหตุใหญ่ จาก “BMX” แทนนะ
ก็เพราะไอ้ท่า “เอาล้อหน้าวิ่ง” นี่แหละ
เบรกหน้า ดีดน้ำหนักตัวขึ้น ล้อหลังยกน่าจะประมาณ 45-60 องศา กะจะวิ่งให้มันได้ยาวมากหน่อย
แต่ทรงตัวพลาด เอาไหล่ลงกระแทก “ไหปลาร้าหัก”
เขาเฝือกไปหลายเดือน...
 
มอเตอร์ไซค์ มันเป็นอะไรที่รถยนต์ให้ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็น “Sport เปิดประทุน” ก็ให้ได้ไม่เหมือน
มันคนละ “Feel”
บนอานมอไซค์ มันจะมีเพียงแค่ตัวเรากับมอไซค์
มันทำให้เราได้รู้สึกว่า “ปลดปล่อย”
มันทำให้เราผ่อนคลาย..
เมื่ออยู่บนอานของมอไซค์ มันทำให้เราไม่ต้องคิดอะไร
“ทุกอย่าง..ปล่อยผ่าน”
เช่นเดียวกับสายลมและแสงแดดที่มันผ่านเข้ามา “ผ่านเข้ามาและก็ผ่านไป”
แม้ว่าเราไม่ได้ขี่มันไปไกล แค่ระยะทางสั้นๆ
แค่นี้มันก็ทำให้เราบันเทิง โดยไม่ต้องมีเสียงเพลง หรือเสียงใดๆ นอกจากเสียงเครื่องและเสียงท่อของมัน
มีเพียงแค่มอไซค์กับตัวเรา เพียงแค่นี้มันทำให้รู้สึกได้ว่า “อยู่กับตัวเอง” จริงๆ 


“สิ่งที่คนเราชอบไขว่คว้า คือ ความฝัน
แต่สิ่งที่คนเราต้องอยู่กับมัน คือ ความจริง”

[the kit]

Hahaha
ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้เจ็บได้ไข้ ขอบใจที่เป็นห่วง..
ถามมา.. ทักมา.. อ่านอยู่ แต่บางคำถามก็ไม่ได้ตอบไป..
เพราะ มันมีคำตอบอยู่ในที่ผม "รีวิว" ไปนะ

PM มาว่าเมื่อไรจะ "เล่า..ต่อ"
ก็อยากจะเล่า เพียงแต่ไม่รู้จะ “เหลา” อะไรให้ฟังดี..

มาเดือนนี้ “มีเรื่อง..” แล้ว
เล่นนอกเรื่อง “รีวิว Dmax” มาหลายเดือน..
เดือนนี้ได้ที “เข้าฝั่ง”

Dmax ของผม Remap มาตั้งแต่ “ห้าหมื่นโล” เมื่อ ประมาณ ส.ค.2017
ตอนนี้แตะ “แสนแล้วจ้า”
เพิ่งจะ 100,000 กม. และเอาไป Chk. ศูนย์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
ในรอบนี้รถของผม จะเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งระบบ พร้อมทั้งตั้งวาล์วให้อยู่ในค่าปกติ
หลายท่านอาจจะ งง.. ว่าส่วนใหญ่ของเหลวทั้งระบบ มักจะเปลี่ยนทุก “สี่หมื่นโล”
เพราะรถผมใช้น้อย มีอยู่ช่วงหนึ่ง ใช้รถเพียงแค่ปีละ “หมื่นโล” (แบบต้องพยายามใช้)
ตอนนี้รถผมก็ “แปด-เก้า ปี” แล้วนะ

ตั้งแต่ Remap มา..  ใช้มาประมาณ "ห้าหมื่นโล" ก็ไม่มีอาการ ความร้อนขึ้น น้ำดัน บูสถ์ไหล ควันดำ และอะไรอื่นๆ
ก็ยังคงใช้ได้ดีตามปกติ ที่มัน “ควรจะเป็น”
การขับขี่ผมก็ขับแบบ “ปุถุชน” เร็วบ้าง โหดบ้าง ช้าบ้าง
วีรกรรม-วีรเวร ก็ตามที่ “เคยเล่า”

มี “จดหมายน้อย”  บอกขอชมห้องเครื่องหน่อย
จริงๆ มันแทบไม่มีอะไร “แตกต่าง” จากโรงงานเลยนะ
ไม่เชื่อไปดู...



สกปรก ฝุ่นเครอะ คราบน้ำมันและรอยเท้าหนูเดิน
แต่มันมีสิ่งที่อยากให้ “ผู้อ่าน” เอาไปทำตาม คือ เอา Cable Tie รัดท่อ
รัดไปเลย จะรัดให้มันถี่ๆ ก็ได้
มันจะช่วยป้องกัน ท่อแตกจากการขยาย ตอนอัด กด กระแทก ได้ดี

ฝาครอบเครื่องที่มันสวยงามจากโรงงาน ผมเอาออก
เพราะ มันช่วยลดน้ำหนัก จะทำให้เครื่องเบาขึ้น แรงม้าจะเพิ่มมาอีก ½-1 แรงม้า!!
ไม่เชื่อลองสังเกตุได้ รถแรง แต่งเต็ม ไม่มีคันไหนใส่ฝาครอบนี้!!
......
......
.......
เฮ้ย!!  ไม่จริงนะ!! แค่โม้เล่นๆ
ที่ผมเอาออกนั้น เพราะ ฝาครอบของ Dmax มันออกแบบมา เป็น “โพรง” ตรงกลาง
ซึ่งหนูมันจะเข้าไปอาศัยทำเป็นบ้านของมัน
ฝาครอบนี้มันครอบอยู่บนชุดหัวฉีด ซึ่งมีสายไฟอยู่ด้วย

วันซวยคืนซวย..
หนูตัวผู้แอบออกไปหา “กิ๊ก”  กลับมาหนูตัวเมียจับได้
มันทะเลาะกันยกใหญ่ จะพาลมาแทะ ชุดสายไฟหัวฉีด แก้โมโห
ไอ้เราเลยจะพลอยซวยไปด้วย.. เลยต้องเอาออก..



ใกล้จะปีใหม่ ก็เลยต้องหาอะไรใหม่ๆ
ล้อเก่าชุดที่ใส่ ที่ได้มาจาก “พลานุภาพพลิกโลก”
“ชักเริ่มเบื่อ” กอปรกับ มีเพื่อนสนิทสนใจอยากเดินตาม
เอาไปเลย แม็กพร้อมยางที่ฉันเริ่มเบื่อ ปล่อยให้ไปถูกๆ

“ของเก่าถอดทิ้ง  ใส่มิ้งค์ดีกว่า” ??
“คือ อาร๊ายยย”  อายุต่ำกว่า “สี่สิบ” คงไม่เข้าใจ??
แต่มันเป็น “วลีฮิต” ณ ตอนนั้น อยากรู้ คือ อะไรไปหาเอาเองนะ

เสียเงินแล้ว ล้อชุดใหม่ก็มา...
BF KO2 A/T 265/65-18 + EvoCorse 9”X18” ET20
สเปคนี้ “ไม่ยื่น” ปริ่มพอดีตัวถัง ใส่แล้ว “หล่อเลย”
แม็ก นน.เบา แต่ยางหนัก แถมยังใหญ่กว่าล้อเดิมอีกนิ้ว  ใส่ปุ๊ป “อืดปั๊ป”
ผิดกับชุดล้อ “พลานุภาพ” ไปเยอะ อันนั้นวิ่งดี เร่งสนุก แถมประหยัด นม.
เสียตังค์ไปแล้ว “อืด” ก็ต้องยอมรับมันแล้วล่ะ  รักไปแล้วทำไงได้



“รักก็คือรัก  หลงก็คือหลง  เรื่องมึงสองคน แต่จะให้ชาวประมงนั้นเข้าใจ!!??
สมน้ำหน้าเจ้าวาฬที่เกยตื้นน้ำตาย  ต้องสลายแหลกลงไปในทะเล”
(คิดเอง ชื่อเพลง : ชาวประมงต้องเข้าใจ!! (ด้วยเหรอ?? )

“ข้อเสียมี ข้อดีก็มา”
ล้อชุดใหม่นี้ ใครเห็น ใครก็ว่า “หล่อน้อยกว่าเจ้าของรถ” 
ใส่แล้วก็ดู "เต็มซุ้ม"
ไม่ยื่น ไม่หุบ เสมอโป่งตัวถังพอดี
ไมล์ติดรถวิ่งใกล้เคียง GPS มากขึ้น คือ  ประมาณ 99.5% โดยที่จะแข็งกว่านิดๆ
พวงมาลัยตึงขึ้น เพราะกระทะล้อที่มันกว้างถึง 9”  หน้ายางมันจึงดึงเต็มขึ้น


ยัง  ยังไม่จบ
รถอายุมันเยอะขึ้น แต่ก็ยังสวยอยู่ในยุค จะขายก็ “เสียดาย”
ซื้อใหม่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไร  จะเป็น Raptor ก็เพิ่มอีกหลายตังค์

เลยคิดว่า มาติดอะไรเพิ่มให้รถมันดู “Hi-Tech” มานิด ใช้ประโยชน์ได้จริง จะดีกว่า..

Smart Gauge เป็นคำตอบที่ดี ติดตั้งง่ายแค่เสียบลิงค์กับ OBD II
จ่ายไปไม่กี่พัน ได้คืนกลับมาเยอะแยะ มากมาย Function แถมยังตั้งเตือนได้

เออ!! ดีแหะ
ติดตัวเดียว บอกได้เกือบทุกอย่าง เท่าที่ตัว SG มันสื่อสารกับรถรุ่นนั้นๆ ได้
ผมตั้งเตือนค่าความร้อนและอื่นๆ ไว้  ขับขี่ไปก็ไม่ต้องคอยดูมาก
ถ้ามันเตือน “ดังขึ้นมา” เมื่อไร ค่อยจอด
“เตือนก่อนวายวอด”

ถ้าคุณคิดว่า เงินไม่กี่ตังค์ สามารถจ่ายได้ ก็แนะนำให้ติด
ส่วนจะติดยี่ห้ออะไร ก็สุดแท้แต่เห็นว่าดี
ส่วนตัว ดูตาม “เน็ต” ดู “โหงวเฮ้ง” ว่าหน้าตามันดีลูกเล่นตรงใจ ราคาไม่เกินงามก็ “ลองซื้อ” มาใช้
และมันดี (หรือมันเสีย) อีกอย่าง คือ มันไม่ต้องติด “เกจ์วัด” หลายอัน ที่ติดเป็น “พรืด” ดูแล้วเวียนหัว!!

แต่ก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบเยอะๆ มันดู “ละลานตา” ดี  แสงสีเร้าใจ
แต่โดยมากเห็นติดไว้ให้ “คนนั่งข้าง” ดู  เพื่อช่วยเตือน หรือช่วยให้ “มัน” ตาลาย กระมังไม่แน่ใจ
แถมยังต้องลากสาย “Link” มากมายตามจำนวนมิเตอร์

เห็นแล้วนึกถึงตาม “Lounge” สนามบิน ที่มีนาฬิกาเยอะๆ บางเวลาประเทศนั้น ประเทศนี้
นี่ถ้าเจ้าของรถ ทำงานแบบต้องติดต่อหลายประเทศ คงเอามาติดบนคอนโซลบ้างเป็นแน่แท้ 

เกจ์วัด ถ้าเปรียบเหมือน “คุณแฟน”
สามารถบอกคุณได้แทบทุกเรื่อง..
ตอนยัง “ไม่แต่ง” คบเป็นแฟน Function ก็ยังไม่เยอะ วี้ดว้ายกะตู้หู้ ตามเรื่องไป
แต่พอ “หลังแต่ง” ตอนนี้ Function มาครบ นอกจากเตือนด้วยเสียง อาจจะมีเตือนด้วย “ระบบมากกว่าสัมผัส” มาเพิ่มอีกก็เป็นได้ 

อีกไม่กี่วันก็ปีใหม่ 2564 แล้ว  ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน มีความสุข เดินทางโดยปลอดภัย รถที่ใช้ไม่มีปัญหามากวนใจ ตลอดปีและตลอดไป...




ไม่ชอบ “ชูสามนิ้ว”
ผมชอบชู “นิ้วเดียว”
นิ้วไหน?? 
ไม่ใช่ “นิ้ว” ที่คุณคิดหรอก..
.....
.....
“นิ้วก้อย”  ดีกันตลอด ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง  รักกันๆ 

"เกิดมาก็เปล่า หัวใจก็เปลี่ยว   ไม่นานก็เหี่ยว เกี่ยวก้อยกันไหม" - Cr : เกี่ยวก้อย อัสนี-วสันต์

“ความรักไม่ต้องดีที่สุด  แค่อยู่ด้วยกันแล้วไม่ทุกข์  แค่นี้ก็สุขใจ”   

[the kit]

วันนี้ไม่ได้ “มาเล่า” แต่จะ “มาบ่น!!”

วันนี้ขอพูดเฉพาะเครื่องดีเซล
ในสมัยก่อน 20ปี++ ยังไม่มี “Remap”
มีอย่างมากสุดก็แค่ติดเทอร์โบ แต่งปั้ม

โดยส่วนตัวตั้งแต่เล่นรถดีเซลมา ผม “ไม่เคยชื่นชอบ” ควันดำ ที่มีออกมาในรถดีเซลเลย
ตอนผมใช้ “มังกรทอง” เมื่อติดเทอร์โบก็ต้องแต่งปั้มช่วย
ปั้มสาย สามารถแต่งการจ่ายน้ำมันได้ แต่ส่วนจะมากแค่ไหน จะเหมาะสมอย่างไร
อันนี้อาศัย “ประสบการณ์” ของช่างล้วนๆ
หนาบ้าง บางบ้าง
แต่ส่วนใหญ่ “มักจะหนา” เพื่อกันตัวร้อน และเหลือดีกว่าขาดมากกว่า จึงทำให้มีควันดำ
เพราะการรื้อถอดปั้ม และวัดค่า A/F มันไม่ง่ายเหมือนจูนผ่านคอมในปัจจุบัน


ในสมัยนี้ ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม บางคน บางพวกที่ Remap ไปแล้ว
ชอบหรือต้องการให้มี “ควันดำ”
จากที่ได้พูดคุยมา “เขาว่า” มีควัน คือ แรง หรือมีควัน คือ “Safe”
มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่งเลยนะ

มีควันดำ มัน คือ น้ำมันหนาเกินไปหรือไม่ก็อากาศบางเกินไป ส่วนผสมไม่ลงตัว แบบไม่ควรจะเป็น
เขม่าก็เยอะ แต่พวกนี้ไม่ได้มาแค่เรื่องควันดำ มันมักมาพร้อมกับ “ตัด Cat และอุด EGR !!”

ยิ่งสร้าง “มลพิษ” เพิ่มมากขึ้นไปอีก..
อะไรมึงจะเห็นแก่ตัวขนาดนั้น!!

บางคน มึง Remap ควันดำมา
เร่งจริง เร่งแกล้ง ผู้ใช้ถนนร่วม
มึงปล่อยควันดำ เต็มถนน,  มึงคิดหรือว่านี่คือ “เท่” นี่คือ “แรง”
“เปล่าเลย” มึง คือ “สถุล”
สถุลจริงๆ ไม่มีสิ่งดีๆ เข้ามาเจือปน!! นี่ถ้ามีอาการ “ช้าชิดขวา” เข้ามาร่วมด้วยนะ
“สถุลเ_ยๆ”
อาการแบบนี้พบเจอได้มาก ในรถ “ขี้ครอก”
โดยมาก แต่ไม่ทั้งหมด..

“คนจูน” รับเงินก็ทำตามสั่ง หรือบางทีก็ทำตามใจตัวเอง “จากความรู้หรือความเข้าใจที่ผิด” นั้นแหละ
บ้าไปกันใหญ่!!

ถ้า “คนจูน” หรือ “นักเล่น” อยากจะ Remap ได้อ่านบทความนี้
โปรดเข้าใจใหม่ว่า คุณกำลัง “เข้าใจผิด!!”
การมีควันดำ ไม่ได้หมายความว่ารถแรง!!
ลองปรับ ลองไล่จูนใหม่ ให้ควันดำมันหายไป จับค่า Air and Fuel ให้ได้ 14.6 หรือใกล้เคียงดูซิ แล้วจะรู้ว่า
“มันแรงขึ้นอีก แถมประหยัดน้ำมันมากกว่า” ควันก็น้อยหรืออาจจะไม่มีเลย
แถมรถยังแรงมากกว่าตอนมีควันดำอีกนะ!!

เสียงว่า “ตัด Cat แล้วมันจะวิ่ง อุด EGR แล้วมันรักเครื่อง!!”

แล้วมึงไม่รักลูกหลาน มึงบ้างเหรอ
ถ้าชอบตัด ชอบอุดนัก ลองติดเครื่องยนต์แล้วนั่งดมท่อไอเสียเลยไหม แล้วจะรู้ว่ามัน “เหม็น” กว่าตอนไม่อุดขนาดไหน!!
“รถ” ไม่ต้องไปรักมันมากหรอก ถึงเวลาหนึ่งก็ต้องขาย ก็ต้องเปลี่ยน
รักษาให้สีมันสวย สภาพดี ไม่มีชนหนัก แค่นี้มันก็ขายได้ราคาไม่น้อยกว่าเพื่อนร่วมรุ่นแล้ว
ไม่มีใครถามหรอกว่า ตัด Cat รึยัง, อุด EGR มาหรือเปล่า...จะได้ให้ราคาเพิ่มขึ้น!!

EGR ที่อุดควรเอาออกและทำให้มันเป็นตามเดิม Cat หาตัวแต่งมาใส่แทน เพื่อมัน Flow ดีขึ้นแทนจะดีกว่าเยอะ

ที่สำคัญที่สุด คือ “การสร้างมลพิษจะน้อยลง” มันจะดีทั้งต่อส่วนตัวและส่วนรวม
ถ้าทำได้แบบนี้ จะ “ขอบคุณมาก”

สุขสันต์วันปีใหม่จีน 2564 และ Happy Valentine

“มีอยู่ สองสิ่ง ที่มักเสียใจภายหลัง
หนึ่ง ทำไป ไม่ได้ทันคิด
สอง ได้แต่คิด แต่ไม่ทันได้ทำ”

[Full Throttle]

น่าสนใจมาก
ที่ว่าประหยัดขึ้น พอมีตัวเลขคร่าวๆใม้ครับ ขอบคุณครับ

อัตราการกินน้ำมัน ใน step ที่ผม remap ผมทำตามสูตร HLM คือ วิ่ง 110 กม./ชม. แอร์ auto 25C
ก่อน Remap - 12.8 กม./ลิตร
หลัง Remap - 13.4 กม./ลิตร

อัตราการกินน้ำมันที่ 110 กม./ชม. ประหยัดขึ้น 0.6 กม./ลิตร
 
อัตราเร่งแซงดีขึ้น คันเร่งเบาขึ้น ขับในเมืองง่ายขึ้น ไม่ต้องกดเยอะ ควันไม่ดำ ทุกอย่างๆ ยังเป็นไปตาม STD โรงงาน
รถกระฉับกระเฉงกว่าเดิมเยอะ รอรอบน้อยลงเยอะ แรงขึ้น แต่กลับประหยัดมากกว่าเดิม

ยินดีครับ

Remap แล้ว แรงขึ้น ประหยัดขึ้นหรือเปล่าครับ น่าสนใจมากๆ

[the kit]

น่าสนใจมาก
ที่ว่าประหยัดขึ้น พอมีตัวเลขคร่าวๆใม้ครับ ขอบคุณครับ

อัตราการกินน้ำมัน ใน step ที่ผม remap ผมทำตามสูตร HLM คือ วิ่ง 110 กม./ชม. แอร์ auto 25C
ก่อน Remap - 12.8 กม./ลิตร
หลัง Remap - 13.4 กม./ลิตร

อัตราการกินน้ำมันที่ 110 กม./ชม. ประหยัดขึ้น 0.6 กม./ลิตร
 
อัตราเร่งแซงดีขึ้น คันเร่งเบาขึ้น ขับในเมืองง่ายขึ้น ไม่ต้องกดเยอะ ควันไม่ดำ ทุกอย่างๆ ยังเป็นไปตาม STD โรงงาน
รถกระฉับกระเฉงกว่าเดิมเยอะ รอรอบน้อยลงเยอะ แรงขึ้น แต่กลับประหยัดมากกว่าเดิม

ยินดีครับ

Remap แล้ว แรงขึ้น ประหยัดขึ้นหรือเปล่าครับ น่าสนใจมากๆ

แรงขึ้น ประหยัดขึ้น
แต่ในสเตปที่จูน "ไม่ได้แรงเกินหน้าเกินตา" ชาวบ้านยุคปัจจุบันนะ
เน้น "เหนียว"

จะเอาแรงกว่านี้ ก็ทำได้ คุยกับคนจูนเอา ชอบเจ้าไหน คุยกับเขาดู
แต่ขออย่าง "อย่าเอาควันดำ"

บอกนิด "แรงมาก โอกาสพังก็มาก"

ปล.ลองอ่านไล่ย้อนตั้งแต่หน้าแรกดูนะ มันจะมี "ของดี" อยู่อย่างละเล็กละน้อยในแต่ละกระทู้ที่ผมเล่าไป
ลองเลือกมาผสม มาประยุกต์ดูกับรถของคุณดูนะ เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์อยู่บ้าง...

[tom46]

รบกวนขอสอบถามไว้เป็นความรู้หน่อยนะครับ

เครื่องเบนซิน afr ที่สำหรับการเผาไหม้ดีจะอยู่ที่ 14.7 ส่วนถ้าจะเอากำลังจะอยู่ที่ 12.5

ส่วนเครื่องดีเซล นี่ไม่มีความรู้เลยละครับ อยากทราบว่าถ้าเอากำลัง afr ของเครื่องดีเซล ควรอยู่ที่เท่าไร ที่ควันไม่ดำครับ

[the kit]

รบกวนขอสอบถามไว้เป็นความรู้หน่อยนะครับ

เครื่องเบนซิน afr ที่สำหรับการเผาไหม้ดีจะอยู่ที่ 14.7 ส่วนถ้าจะเอากำลังจะอยู่ที่ 12.5

ส่วนเครื่องดีเซล นี่ไม่มีความรู้เลยละครับ อยากทราบว่าถ้าเอากำลัง afr ของเครื่องดีเซล ควรอยู่ที่เท่าไร ที่ควันไม่ดำครับ

เท่าที่เคยอ่าน และ "ไม่แน่ใจแบบเต็มร้อย"
ดีเซลจะขึ้นอยู่กับแรงอัดเป็นสำคัญ ไม่เหมือนกับเบนซินที่มีหัวเทียนช่วยจุดระเบิด
ยิ่ง  a/f ไปทาง "Lean" จะทำให้ประหยัดน้ำมันและมลพิษน้อยกว่า เช่น 16:1, 18:1 ขึ้นไป

แต่ที่ "ถามมา" ว่าต้องการพลังสูงสุดของดีเซล
"เท่าที่จำได้!!"
ให้ a/f อยู่ในช่วง 12-14:1
แล้วแต่ความจุ แล้วแต่ขนาดและแรงดันในหอย แล้วแต่กำลังอัด แล้วแต่ความละเอียดของหัวฉีดรวมถึงแรงดัน
รวมถึงประเภทส่วนผสมของดีเซล

ที่พูดไปไม่แน่ใจว่าถูกเต็มร้อยหรือเปล่านะ ต้องไปขยายหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะ!!
ถ้าจูนตามที่ว่า "ควันดำ" มาแน่นอน เพียงแต่จะมากหรือน้อยว่ากันอีกที

[tom46]

รบกวนขอสอบถามไว้เป็นความรู้หน่อยนะครับ

เครื่องเบนซิน afr ที่สำหรับการเผาไหม้ดีจะอยู่ที่ 14.7 ส่วนถ้าจะเอากำลังจะอยู่ที่ 12.5

ส่วนเครื่องดีเซล นี่ไม่มีความรู้เลยละครับ อยากทราบว่าถ้าเอากำลัง afr ของเครื่องดีเซล ควรอยู่ที่เท่าไร ที่ควันไม่ดำครับ

เท่าที่เคยอ่าน และ "ไม่แน่ใจแบบเต็มร้อย"
ดีเซลจะขึ้นอยู่กับแรงอัดเป็นสำคัญ ไม่เหมือนกับเบนซินที่มีหัวเทียนช่วยจุดระเบิด
ยิ่ง  a/f ไปทาง "Lean" จะทำให้ประหยัดน้ำมันและมลพิษน้อยกว่า เช่น 16:1, 18:1 ขึ้นไป

แต่ที่ "ถามมา" ว่าต้องการพลังสูงสุดของดีเซล
"เท่าที่จำได้!!"
ให้ a/f อยู่ในช่วง 12-14:1
แล้วแต่ความจุ แล้วแต่ขนาดและแรงดันในหอย แล้วแต่กำลังอัด แล้วแต่ความละเอียดของหัวฉีดรวมถึงแรงดัน
รวมถึงประเภทส่วนผสมของดีเซล

ที่พูดไปไม่แน่ใจว่าถูกเต็มร้อยหรือเปล่านะ ต้องไปขยายหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะ!!
ถ้าจูนตามที่ว่า "ควันดำ" มาแน่นอน เพียงแต่จะมากหรือน้อยว่ากันอีกที

ขอบคุณมากครับ

[the kit]

มีหลายคน PM มาถาม มาคุย บ้างอันก็ตอบได้ หลายอันก็ตอบไม่ได้
“ผมไม่ใช่ กูรู เรื่องรถนะ” เป็นแค่ “ฅ.เล่นรถ”

เอาที่ถามมาเดือนที่แล้ว เรื่อง MuX ใหม่ ว่าเป็นไงบ้าง
บอกตรงว่า ผมไม่ใช่ "แฟนพันธุ์แท้" และไม่ได้เป็น "ติ่ง" ของ “อีซุ” นะ

“อีซุ” ที่เคยใช้ และใช้อยู่
โดยตัวมัน ในหลายๆ รุ่น ที่เคยขับในประเภทรถกระบะเล็ก -  6ล้อ
ก็ไม่ได้โดดเด่น โดยรวมมันเป็นรถแบบ "กลางๆ" ในแทบจะทุกเรื่อง
และ MuX ใหม่เอง ผมก็ไม่เคยขับและไม่เคยไปดูตัวเป็นๆ แบบจริงจังเลย แค่เห็นวิ่งบนถนนและข้อมูลจากเนตแค่นั้น
เท่าที่เห็น โดยส่วนตัวรู้สึกว่า "ตูด" สีขาวไม่สวย มันจะจืดไปหน่อย ต้องเป็นสีเข้มถึงจะ “เฉียบ”

แต่โดยรวม ถ้าจะให้ตอบว่า Mux "ดีเลว" ยังไง คงไม่ได้
ก่อนจะซื้อ ต้องลองไปดูให้ดี เทียบ Option และอื่นๆ ที่ "ใจต้องการ" กับตัวเปรียบเทียบยี่ห้ออื่นให้ดี
อันไหน มันตอบโจทย์ อันไหนที่คุณไหว อันไหนที่มันทำให้คุณ รู้สึกว่า “เงินคุณมีค่ามากที่สุด” ซื้ออันนั้นแหละ!!

เอาที่ถามมาล่าสุดของ “มีนา” นี้ เรื่อง Mazda BT กับ Honda Civic
ถามผมว่า “อาจารย์รู้สึกยังไง รถมันแต่งแบบไหน” อะไรประมาณนี้

เออ... ผมไม่ใช่อาจารย์ ที่ผมลงให้อ่าน ก็เป็นเพียง “เรื่องเล่าจากทางบ้าน” ของคนๆหนึ่งเท่านั้น...
ผม “ไม่ได้รู้เรื่องรถทุกเรื่อง”  รู้แค่บางเรื่อง เพราะฉะนั้น “อย่า!! เรียกผมว่าอาจารย์” นะ
แทนว่า “ผมและคุณ” ก็พอ..  และขอยืนยันว่า  “ผมไม่สามารถตอบเรื่องรถ ได้ทุกเรื่อง”

แต่คุยมา ถามมา ก็ขอเล่า ตามที่เข้าใจ ตามที่เห็นตามคลิปแบบที่ทุกคนเห็นแล้วกันว่า..
ถ้าไม่แต่งมากมาย Civic “เป็นต่อ”
ไม่ว่าจะเป็น ช่วงล่าง, Handling, เครื่องยนต์, รวมถึง Aero Dynamic

แต่บังเอิญ BT ตามคลิปนี้ “จัดมาเยอะพอควร” + “แรงแค้น” ที่โดน “ถากถาง” ผ่าน Social Online มาด้วย
ทำให้การขับขี่ มันอาจจะ “ดุดัน” มากขึ้น
“พังไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” ก็ต้องมา..

ตามที่ดูคลิป BT คันนี้ เน้นเครื่อง + คนขับเป็นคนทำรถเองและเป็นเจ้าของรถ + ใช้รถทุกวันตั้งแต่มันยังเป็นป้ายแดง
มันทำให้ “ชินมือ” และสามารถรู้อาการความผิดปกติของรถได้

รถที่ชินมือแบบนี้ ไม่ว่าเขาหรือคุณ
ต่อให้เล่นกับรถแรงกว่า ที่ไม่มากเกินไป แต่ถ้าเขาไม่ชินรถ “ไม่คุ้นมือ” คุณก็มี “แต้มต่อ”

ตอนแข่งมีการ “ถ่วงท้าย” ด้วยข้าวสาร 2 กระสอบ คือ ประมาณ 100 กก.
บางคนอาจจะเข้าใจว่า ถ่วงน้ำหนักเข้าไป ก็ยิ่งเสียเปรียบ เพราะ ทำให้รถหนัก

แต่ที่เขาถ่วงเพราะ เป็นการ “เล่นกันที่ความเร็วสูง” ในระยะเวลา 5 กม.!!
ชื่อว่า “กระบะ” ด้านท้ายก็จะเป็นกระบะ  เมื่อวิ่งที่ความเร็วสูง มันก็จะเบาๆ ส่ายๆ
เพราะจะมีลมหวลตีกลับภายในกระบะและแถมไม่มีแรงกดในด้านท้าย ที่ไม่สามารถใส่ Spoiler ได้

ผิดกันกับ Civic ที่มี ฝากระโปรงหลังที่ช่วยลดลมหวนหมุนในด้านท้าย และมี Spoiler ในด้านท้ายมาช่วยเสริมแรงกดให้ท้ายนิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

ดังนั้นบอกได้เลยว่า ข้าวสาร 2 กระสอบที่ว่า ช่วยได้มากพอควรเลยทีเดียว!!
คือ มันเป็นทั้ง “ตัวช่วยและตัวถ่วง!!”
ถ้าเป็นผม ผมจะหาฝาครอบกระบะใส่ และติด Spoiler หลังขนาดไม่ใหญ่มากเพิ่ม
หรือไม่ถ้าอยากประหยัด ก็เอาฝาท้ายกระบะออก เพื่อให้ลมไม่ต้องมาหมุนวนในกระบะมากไปและหาแผ่นเหล็กมาวางแนบกับพื้นกระบะ เพื่อถ่วงไม่ให้ท้ายเบาเกินไปแทน

การไปถึงความเร็วขนาดนั้นได้ ต้องมีการทดเฟืองท้ายให้ต่ำลง จากเฟืองท้ายติดรถเดิมแน่ๆ
เพราะ ความเร็วระดับ “สองร้อยขึ้น” เครื่องดีเซลในอัตราทดเฟืองท้ายเดิมๆ ในรถรุ่นเก่าๆ รอบน่าจะไป “ป้วนเปี้ยน” อยู่ที่ “ห้าพันกว่าๆ ” หรืออาจจะกว่านั้น!!
ซึ่งรอบสูงขนาดนั้น เรียกว่า “วิกฤต” ของเครื่องดีเซล
ยิ่งเป็นดีเซลสำหรับรถบ้าน ไม่ได้ “ปั้น” เพื่อมาแข่งเป็นเรื่องเป็นราว อย่างเครื่อง Diesel ของ Audi

BT ตามคลิป เลือกใช้เฟืองท้าย Dmax พร้อม “เต็ด” เพื่อช่วยในการออกตัว
พร้อมเกียร์ 6 Speed จาก Dmax1.9 เพื่อช่วยส่งและ “ลดรอบ” แทนเกียร์ 5 Speed และเฟืองท้ายอัตราทดสูงของเดิมติดรถ

พื้นฐานของเครื่องดีเซล ในด้านความทนทาน ต่อรอบสูง อาจจะไม่เท่ากัน

สมมุติ เครื่อง WT25 ของมาสด้าตามคลิป ยัด Turbo ใหญ่ เปลี่ยนแคม ทำนู่นนี่นั้น
แล้ว เครื่อง 4J 2500 ของอีซุ ทำทุกอย่างแบบเดียวกัน ใส่ของแบบเดียวกัน ทั้งคนทำและคนจูนแบบเดียวกัน
เรียกได้ว่า Copy and Paste มาเลย เพียงแต่จูนกล่องให้เหมาะกับเครื่อง

เมื่อ “อัด” ที่ความเร็วสูงสุด ในรอบสูงเหมือนกัน เครื่อง WT อาจจะทนได้ ประมาณ 10 นาทีก่อน “ลาโลก”
แต่เครื่อง 4J “อาจจะ” ลาโลก ตั้งแต่ยังไม่ 3 นาที ก็เป็นได้ ใครจะรู้!!??
 
และเมื่อดูจากหลายคลิป ที่เกี่ยวกับ BT คันนี้ โดยเฉพาะคลิปแข่ง
จะเห็นได้ว่า เจ้าของและคนขับ เป็นหนึ่งเดียวกับรถได้ดี
“คุมอารมณ์” ได้ดีมาก
สังเกตุได้จากตัว “Smart Gauge” ที่ตั้งเตือนให้เปลี่ยนเกียร์ที่ 5000 รอบ
“เตือนปุ๊ป เปลี่ยนปั๊ป” เพราะดีเซล “หายนะ” จะมาเยือนอย่างรวดเร็วมาก เมื่อเกิน “ห้าพันกว่ารอบ” นี้!!
และระบบระบายความร้อน รวมไปถึงระบบหล่อลื่นคันนี้
“ดีเยี่ยม”

อัดโหด จัดเต็มขนาดนี้ Water Temp ยังไม่เกิน 90c
Oil Temp แค่ไม่เกิน 86c

ขนาดรถ Dmax ผมคันที่รีวิว Remap นี้
ไม่ได้อัด ไล่ความเร็วขึ้นตามปกติ ขับลอยลำที่ความเร็วประมาณ 100
Water Temp ยัง 88c, Oil Temp 86c
ถ้าอัดๆ แต่ไม่ได้แช่ยาว แค่โยก-กด-แซง Water Temp 92-93c, Oil Temp 90-91c ตาม Smart Gauge
เพียงแต่ว่า ระบบระบายความร้อนและต่างๆ ยังเป็นของเดิมมากับรถตั้งแต่ป้ายแดงนะ
เพียงแต่เปลี่ยนทุกอย่างตามระยะที่คู่มือระบุ ความร้อนยังขนาดนี้
ความร้อนของรถผมที่ผมว่า มันก็ยังอยู่ในค่าที่ปลอดภัย ระยะปกตินะ

แต่ถ้าเป็นตอนที่ผมวิ่งที่ความเร็วสูงสุด หรืออัดสุด และถ้าอัดยาวหลายๆ กม. ไม่รู้มันจะอยู่ที่เท่าไร
แต่เข้าใจว่า ไม่น่าจะเกิน 100c แต่เรื่องจริงก็ไม่รู้ เพราะตอนนั้นยังไม่มี Smart Gauge ที่สามารถเช็คค่า "Peak" ได้
(ผมคงไม่อัดความเร็วสูงสุดมาฝาก มาให้ดูกันนะ ถ้ามันจะมี ก็คงตามระยะเวลานั้นๆ)

Smart Gauge นี่ผมแนะนำให้ติดเลยนะ ถ้าคุณไม่เดือดร้อนในเรื่องเงิน ในหลักพันมากเกินไป
ยิ่งรถคันไหน ที่ไม่มีเกจ์บอกอุณหภูมิความร้อน บอกแค่ตอน "ตัวเย็น" แล้วก็ตอน "ตัวร้อน" เลย!!
ไม่ว่ารถคุณ มี "หอย" หรือไม่มี อย่างน้อยมันก็สามารถตั้งเตือนเรื่องความร้อนได้ ก่อนมันจะ "Heat"
เพราะถ้ามัน "Heat" มาแล้ว เบาๆ ก็หลายพัน หนักๆ ก็หลายหมื่น
และพอหนักๆ มาแล้ว  ซ่อมได้ก็มักไม่ดีเท่าของเดิม มักจะมีอะไรมา "หงุดหงิด" กวนใจเพิ่มอีก
เมื่อคุณติดมันไปแล้ว พอคุณจะขายรถ ก็ย้ายไปติดคันใหม่ได้ต่อ

สรุป ที่ BT ชนะ ไม่ใช่แค่ คนขับ “ใจกว่า”
แต่เพราะรถ “ทำถึง” ด้วย นี่ขนาดเขาให้ “สัมภาษณ์” ว่า “Inter” รั่ว Boost อยู่ที่ 38 psi นะเนี่ย!!
ถ้าได้เต็มตามจูนที่ 50 psi มันจะแรงขึ้นอีกขนาดไหน!!

แต่ผมเชื่อว่ายังมี “ภาคต่อ”
“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร”
ในภาคต่อ ผมว่า ผมถือหาง Civic!!
เพราะ ภาคใหม่ ชื่อ "Civic Revenge"


"ถ้ามัวแต่เดินตามรอยเท้าคนอื่น แล้วเมื่อไรจะมีรอยเท้าเป็นของตัวเอง"

[the kit]

สงกรานต์ปีนี้ไม่ได้ไปไหน แม้ลูกปิดเทอม อยากไปเที่ยว “ตปท.” ก็ไปไม่ได้
ถ้าไปก็ “โดนกัก” กลับมาก็โดนกัก ทั้งขาไปและขากลับ 28 วัน
หมดกันไปหนึ่งเดือน!!

แต่เด็กปิดเทอมทั้งที่ จะให้อยู่แต่บ้าน ตาม “โปรแกรมการท่องเที่ยวในช่วงโควิด” ที่ให้มา
ห้องนอน – ห้องนั่งเล่น – ห้องกินข้าว – ห้องออกกำลังกาย – ห้องน้ำ – ห้อง Theater – ระเบียง ฯลฯ
วนไปวนมา ก็จะกระไรอยู่

เพราะทุกการออกนอกบ้าน ย่อมมี “ความเสี่ยง”
แต่ก็ต้องเลือกเสี่ยงให้มันน้อยเข้าไว้...
ที่ๆ คนน้อย-อากาศถ่ายเท 

“ไปป่าดีกว่า”

ไปป่า ควรจะไปอย่างน้อยสัก 2 คัน เผื่อเหตุฉุกเฉิน ยังพอจะช่วยกันได้
ชวน “เพื่อนซี้ (ซั้ว)” เจ้าของหมู่บ้าน เจ้าเก่าเจ้าเดิมดีกว่า ว่าแล้วก็ต่อสายไปหาเลย..

ผม :  ช่วงนี้มึงออกไป “แรด” ไหนหรือเปล่า?
หมู่บ้าน :  บ้า  เขาให้กักตัว กูก็จะเป็นบ้าอยู่แล้ว เพราะ เมียกู Lazada กับ Shopee แ_งทั้งวัน
ให้แต่กูกักตัว แต่ของแ_ง มาส่งทั้งวัน  แ_งส่งมายังกับที่บ้านมีงานแซยิด!!  มันไม่คิดหรือว่า ไอ้โควิด มันจะติดมากับของ!!

ผม : 555 เออ กูว่าจะพาลูกไปเล่นน้ำ ไปป่า มึงไปกับกูอะเปล่า วันอาทิตย์ที่จะถึง
หมู่บ้าน : ไปดิ!! (ตอบแบบไม่ต้องคิด) ออกแต่เช้าเลย ดีๆ กูเบื่อมากเลย ลูกกูก็ดู Youtube จนตามันจะสั้น ตามั้นจะเหล่ไปหมดแล้ว 
ส่วนเมียกูก็ Lazada Shopee Face IG แ_ง ทั้งวัน  เออ เห็นเมียกูอยากจะคุยกับเมียมึง เรื่องกระเป๋า นาฬิกาหรืออะไรด้วยเนี่ยแหละ

หมู่บ้าน : สัญญาณ Net ไปไม่ถึง ที่นั้นใช่ไหม? กูโคตรรำคาญ ไอ้ Shopee กับ Lazada
ผม : ไม่ถึงมั้ง เออ แล้วเจอกันวันอาทิตย์ เสบียงกรัง เตรียมให้พร้อม ยุทโธปกรณ์ไปด้วยนะ

ผม : เออ แล้วมึง อย่า ออกไปแรดล่ะ  เดี๋ยวเอาโรคมาติดพวกกู
หมู่บ้าน : เออ กูรู้น่า..

ไปกัน 2 คัน 8 คน น่าจะสนุกพอดีๆ

แต่พอถึงวันไป..
ชวนหนึ่ง แตกออกเป็นสอง และเป็นสาม!!
หมู่บ้าน : กูแค่กระแอมเบาๆ บอกว่า มึงชวนไปป่า พาลูกไปเล่นน้ำ ไปไหม??
หมู่บ้าน : พวกมันก็มากันอย่างพร้อมเพรียงเลย  แต่กูก็ถามพวกมัน เหมือนมึงถามกู “ได้ออกไปแรดไหม?” 
มันก็ว่าไม่นะ มุกเดียวกับกูเลย “เมียไม่ให้ออก!!”

ผม : เออ ไอ้เช๊.. โควิดเขาไม่ให้รวมตัวกันเยอะ แต่ดันรวมกันอย่าง พร้อมเพรียงเลย!!
หมู่บ้าน : กูว่าแล้ว มึงต้องเจริญพรกู ที่กูบอกพวกมันด้วย เพราะกูกลัวเมียกู จะชวนเมียมึงคุยแต่ Shopping กัน เลยต้องหากำลังสนับสนุน
แต่มึงไม่ต้องกลัวนะ กูเอาที่ตรวจอุณหภูมิ มาจาก สนง.ด้วย (แล้วมันก็ให้ทุกคนตรวจ 555) กูกลัวมึงว่าเอา...  เห็นไหมบอกแล้วว่าพวกเราปลอดภัย!!

แก๊งเดิม ก๊วนเดิม รถที่เอาไปก็เหมือนเดิม
คันละ 4 คน, 4 คัน 16 คน Raptor 1, FTN TRD 1, PJS 2 ทั้งหมด “ขับสี่”

ถ้าจำไม่ผิด เมื่อปีที่แล้ว “พวกเรา” ก็มากัน แต่ในครั้งนั้น ไอ้เพื่อนผม FTN เพิ่งจะเคยลอง “ขับสี่”
ในวันที่ไปนี้ มันก็ถามอีก ถามว่า “กูต้องใส่ H4 ไหม?”

ผม : ขับสี่ของมึง จะใช้ได้สำหรับทางลูกรัง หรือทางอะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ ทางลาดยางหรือคอนกรีต หรือถ้าเป็นทางลาดยางหรือคอนกรีตก็ต้องเป็นสภาพที่ไม่ปกติ
เช่น มีเลนหรือโคลนที่มันต้องวิ่งในระยะทางที่พอสมควร ถึงจะเลือกใช้
ถ้านอกเหนือจากที่ว่าแล้ว ไม่ต้องเลือกใช้  แต่ถ้ากูจำไม่ผิด ตามคู่มือ มันบอกให้ใส่ขับสี่ ทุกเดือนๆ ละ 16 กม. นะ ลองไปอ่านดู”
FTN : แล้ว L4 ล่ะ

ผม : ถ้าไม่ได้ลุยแบบโหดๆ ปีนป่ายแบบชันๆ แล้ว ไม่ต้องเลือก แต่จริงรถมึงจะลุยโหดมากก็ไม่ได้นะ ขอบ 20 ยางมันบาง
FTN : ใช้ได้แค่นั้นนะ ไอ้ L4
ผม : อ่อ ถ้าใช้ลากจูงวัว จูงควายแบบมึงแล้ว ใช้ได้!!
FTN : @#$$%$%^&^*&*( 

ปีนี้เราก็ไปที่ “ฝายน้ำล้น” ที่เดิมอีกเช่นเคย
“ขาไป” ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น เพราะ มันเป็นทางดิน แต่ชื้นหน่อย น่าจะมีฝนตกเมื่อคืน แต่คงไม่มาก
จะเลือกวิ่งขับ 2 หรือขับสี่ก็ได้ตามสะดวก เลอะๆ เปรอะๆ เต็มหน้ายางไปแบบ “สบายๆ”

ช่วงทางดินผสมลูกรังนี้ ระยะทางประมาณ 4 กม.
เมื่อเข้าทางดิน ทางลูกรัง ไอ้เจ้าของหมู่บ้าน ก็ “โชว์พาว” Raptor ของมันทันที
กดอัดรูดเข้าไป ให้พวกผมที่เหลือ “กินฝุ่น” ไป

ไปถึงฝาย โชคดีมาก ไม่มีคนเลย มีแค่กลุ่มพวกผม
แม้ว่าช่วงนี้ จะเป็นช่วงหยุดยาว แต่ก็เป็นวันหยุดสุดท้ายที่มักจะเดินทางกลับ เพื่อเตรียมตัวไปทำงานในวันรุ่งขึ้น
หรืออาจจะกลับล่วงหน้าไปก่อนแล้วก็เป็นได้
อย่างว่า ตาม “บ้านนอก” แบบนี้ ลูกหลานเมื่อถึงวัยทำงาน ก็มักจะไปหาเช่าห้อง อยู่ในเมือง เพราะ สะดวกกว่า
การเดินทางไป-กลับ ที่นี่ค่อนข้างลำบาก
ส่วนเด็กน้อย ก็มักจะอยู่กับ “ตายาย” ถ้าจะปล่อยให้มาเล่นน้ำเอง ก็อาจจะอันตรายได้

มาถึงที่ “ฝาย” นี้ ธรรมชาติจริงๆ สัญญาณ “Net” ไม่มี
สัญญาณโทรศัพท์ มาแบบ “อ่อนปวกเปียก” มีแค่ 1 ค่าย และแค่ 1 ขีด
Lazada Shopee คุณไม่ได้สิทธิ์ไปต่อ ณ ที่นี้!!

ระดับน้ำตรงที่พวกผม “ตั้งแคมป์” ก็พอดีๆ ประมาณ  1 เมตรเห็นจะได้
นั่งกิน นั่งคุยเฮฮากันไปตามเรื่องตามราว เมียๆ ก็คุยกันไป ลูกๆ ก็เล่นน้ำกันไป จนถึงประมาณช่วง ห้าโมงเย็นกว่าๆ “เมฆดำ” ก็ลอยใกล้มาแล้ว
อากาศเย็นลงค่อนข้างเร็ว  ลมค่อนข้างแรง แต่ก็ “Chill” ดี

พวกเราตอนแรกก็กะว่าจะอยู่กันถึงทุ่ม-สองทุ่ม เพราะตระเตรียมอุปกรณ์แสงสว่าง ฟืนไฟ และ “ยุทโธปกรณ์” มาอย่างเพรียบพร้อม
แต่เมื่อเห็นมืดเร็วมาพร้อมกับฝนแบบนี้ คงต้อง “ย้ายตูด” ดีกว่า
กำลังเก็บของยังไม่ทันเสร็จ ฝนและลมก็กระหนำ ไอ้พวกเรา “พ่อบ้าน” ผู้ชายอย่างเราไม่ค่อยกลัวหรอก สบายๆ พร้อมลุย
แถมยังมีคนบ้า เมื่อสายฝนมา อยู่คน “ตกลงมาเลยแรงๆ กูรออยู่!! ”
ผม : เฮ้ย!! ใจเย็น มึงเป็นอะไร บอกกูได้...
กูจะได้ลุยสักที!! เจ้าของหมู่บ้านเอ่ย...ด้วยดวงตาที่มองไปยังฝายน้ำและสายฝน
ผม : คิดในใจ (เท่จริงๆ มึง กูล่ะรู้สึกหนักใจแทน ลูกและเมียมึงจริงๆ 555)

ฝนแรงสมใจอยาก แถมเม็ดใหญ่ซะด้วย!!
ฝนและลม ไม่น่ากลัว แต่ “ฟ้า” นี่สิ ทั้งแล่บ ทั้งร้อง แถมมี “ผ่า” อยู่ไม่ไกลนัก

4H, H4 ใส่เลยๆ ย้ายตูดๆ
ฝนและฟ้า จัดหนักมากๆ

ชิงหนีเบอร์ 1 Raptor กดลุยแบบบ้าๆ ไป นำหนึ่ง
ตามด้วย PJS, FTN และ PJS ผมปิดท้าย
ทางดินสภาพชื้นๆ ผสมลูกรังเมื่อตอนเข้ามาหายไป ตอนนี้ไม่เหลือสภาพเดิม
มันเละ แถมมีทางน้ำไหลตัดผ่านทางหลายแห่ง  บางแห่งสูงราวๆ 20 ซม. เห็นจะได้
อย่างว่ามันเป็นทางตัดผ่าน “ป่ามัน” 

ยิ่งมี “แว๊บๆ” ฟ้าแล่บ ฟ้าผ่า กลางป่ามันนี่ เรียกความตื่นเต้นได้ดีที่เดียว!!
สี่กิโลตอนเข้า กับสี่กิโลตอนออก นี่หนังคนละม้วนเลยทีเดียว
ขามายังกับหนัง Sound of music  ขากลับยังกับหนัง Rambo

โชคดีที่ผม “ไม่ชะล่าใจ” เอา Dmax ผมที่ขับสองมา แม้ว่ามันจะใส่ ยาง “AT”
แต่ยังไง ผมก็ว่า ยังสู้ ขับสี่ยาง HT ไม่ได้ เพราะ “ขับสี่” ยังไง ก็มั่นใจไปได้ทุกทางมากกว่าและโอกาสเอาตัวรอดได้เองก็มากกว่า
ยิ่งเป็นขับสี่ชั้นดีแบบที่ติดรถ PJS มา ยิ่งทำให้ "มั่นใจ" เพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ควรใส่ยาง AT ก็ยิ่งแจ๋ว หรือถ้า “ลุยมันทุกวี่ทุกวัน” จะไป MT ก็แจ๋วกว่า
แต่เสียงบน “ทางดำ” อาจจะหนวกหูมากกว่าอีกพอควร

เมื่อถึงทางดำก็เจอ Raptor จอดรออยู่ เพื่อที่จะ “จัดขบวน” เดินทางกลับ
ขากลับก็ขับตามกันและไปหาแวะกิน “ข้าวต้ม” กันสั้นๆ ก่อนแยกย้าย

ที่ร้านข้าวต้ม..
หมู่บ้าน : ออกมาจากฝาย กูใส่โหมด Baja กูลองมาเลย กูกดใส่มาแบบนักแข่งแรลลี่เลย (ทำท่าประกอบ) พอเจอร่องน้ำเท่านั้นแหละ
รถ แ_งเกือบพุ่งเข้าป่ามัน  เมียกับลูกกู กรี๊ดลั่นรถเลย!!  ใครจะไปรู้ว่ามันมีน้ำป่าตัดผ่านทาง สูงขนาดนี้ว่ะ!!

ขำกันทั้งโต๊ะ ยกเว้นคุณเมียและคุณลูกของมัน 555

“มิตรแท้จะเคียงข้างในยามที่ลำบาก มิตรแต่ปากยามลำบากจะจากไปเสมอ”

[the kit]

มีคำถาม “โดนใจ” มา 2 คำถาม
ตอบส่วนตัวไปแล้วหนึ่ง คือ เรื่อง เครื่องเสียง
ที่เลือกมาคุยอีกหนึ่ง คือ เรื่องระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่ “คนอ่าน”
อยากให้ “เหลาเพิ่ม” ว่าทำไมระบบ “ขับสี่” ของ PJS กับ FTN ตัวปัจจุบันมันต่างกันเหรอ?
ทั้งที่มันขับสี่เหมือนกัน??

เอา เข้ามาใกล้ๆ จะเล่าให้ฟัง....
โดยทั่วไป “ระบบขับสี่” มันจะมี “ทรานเฟอร์เกียร์” อีกชุดหนึ่งไม่รวมกับเกียร์หลัก
มี 2 อัตราทดแบ่งแยกการถ่ายทอดกำลังอย่าง “ชัดเจน”
มี H (High) เพื่อเพิ่มการยึดเกาะ ในทางลื่นหรือผิดปกติเล็กน้อย แต่ยังคงใช้ความเร็วได้
มี L (Low) ที่เป็นอัตราทดสูง เพื่อเน้นแรงบิด เสริมการปีนไต่ แต่ก็ต้องแลกด้วยความเร็วที่ลดลง ประมาณว่า อาจจะเหลือ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ของอัตราทดปกติ

ระบบขับสี่ สามารถแบ่งเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ Part-Time กับ Full-Time

ว่ากันที่ Part-Time ก่อน ก็ คือ แบบที่ใช้ใน FTN ตัวปัจจุบัน และในอีกหลายยี่ห้อ
จริงๆ Part-Time แบบ FTN นี้ เป็น Part-Time ขับสี่ ที่มันมีมา “นานนม-นมยาน”
เมื่อยามขับขี่บน “ทางดำ” ทางปกติ ก็จะเลือกที่ “ขับสอง” คือ กำลังขับถูกส่งไปแค่ล้อหลัง 100%
ล้อหน้าไม่มีกำลังขับ ทำให้ไม่กินแรงเครื่อง หักเลี้ยวได้คล่อง เช่นเดียวกับรถทั่วไป

แต่เมื่อใส่ “ขับสี่” ของแบบ Part-Time 
กำลังที่ถ่ายทอด จะถูกแบ่งไปยังล้อหน้า-หลัง 50/50 เท่ากัน เน้นทางลื่น ทางวิบาก เพื่อช่วย “ตะกรุย” และยึดเกาะ

และเมื่อกำลังขับถูกแบ่งไปยังล้อหน้า-หลัง 50/50 เท่ากัน 
เมื่อมีการ “หักเลี้ยว” ล้อคู่หน้าย่อมมีแรงเสียดทานมากกว่า มันก็จะฝืน มันจะทำให้วงเลี้ยวกว้างมากขึ้น
คือ มันเลี้ยวแบบไม่เป็นธรรมชาติ  อันเนื่องจากการกระจายแรงแบบเสมอ หน้า-หลัง 50/50 นี่เอง

คือ “ขับสี่” (H4) ของ FTN หรือของรถรุ่นอื่นๆ ที่เป็นแบบ Part-Time นี้ ควรจะ “ใส่สี่” แค่ตอนสภาพทางไม่ปกติหรือลื่นเท่านั้น
ส่วนในสภาพทางปกติ ก็ไม่ควรใช้ แต่ถ้าผมจำไม่ผิด “ตามคู่มือ” จะแนะนำให้ “ใส่สี่” ทุกเดือนเป็นระยะทางอย่างน้อย 16 กม.หรือ 10ไมล์ เพื่อหล่อลื่นระบบบ้าง
ทำตามคู่มือได้ เพราะ เขาคงทดสอบมาแล้วว่า “เหมาะสม”
 
ที่เพื่อนผมเคยถามผมว่า “...สามารถใส่ ขับสี่ วิ่งตลอดเวลาใน FTN ได้หรือไม่?”
-   ไม่ได้ เพราะ การกระจายแรงขับ หน้า-หลัง แบบตายตัว 50/50 นี้มันจะทำให้ “ฝืน” ตอนเวลาเลี้ยว
ที่จะทำให้ระบบบังคับเลี้ยวและส่วนอื่นๆ สึกหรอเร็วกว่าปกติ

และถ้าเอาไว้วิ่งเร็ว ไม่มีเลี้ยวกลับรถ แค่ทางตรงหรือโค้งกว้างๆ ล่ะ ได้ไหม?
-   ได้ แต่ก็คงไม่ดีนัก เพราะ อย่างที่บอก มัน “กระจายแรงขับ” หน้า-หลัง แบบตายตัว 50/50
ทางตรงคงไม่มี ปห. แต่ทางโค้ง ถึงแม้จะเป็นโค้งกว้าง ล้อหน้า-หลัง, ซ้าย-ขวา เจอการกระจายแรงขับ หน้า-หลัง
แบบตายตัว 50/50 มันก็จะ “ฝืนๆ” ยิ่งไปเร็วๆ ร้อยกว่าสองร้อยนี่ โอกาส “หลุด” สูง!!

สรุป Part-Time ขับสี่ (H4) จะใส่ก็ต่อเมื่อ สภาพทางไม่ปกติ หรือแค่วิ่งเพื่อหล่อลื่นระบบเท่านั้น
ถ้าเป็นสภาพทางปกติ ควรใช้แค่ 2H เท่านั้น
ส่วน 4L ใช้ก็ต่อเมื่อ ทางวิบาก (ลำบาก), ปีนไต่ชันๆ เท่านั้น

ก่อนจะไปเหลา “ระบบขับสี่ของ PJS”
จะขอพูดถึง “Full-Time 4WD” ก่อน
ชื่อมันก็บอกแล้วว่า “ขับสี่ตลอดเวลา” จะไม่มีตัวเลือกที่จะมา ทำให้มันวิ่งแค่ ขับสองได้
แต่มันจะมีตัวเลือก ให้ล็อคการกระจายแรงขับ ให้เป็นแปรผัน หรือจะล็อคให้ หน้า-หลัง 50/50 ได้
และตัวเลือก "อัตราทดสูง" เพื่อปีนป่ายทางชันๆ (4L)

ถ้าวิ่งในเมืองปกติ ก็เลือกแปรผัน หรือในบางรถก็ไม่ต้องเลือก เพราะ “เขาบอกในคู่มือ” อยู่แล้วว่า
“กระจายแรงขับตามสภาพทาง” แล้วแต่รุ่น แล้วแต่รถด้วยนะ

หลักๆ ก็ประมาณนี้...

มาว่ากันด้วยระบบขับเคลื่อนของ PJS ตัวปัจจุบัน ขับสี่บ้าง
จริงๆ PJS จะว่าไป นี่เป็น “Hybrid” เลยนะ คือ จะเป็น Part-Time ก็ได้ เป็น Full-Time ก็ได้
เป็นระบบขับเคลื่อน “อัจฉริยะ” เลยทีเดียว

ถ้าเลือก “ขับสอง (2H)” มันก็จะส่งกำลังขับ 100% ไปที่ล้อคู่หลังเท่านั้น ล้อคู่หน้าไม่มีกำลังขับ เพื่อประหยัดน้ำมัน
แต่ถ้าเลือก “ขับสี่ (4H)” มันก็จะส่งกำลังขับ “แปรผัน” หน้า-หลัง 30-70, 40-60 แล้วแต่สภาพทาง!!
เมื่อเลือกแบบนี้ รถก็จะกลายเป็น “Full-Time 4WD”  ไปนั้นเอง

ข้อดีมีมากมายจากการส่งกำลังขับแบบแปรผันนี้  คือ
ทำให้เวลาเลี้ยว หรือกลับรถ “ไม่ฝืน”
ปัญหาวงเลี้ยวกว้างที่เพิ่มจากการใส่ขับสี่ “ไม่เกิดขึ้น”
ความคล่องตัวเทียบได้กับรถขับสองทั่วไป แต่ประสิทธิภาพการเกาะถนนเหนือกว่าหลายขุม!!
สามารถ “ใส่สี่ (4H)” ได้ทุกสภาพทางทั้งแห้งและเปียก ทั้งขับช้าหรือเร็ว เพราะ มันคือ ขับสี่แบบ Full-Time เช่นเดียวกับ
Mitsu EVO, Nissan GTR ฯลฯ

แต่ แต่ แต่ ถ้าใส่แค่ 4H ไปลุย ถ้า “ติดหล่ม” ในล้อหลังค่อนข้างลึก
แรงขับที่ส่งมาในด้านหน้า สูงสุดแค่ 40% อาจจะไม่พอ ที่จะช่วย “ตะกรุย” ขึ้นนะ

แต่ช้า แต่.. ใน PJS ยังมีให้เลือกอีกระดับใน 4HLc 4WD High Range With Locked Transfer ในโหมดนี้ระบบส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4
โดยมีระบบ Center Differential Locked  ทำหน้าที่ในการเฉลี่ยแรงบิดไปยังล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลา เพื่อช่วย “เอาตัวรอด” อีกหนึ่ง

เมื่อใส่ 4HLc ก็มีค่าเท่ากับ H4 ที่มีใน FTN แรงขับ หน้า-หลัง แบบตายตัว 50/50 และถ้าใส่ระบบนี้ เวลาเลี้ยวหรือกลับรถก็จะ “ฝืนๆ” เช่นเดียวกันนะ เพราะมันล็อคแรงขับ 50/50

แต่ที่ ขับสี่ของ PJS ตัวปัจจุบัน ที่มันดีมันเหนือกว่าของ FTN หรือเหนือกว่า ระบบ Part-Time ทั่วไป คือ
มันมีระบบขับสี่ที่ส่งกำลังขับ “แบบแปรผัน” หน้า-หลัง แล้วแต่สภาพทางได้ จึงสามารถใส่ขับสี่ได้ทุกสภาพทาง ทั้งแห้งและเปียก ในทุกๆ ความเร็ว
เพื่อเพิ่มสมรรถนะการยึดเกาะถนน และยังใช้ได้คล่องตัวเช่นเดียวกับขับสองทุกประการ
และเมื่อถึง “บทบู๊” ก็ยังลุยได้ เฉกเช่น ขับสี่สาย “Off Road” จะพึงลุยได้เช่นกัน

แต่โดยรวมไม่ว่าจะขับสี่แบบไหน
ก็อย่าเพิ่ง “มั่นใจ” ว่ารถกู “ขับสี่” มันคงพาไปได้ทุกที่ทุกทาง
เพราะนอกจากรถที่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นยางที่เหมาะสมกับสภาพทาง ไม่ว่าจะ A/T, R/T, M/T ก็ตาม
และอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น Winch หน้า-หลัง และอื่นๆ ที่อาจจะต้องติดเพิ่มแล้ว

หลายคนตั้งแต่ซื้อ “Four Wheels” มา ยังไม่เคยใส่ “4 Low” ก็เยอะ
การลุยป่าแบบลำบากจริงๆ จังๆ แทบจะใส่ด้วยเกียร์เดียว คือ 4 Low เลย!!
เพราะการลุยป่า ไม่ใช่การขับแบบ “Rally” ที่เน้นเร็วเป็นหลัก

การลุยป่าจริงๆ ในบางครั้ง อาจจะ 1-2 กม./ชม. ก็มี
ยิ่งขับเร็ว ก็ยิ่งพังเร็ว ไม่ใช่แค่รถ
“ธรรมชาติ” ก็จะถูกทำลายไปด้วย
รักที่จะเที่ยวกับธรรมชาติ ต้องรู้จัก “รักษ์” มันด้วย!!

ในบางป่า อาจจะเป็น “พื้นที่อุทยาน” ต้องมีการขออนุญาตก่อนเข้า
อันนี้ยังไม่รวมเรื่อง “ยุทโธปกรณ์” ที่พกพาไปด้วยนะ อันนี้ค่าปรับก็แพงพอควร
บางที่เข้าไป “ซี้ซั้ว” อาจเสี่ยงต่อการ “ติดคุก” ได้ หรือ “ทั้งจำทั้งปรับ!!”

การขับลุยป่า หรือในทางที่ไม่รู้ ไม่ชำนาญ บทจะลุย บทจะบู๊ แบบ “One Man Show” เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
ควรจะหา “คู่บ้า” ไปด้วย ไปกันอย่างน้อย สองคันขึ้นไป
เข้าทำนองที่ว่า
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับมาได้”

“ปัญหาตื้นๆ” เช่น ยางรั่ว แก้มยางฉีก ทำเอาแย่ มาหลายคน
เพราะมันมายาก ตรงที่ “จุดขึ้นแม่แรง”

“เสบียงกรัง” ถ้าเป็น “ป่าจริงๆ” ต้องเตรียมไว้ “ให้เกิน”
เช่น ไปเที่ยว 2 วัน 1 คืน อาจจะต้องเตรียม “คูณสอง”

การ “กางเต็นท์” ใกล้น้ำ ช่วงหน้าฝน “ระวังน้ำป่า” ด้วย
ถ้าเสียงดังมา อาจจะแสดงว่า “สายไป...”

ถ้ามี “คนนำทาง”  “เด็กในพื้นที่”  ไปด้วยก็จะดีขึ้น
 แต่ต้องเอาคนที่คุณว่า “ชัวร์ๆ” นะ  ไม่งั้น มันอาจจะเป็น “Last Trip”
โดยส่วนตัว จะให้ดีที่สุด ควรต้องมี “พลรับใช้” ที่เคยใช้มานานไปด้วย ก็จะอุ่นใจและสบายกายมากขึ้น



“ถ้าคุณไม่อยากจะแพ้ฝุ่น  ให้ล้อหมุนมาบ้านนอกในขุนเขา
ธรรมชาติอากาศดีแถมมีเรา ไม่ต้องเมา ฝุ่นควันในเมืองกรุง”

"Climb the mountain… so you can see the world, not so the world can see you."
"ปีนภูเขา…เพื่อที่คุณได้เห็นโลก, ไม่ใช่เพื่อให้โลกได้เห็นคุณ"

I see skies of blue
And clouds of white
The bright blessed day
The dark sacred night
And I think to myself
What a wonderful world - Cr : Wonderful World - Louis Armstrong

[the kit]

เมื่อเดือนที่แล้ว ใน “บางเพจ” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “การแต่งรถ”
โดยคุยกันเกี่ยวกับเรื่อง “รถโหลด”
โหลดแบบเตี้ยสุดๆ ของรถกระบะ

แล้วก็ไปทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องของการ “เว้าแชสสีย์” ว่ามันจะทน? มันจะ อตร.?

ถ้าได้อ่าน ได้ติดตามที่ “ผมเล่า” มาตลอดก็จะเห็นว่า...
ผมเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน...

อย่างที่เคยบอก การโหลดรถ เมื่อประมาณ “ยี่สิบกว่าปี” ที่ผ่านมา
จะเตี้ยก็เตี้ยสด “ไม่สวมถุง”
จะมีก็อย่างมาก คือ “Hydrolic”

รถกระบะ ถ้าอยากจะโหลดสุด แบบ “ติดดิน”
เพลาหลังก็จะไปยันกับแชสสีย์ คือ ถ้าโหลดแบบนี้ รถก็จะวิ่งได้ลำบากมาก
เพราะ มันไม่มีช่วงยุบ เหมือน “กระดานเหล็ก” เคลื่อนที่ได้!!

ดังนั้น ถ้าต้องการเตี้ยแบบนี้ การ “เว้าแชสสีย์” เป็นสิ่งจำเป็น!!??
เพื่อให้เตี้ยได้มากขึ้นไปอีก และยังคงมีช่วงให้ตัวของช่วงล่างได้อยู่บ้าง แม้ไม่มากก็ตาม

อย่างผมในช่วงใช้ Isuzu มังกรทองก็มีการเว้าแชสสีย์เช่นกัน
ของผมเว้าเข้าไป ประมาณครึ่งของแชสสีย์!! แล้วก็ดามในด้านในเพิ่ม
เพียงแค่นี้ “หูแหนบ” ตัวล่างก็ห่างจาก “พื้นโลก” แค่ “กล่องฟิลม์” ในแนวนอน หรือประมาณ 1 ½” เห็นจะได้

แข็งแรงไหม? อันตรายไหม?
ถ้าเป็นความรู้สึกในตอนนั้น
“ไม่รู้ ไม่สน” ขอแค่ “สวยฉัน” ใครจะว่าไง.. อย่า!! ได้แคร์!!

ถ้าถามความรู้สึกในตอนนี้..
ในเรื่องที่ “เว้าแชสสีย์” ความแข็งแรงจาก STD แน่นอนต้องลดลง!!
อตร.ต้อง “มีมากกว่า" STD เนื่องมาจากความแข็งแรง..

แต่รถพวกนี้ รถโหลดแบบนี้ โดยมากเน้นขับเล่นหรือจะขับจริงก็ตาม แต่โดยมาก  “ไม่เน้น” บรรทุกหนัก
ความแข็งแรงมันลดลงแน่นอน เพียงแต่ว่า มันไม่ถึงกับสร้างอันตรายต่อเพื่อนร่วมทาง
แต่ในเรื่องที่มัน “เตี้ยติดดิน” นี้ อาจทำให้ “เพื่อนร่วมทาง” รู้สึกว่าเรา เป็นตัว “เกะกะ” ถนนไปก็เป็นได้ สำหรับบางพื้นที่บางถนน

อย่างของผม ก่อนทำ ผมเห็นในนิตยสารแต่งรถของไทย ที่มีแนวคิดมาจากพวก “เมกัน” ว่ามันต้องทำแบบนั้นแบบนี้
ก็อ่านซ้ำๆ ดูรูปมาซ้ำๆ เอา “กล้องส่องพระ” มาส่องหนังสือรถ ดูรายละเอียด สักระยะ

ผมคิดก่อนทำได้ 2-3 วัน ก็ลุยเลย!! และก็ “เว้าแชสสีย์” กับอู่ท่อไอเสียของ “คนเคยเป็นเพื่อน” นี่แหละ
พุดง่ายๆ ก็ "รังสรรค์" กันเองเลย "กูเป็นคนคิด มึงเป็นคนทำ"
หมดค่าทำไป "ไม่กี่ร้อย..."

จำได้เลยว่า ถอดล้อคู่หลังออก ก็เอาตลับเมตรวัดแชสสีย์
เอา “ชอล์ค” ขีดกะให้ได้ตามใจที่ต้องการ อันนี้ผมขีดเอง!! รถเราเอง กะเองเลย “วิศวะกะ”
จากนั้นก็ให้ “คนเคยเป็นเพื่อน” เอา “ไฟแก๊ส” เป่าตัดเลย!!
ตอนตัด “ใจหาย” ไป “ห้านาที” เห็นจะได้ จากนั้นก็มา “ใส่ใจ” สิ่งที่จะไปต่อ...

ก็แต้มดาม แต้มยึด ในจุดที่คิดว่ามันน่าจะช่วยให้แข็งแรงอีกสามสี่จุด เป็นอันจบพิธี
 แต่พอใส่ล้อ เอารถลง ยิ้มไว้ก่อน เตี้ยเพิ่มอีกแค่ไหน
แต่ แต่ แต่ รถมันไม่เตี้ยเพิ่มตาม!!
แถมยัง “แข็งโป๊ก” เหมือนเดิม อะไรหว่า...

ถึงบางอ้อ “ช็อคอัพยัน!!”
หาเทียบ หาเปลี่ยนใหม่ ได้ Monroe กระบอกเหลืองสั้นๆ มาใส่ เตี้ยนิ่ม ลากพื้นสมใจอยาก...


ผมใช้รถในสภาพ “เตี้ยติดดิน” นี้กว่า หกปี บนระยะทางประมาณ สองแสนกว่ากิโล เห็นจะได้
ขับไปทุกสภาพถนน ไป-กลับ กรุงเทพ-บ้านนอก ก็บ่อยมาก บรรทุกหนักก็มี ซัดหนัก เข้าโค้งแรง
ไปติดเนิน จนเป็น “ไม้กระดก” ก็ออกบ่อย โดยเฉพาะ “สะพานทางเข้า RCA”
คือ แค่ขึ้นทะแยงไม่พอ ต้องส่งให้มันกระแทกผ่านไปเลย ถึงจะได้!!

เข้าใจว่า ตั้งแต่อ่านมา.. ผู้อ่านคงเริ่มมีคำถามในใจว่า...
แล้วมี ปห.กับการ “เว้าแชสสีย์ไหม? มันอะไร? มันยังไง?

มีครับ!! มีเฉพาะในส่วนของกระบะ คือ ท้ายมันจะ “ห้อย” ลง
มันจะ “ไม่เป็น” เส้นตรงตามเส้นแนวของรถที่เป็นมาจากโรงงาน
หรือเรียกว่า “ท้ายตก”
และอีก ปห.ที่เจอ คือ พื้นกระบะท้าย “ดุ้ง”
มันดุ้ง เพราะ มันเตี้ยมากจนหัวเพลามากระแทก
เห็นใน ตปท. บางคันตัดเว้า พื้นกระบะ ตรงหัวเพลาออกเลยก็มี

แต่อันนี้ผมไม่กล้า เพราะถ้าตัดออกแล้ว จะมาเชื่อมกลับ ยังไงก็ดูไม่เหมือนเดิม
แถมถ้าที่บ้านเห็นล่ะ โดนด่าเช็คแน่นอน!!
แค่นี้ ที่บ้านผมเห็น คันนี้เมื่อไร ยังเรียกว่า “รถไถ” เลย...
ไปไหน "พื้นเรียบ" ตลอด..

อ้อ!! อีก ปห.หนึ่งที่ลืมไม่ได้ เป็น ปห.หลักเลยล่ะ คือ "ท้องลาย"

แต่นอกนั้นไม่มี ปห.ใดๆ เลย!! นี่คือเรื่องจริง จาก ปสก.จริง!!

เป็นช่วงประมาณ “หกปี” ที่มีความสุขอยู่กับรถคันนี้
ตอนก่อนขายไป ผมมี “ม้าศึก” คู่กายคันใหม่แล้ว

คันนี้ผมก็ยกขึ้นใกล้เคียง STD  ใส่ล้อ OZ Rally ขอบ 15 ยาง Falken Snow 205/60-15 ให้คนงานใช้อีกระยะ
ท้ายรถที่มันห้อย ก็ใช้แม่แรงดัด ให้มันดีดขึ้น
มันอาจจะไม่เท่า STD มันก็จะห้อยนิดๆ แต่ไม่ดูเทียบกับรถเดิมๆ ก็ยากที่จะรู้
แล้วก็อุด-ดาม รูแชสสีย์ที่เว้า แล้วก็ขายไป

ผมเป็นคนเปิดเผย  ผม “ไม่ปกปิด” คนซื้อต่อ
ก็บอกเขาตามตรง เขาก็เข้าใจ (หรือเปล่า!!??)
แต่โดยรวมเขาชอบมาก เพราะรถผม “ครบเครื่อง”
ทั้ง หอย เครื่องเสียง กระจกไฟฟ้า แม็ก-ยาง
รถกระบะสมัยนั้น เพิ่งจะมี “Power  Window” กันเอง มีก็แค่ในรุ่น Top นะ
และในตอนนั้น Turbo จากโรงงานก็ยังมีแค่บ้างรุ่น และส่วนมาก “หอย Nursery”
ความแรงยังห่างจาก “มังกรทอง” ของผมเยอะ

ทุกวันนี้ ในบางวัน นานๆครั้ง ผมยังเจออดีต “รถไถ” ของผมวิ่งอยู่แถวบ้านอยู่เลย!!
สภาพโดยรวม แม้ว่ามันจะ “ร่วงโรย” ตามกาลเวลา แต่มันก็ยังมี “ภาพจำ” อยู่
เป็นล้อ OZ และมีเสียงหวีดจากเทอร์โบอยู่ ตามที่มีมา ตั้งแต่ก่อนขายไป..

“ต้นไม้งาม ไม่ได้มีเฉพาะสีเขียว
ความสำเร็จของเรา ใช่ว่าต้องเป็นสิ่งเดียวกับคนอื่น..”

“อดีตมาก่อนปัจจุบัน แต่อย่าลืมว่าปัจจุบันสำคัญกว่าอดีต”

[the kit]

ก็ “ว่าจะ” มา “เหลา” ให้ฟังตั้งแต่ต้นเดือนนี้
แต่บังเอิญ “Mac book” คู่ใจที่รับใช้มา 11ปี กลับบ้านเก่าซะงั้น
นึกอยากจะกลับ มันก็กลับ โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเลย!!
ไม่รู้กลับ "จีน" หรือ “เมกา”
แต่ขอให้ “โชคดี” นะ

ตอนต้นเดือนรู้สึก “คึก” ที่จะเล่ามากกก
แต่จะพิมพ์ผ่านมือถือ ก็ไม่ “ชอบใจ” ซะเท่าไร
มันไม่ค่อยได้ฟีล...

ตอนนี้ไปถอยเครื่องใหม่มาแล้ว เลยมานั่งพิมพ์ มานั่ง “เล่าสู่กันฟัง”

การโหลดรถแต่งรถ “ผมหมดมาเยอะ”
“สองเดือนที่แล้ว...” คุยเรื่องรถกระบะโหลด
ก็อดที่จะ “เหลา” เรื่อง “เก๋งโหลด” ไม่ได้

รถเก๋งของผม ที่โหลดสุดๆ แบบไม่เสียดายรถเลย คือ Civic ตาโต VTIL เกียร์ธรรมดา
ตอนก่อนออก ก็ว่าจะ “ไม่โหลด” ขี่เดิมๆ!!! (เป็นด้วยเหรอ??)
ออกมาปุ๊ป ยังไม่ทันขับกลับบ้าน ก็สูตรเดิม..
วิ่งเข้าร้านแม็ก ก็เลือก Alpina ก็อป ขอบ 17 + ยาง 205/40-17
แต่เลือกที่จะเตี้ยด้วย “สปริงโหลด” ยี่ห้ออะไร จำไม่ได้
ไม่ใช่ H&R หรือ Spoon จำได้แค่ว่า “สีเหลือง” คู่กับช็อคอัพเดิม
แม่ง....โคตรแข็ง!! แถมยัง “เตี้ยแบบไม่เตี้ย!!??”

มันน่าจะเตี้ยลงแค่ 2-3 ซม. เองนะ
“ทนใช้” ไปไม่นาน โดยหวังว่า พอโดนนวดแล้ว “มันจะนิ่มขึ้น!!”
คิดว่า “นิ่มขึ้น” ไหม???
……
…….
……..
………
ไม่เลย.. ถ้าใครแต่งช่วงล่าง เมื่อใส่ปุ๊ปแล้วมันไม่นิ่ม
ไม่ต้องหวัง หรือ “รอนวด” แล้วมันจะนิ่ม
ถ้ามันไม่นิ่มตั้งแต่ตอนใส่ ต่อไปยังไงก็ “ไม่นิ่ม”

เดี๋ยวนี้ ผมเห็นหลายร้าน มีรับประกันความพอใจ
ถ้าใส่แล้ว ไม่นิ่ม ไม่เกาะ บลาๆๆๆๆๆๆๆ
ยินดี “คืนเงิน...”

ส่วนจะเต็มจำนวนหรือโดนหักอะไรไปแค่ไหน คงแล้วแต่ร้าน คงแล้วแต่ “อารมณ์” เจ้าของร้านแต่ง “มั้ง”

ไอ้สปริงสีเหลือง นี่ก็ทนใช้ได้อีกไม่นาน..
“ศรี จะไม่ทน...”

บอกขายไป กับ “คนไม่รู้จัก” บ้านเขาอยู่ ไม่ไกลจากบ้านผมที่ “กรุงเตบ”
ขาดทุนไป “สองพัน” เห็นจะได้..

ถามเขาว่าเป็นไง แข็งไหม?
เขาว่า “ชอบฟีลนี้!!”
นี่แหละหนา เขาว่า “ตูดใคร ตูดมัน” ดีของมึง อาจจะไม่ดีของกู ก็เป็นได้...

รถผมก็กลับมาใส่สปริงเดิมจากโรงงาน
แต่!! ไปเจอของดี ที่ร้านแต่งช่วงล่าง (จำไม่ได้ว่าที่ไหน)
เป็นปลอกกลึงเกลียว ยาวประมาณ 10” เห็นจะได้
มีแหวนเกลียวปรับระดับมาพร้อม

“ปลอก” ที่ว่ามีหลาย “เส้นผ่านศูนย์กลาง” มาก
วัดแล้วเลือกที่มันใกล้เคียง

ซื้อมาเลย 4 ปลอก

จริงๆ ที่ร้านเขาก็รับแต่ง รับทำนะ
แต่ที่ผมไม่ทำเพราะ เขาจะต้องตัดแกน อัดน้ำมันใหม่..

อันนี้บอกเลย “ทำดีแค่ไหน ก็ไม่ทน”
ถ้าไม่ได้เป็นรุ่นที่มันมีเกลียวที่สามารถถอดออกมา “โม” ได้
เพราะ “ช็อคอัพ” จากโรงงานสำหรับรถ “บ้านๆ” จะเป็นเชื่อมปิดตายมาแทบทุกรุ่น

ผมก็เลยมาให้ “คนเคยเป็นเพื่อน” ช่วยดัดแปลงให้
ผมเป็น "หัวคิด" ส่วนมันเป็น "คนทำ"
โดย “เลาะ” ถาดสปริงเดิมออกมา แล้วเอามา “เชื่อม” ให้แน่หนากับ แหวนปรับเกลียวตัวบน

ตอนนี้ต้องเลือก “กะ” ที่จะวางระดับของปลอกปรับเกลียวให้ดี
ถ้าเอาลงเตี้ยสุด ต่อให้ขันเกลียวให้สูงสุด รถก็ยังคงเตี้ยอยู่ แถมสปริงอาจจะ “หลุดเบ้า”
ถ้าเอาไว้สูงมาก ต่อให้ปรับเตี้ยสุด มันก็จะไม่เตี้ยมาก
และต้องดูระยะแกนช็อคอัพด้วยว่า มันสามารถลงมาสุดได้แค่ไหน
แล้วถึงเลือกจุดวางปลอก

แต่ไม่ต้องห่วงผมนะ
ผมเป็น “วิศวกะ”

เมื่อทำเสร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามที่นึก “เตี้ย” สมใจ
“เตี้ย นิ่ม สวย”

อ้อ..ต้องตัดยางกันกระแทก ที่อยู่ตรงแกนช็อคอัพให้เหมาะสมด้วยนะ

ล้อ Alpina ที่ผมใส่ มาดีตรงที่ “มันไม่ยื่น” มันเลยไม่ติดตัวถังด้านนอก
แต่ด้านใน ถ้า “Jump” แรงพอควร ก็ “ครูด” นะ

ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาหลายชุด
“ลองบ้า” ยืมล้อ 15”+195/50-15 จาก “เจ้าของหมู่บ้าน” ที่อยู่ใน “สามดอร์” มาใส่ ก็เคย
อันนี้ “ลากพื้น” เทียบเท่า “รถไถ” คือห่างจาก “พื้นโลก” แค่กล่องฟิลม์ในแนวนอนเลยทีเดียว!!

เตี้ยจริง...แต่ไม่สวย!! เพราะล้อมันเล็กไป..

กลับมาที่ 17” BBS ก็อป off 2ชั้น ลึกสวย
แต่อย่างที่เคยบอก “ยัดเข้าไป ไม่ง่าย”
ต้องตัดขายึดปีกนกบนให้สั้น เชื่อมแล้วดามเพิ่ม เพื่อให้มัน “แบะ”
และต้องพับ ตัด เจีย ขอบ เอา “ค้อนปอนด์” ทำซุ้มล้อให้มันสูงขึ้น
ประมาณว่า ติดตรงไหน? กูตัด ทุบ เจีย คือ ทำอะไรก็ได้ ให้มันวิ่งได้ดีและสวย!!
อันนี้ต้องยก “คุณงาม ความดี” ให้ร้านโหลดรถชื่อดัง ในปั้มเอสโซ่ ถ.พระราม9

เธอเก่งจริงๆ!!
ชื่อร้านน่ะเป็นผู้ชาย แต่คนคุมร้าน คือ “อาซ้อ”
ส่วนคุณสามี ไปทำแอร์แล้ว ตอนนั้น
ช่างที่ร้านนี้ ในตอนนั้น ก็เรียกว่า “สั่งได้”
ถ้าเจ้าของรถใจถึงพอ หรือบ้าพอ
คุณจะเอาแบบไหน ขอแค่บอก...

ไม่แน่ พวกคุณที่อ่านอยู่ตอนนี้อาจจะ “เคยเจอ” กับผม

Civic นี้ก็อยู่รับใช้ ด้วยความภักดีมาตลอด ไม่เคย “งอแง”
แม้ว่า ผมจะพาไป “ดำน้ำ” มาหลายที!!

เนื่องจาก ผมใช้รถเพียงคันเดียว และมันเตี้ยมาก
ในบางครั้ง ฝนตกรุนแรง ในบางถนน “น้ำขัง” สูง 30-40ซม.
แต่ “จำเป็น” ต้องฝ่าไป ก็ลุยไป
ไอ้เราลุยคันเดียวก็แย่อยู่แล้ว เมื่อเจอ “เพื่อนร่วมทาง”  กระแทกน้ำสวนมาอีก!!
น้ำขึ้นสูงถึงฝากระโปรงหน้า ในบางครั้งถึงกระจกหน้าเลยทีเดียว!!
แต่ “ไม่ดับ” ฮะ!!

ถ้ามังกรทองผม มีชื่อเล่นว่า “รถไถ”
Civic ตาโต จะเรียกว่า “Submarine” ก็คงจะไม่ผิดนัก!!

Civic คันนี้เป็น “คันสุดท้าย” ที่ “แต่งแบบบ้าบอ”
พับ ทุบ ตัด เจีย เจาะ คือ อะไรก็ได้ ให้มัน “ได้ดั่งใจ” แค่นั้นเป็นพอ..

หลังจากคันนี้ก็เป็น MB C220, Opel Omega Van B ก็แต่ง แต่แต่งแบบ “สวยสมส่วน”
ไม่ถึงกับ “สะดุดตาในความบ้า” ประมาณนั้น...

“อ่อนแอก็แพ้ไป คนที่ไหวเขาจะยืน”
“ไม่ต้องยืนในที่ที่ดีที่สุด จงยืนในที่ที่ทำให้เรามีความสุขก็พอ”

[r0u0g0e0k]

สวัสดีครับ ยังติดตามอยู่นะครับ อ่านเเล้วนึกถึงสำนวนในหนังสือรถ ยุค 90 เลย

ขออนุญาติเสริม เรื่องเปลี่ยนล้อเบาล้อหนัก เเค่ไม่กี่กิโลทำไมมีผล นะครับ

น้ำหนักที่ปลายจุดเหวี่ยง เกี่ยวโดยตรงครับ   

ลองคิดถึงค้อน หนัก 5 กิโล  ลองจับสุดด้ามค้อนเเล้วเหวี่ยงค้อนไปๆมาๆเหมือนควงกระบอง  จะรู้สึกออกเเรงมากในการเหวี่ยงเเละควบคุมทิศทาง เเต่ละครั้ง  เเขนล้ากันเลยทีเดียว


เเต่ลองเปลี่ยนมาจับที่หัวค้อนโดยตรง เเล้วเหวี่ยง กลับควงง่าย เบาสบายมือเเละออกเเรงในการควบคุมน้อยกว่ามาก ทั้งที่น้ำหนัก 5กิโลเท่าเดิม

 ซึ่ง กรณีนี้  เครื่องยนต์เป็นมือที่จับด้ามค้อน เเละเพลาคือด้ามค้อน  ล้อเเละจานเบรคถือเป็นน้ำหนักปลายหัวค้อนครับ

 จึงเป็นเหตุว่า เเค่เปลี่ยนล้อที่เบาลงทำไมถึงทำให้รู้สึกขับเเล้วกระฉับกระเฉงขึ้น

[the kit]

สวัสดีครับ ยังติดตามอยู่นะครับ อ่านเเล้วนึกถึงสำนวนในหนังสือรถ ยุค 90 เลย

ขออนุญาติเสริม เรื่องเปลี่ยนล้อเบาล้อหนัก เเค่ไม่กี่กิโลทำไมมีผล นะครับ

น้ำหนักที่ปลายจุดเหวี่ยง เกี่ยวโดยตรงครับ   

ลองคิดถึงค้อน หนัก 5 กิโล  ลองจับสุดด้ามค้อนเเล้วเหวี่ยงค้อนไปๆมาๆเหมือนควงกระบอง  จะรู้สึกออกเเรงมากในการเหวี่ยงเเละควบคุมทิศทาง เเต่ละครั้ง  เเขนล้ากันเลยทีเดียว


เเต่ลองเปลี่ยนมาจับที่หัวค้อนโดยตรง เเล้วเหวี่ยง กลับควงง่าย เบาสบายมือเเละออกเเรงในการควบคุมน้อยกว่ามาก ทั้งที่น้ำหนัก 5กิโลเท่าเดิม

 ซึ่ง กรณีนี้  เครื่องยนต์เป็นมือที่จับด้ามค้อน เเละเพลาคือด้ามค้อน  ล้อเเละจานเบรคถือเป็นน้ำหนักปลายหัวค้อนครับ

 จึงเป็นเหตุว่า เเค่เปลี่ยนล้อที่เบาลงทำไมถึงทำให้รู้สึกขับเเล้วกระฉับกระเฉงขึ้น

สวัสดีเช่นกันครับ..

ถึงทุกคน..
ใครที่มีอะไรอยากพูดคุย ถ้าคุณคิดว่า "มันเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อย" สามารถ "บอก" ในนี้ได้เลย
แต่ถ้าไม่สะดวก อยากจะ "Inbox" มาคุยก็ได้

ส่วนผมเอง ถ้ามี "เรื่องเล่า" ก็จะเข้ามาเล่าสู่กันฟัง
แต่เนื้อเรื่องไม่แน่นอน "ปรับเปลี่ยนตามอารมณ์" ในช่วงนั้นๆ
และจะยังไม่ไปเปิด "กระทู้ใหม่" ตามที่บางคนได้แนะนำมา..
ขอเล่ามันที่ "หน้าหลังๆ" แบบนี้ล่ะ..

คือ ถ้าใคร "เขาชอบ" หรือ "อยากอ่าน" ก็เปิดตามเข้ามาหน่อย
ส่วนใครที่ "ไม่ชอบ" เขาจะได้ไม่ "เกะกะรำคาญทางสายตา"..

"ความสุขไม่ได้อยู่ที่ว่า เรายิ้มบ่อยแค่ไหน..
มันอยู่ที่ว่า เรากำลังยิ้มอยู่กับใคร และเรื่องอะไรซะมากกว่า.."

[the kit]

"..ถ้าชีวิตคือทำนอง เธอก็เป็นดังคำร้องที่เพราะและซึ้งจับใจ.." - กันและกัน (Ost. รักแห่งสยาม) - คิว สุวีระ บุญรอด

ช่วงนี้ "โควิด" ยังคงระบาดอยู่
ช่วงสุดสัปดาห์ ถ้าไม่ติดงาน ถ้าไม่ได้ไปไหนก็ "ร้องบรรเลง" เพลงกับลูกและคุณศรีภรรเมีย อยู่ที่บ้าน
ทั้งเพลงเก่า-กลางเก่า-ใหม่ "ไทยและเทศ" หลายเพลงนี่ มีเนื้อเพลงที่ "โดนใจ" มากมาย
โดยเฉพาะเพลงที่เอามา "จั่วหัว"

ฟังกี่ครั้ง ร้องกี่ครั้งก็ยัง "อิน"

บอกตรง อยากเห็นหน้าคนแต่งเพลงนี้จริงๆ คิดได้ลึกซึ้งมากมาย

แค่ฟังและนึกตาม บอกเลยว่ามันยิ่งกว่า "ใช่"
เพราะ ถ้ามีแต่ "ทำนอง" แล้วขาด "คำร้อง" ไป เพลงมันจะ "สมบูรณ์" ได้อย่างไร??
คือ มันอาจจะมีอะไรเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่ "มันไม่สมบูรณ์"

"..อยากให้รู้ ว่าเพลงรัก ถ้าไม่รัก ก็เขียนไม่ได้
แต่กับเธอคนดีรู้ไหม ฉันเขียนอย่างง่าย...ดาย" - กันและกัน (Ost. รักแห่งสยาม) - คิว สุวีระ บุญรอด

เพลงใหม่ก็ต้องร้อง ร้องไม่ได้ ก็ต้องฟัง เพื่อให้ "กลมกลืน" ไปกับคุณลูก

เพลงใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ เนื้อเพลง ไม่มี "เหนียมอาย" กันอีกต่อไป..
ชอบก็บอกว่าชอบ, เกลียดก็บอกว่าเกลียด, บางเพลงเกลียดไม่พอ มึงชั่วกับกู กูแช่งมึงซะเลย!!  ก็มี!!

ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเสียเวลามาตีความ, ไม่ต้องไปคิดเอาเอง

พอๆ กันกับ การใช้รถใช้ถนนในปัจจุบัน
ไม่มีใครกลัวใคร รถมึงแพงแค่ไหน รถกูราคาเท่าไร ไม่พอใจ ก็ "พร้อมบวก"
แม้ว่าจะ "ไม่รู้ว่า" เมื่อบวกไปแล้ว ผลออกมา จะ "ติดลบ" ไปเท่าไรก็ตาม..

คนเรา เดี๋ยวนี้ "กล้า" มากขึ้น
ไม่พอใจนิด ผิดใจหน่อย ก็ "เล่นใหญ่" เลย..

ไม่รู้ว่าจะมี "ภาพจำ" ที่ดีๆ จากอดีต ที่สามารถกลับคืนมาได้ไหม?

"ขอโทษครับ" จะเป็นคำพูดหรือจากการกระทำก็ดี
ถ้าทำได้ การใช้อะไรก็ตามในสังคมร่วมกัน มันคงจะดีขึ้นอีกไม่น้อย


แต่ก็อย่างว่า คิดอะไรมาก!! เมื่อได้เห็น "ตัวอย่างที่ไม่ดี"
เป้าหมายมีไว้พุ่งชน!! ชนจริง เจ็บจริง ตายจริง
ไอ้คนที่ถูกชนน่ะ "ตายไปแล้ว.."

ส่วนไอ้คนชน ยังอยู่ และยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่
แต่จะ "สบายใจ" หรือไม่?
ก็ไม่อาจจะหยั่งรู้..?

เรื่องนี้จะไปโทษ "กฎหมาย" ไม่ได้
ต้องโทษ ผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
สำหรับคดีนี้ มัน "โคตร" จะมากมายซะเหลือเกิน...

จน "อดคิด" ไม่ได้ว่า..
ตราชั่งนี้ คงเป็น "ตราชั่งรุ่นใหม่" ที่เป็น "ดิจิติอล" ไปแล้ว
คงไม่ต้อง "ถ่วงสมดุล" อีกต่อไป..

เหลือเพียงแค่ว่า บนถาดชั่ง จะชั่งอะไรก็เท่านั้น..

"หากคุณเป็นกลาง ในสถานการณ์ของความอยุติธรรม คุณได้เลือกข้างของผู้กดขี่ไปแล้ว - เดสมอนด์ ตูตู"

"จงจำไว้ว่า การเป็นผู้สนับสนุน แม้ไม่ได้เป็นตัวการ ขาข้างนึงก็เข้าไปอยู่ในคุกเรียบร้อยแล้ว"

[the kit]

ช่วงสถานการณ์ “โควิด” ระบาด
การกินแชร์ของกลุ่ม “เพื่อนซี้” ของผมก็ห่างหาย
เน้นพูดคุยทาง “Video Call” และโอนตังค์ผ่าน App กันมากกว่า
แต่ก็มี “แอบเจอ” กันนอกรอบอยู่บ้าง

พอทาง “ภาครัฐ” ให้ร้านอาหารนั่งทานได้
พวกเราก็นัด “Meeting” กันทันที!!

นานๆ เจอกันที เรื่องราวก็จะมากมายหน่อย
ถึงแม้ว่ากับ “ซี้” บางคนจะคุยกัน “บ๊อยบ่อย” แทบทุกวัน!!
การคุยก็เป็นไปอย่างออกรส ออกชาติ ทั้งๆ ที่ไม่มี “น้ำเก็กฮวย” เข้ามาช่วย แม้แต่นิด..
ใครอยากคุยอะไร เอาอะไรมาปรึกษากันก็ว่ามา..

สัพเพเหระ ก็มา..
การเมืองก็มี
เรื่อง “นินทา” เมียก็เยอะ
เรื่องรถ นี่ก็คุยกันเยอะ

แต่จะขอตัดเอาแค่เรื่องรถมาเล่า..
เพื่อนในกลุ่ม คนนี้มันออก E350e มาได้ 3-4 ปีมาแล้ว
ผมขอตั้ง “NickName” มันว่า “โรงสี”
โรงสี : คนงานกู คุยกับกู ถามกู
คนงาน : รถเสี่ย ทำไม “เสีย” บ๊อยบ่อย?  ผมเห็นเสี่ย เดี๋ยวก็เรียกรถมายกๆ
ของผมซื้อปิคอัพ “มือแปด” ใช้มา 7-8 ปี เปลี่ยนแค่แบต แค่ยางมือสองไปแค่นั้นเอง

โรงสี : ตอนแรก กูก็โมโหมันนะ เอาเชี้ยไรมาถาม..  แต่พอคิดไปตาม...
เออว่ะ “ตราดาว” มือหนึ่ง แต่เสียบ่อย ไอ้คันอื่นจาก "Euro" เหมือนกัน ก็จุกจิกพอควร
กับปิคอัพ “ยุ่น” มือแปด อายุเกือบสามสิบปี มันไม่เห็นจะเป็นไร?

น้ำมัน ก็ไม่เห็นต้องเติม “premium” ไม่ต้องเข้าศูนย์ให้แพงให้วุ่นวายอีก พวกมึงว่าไง?

พวกผม : หลายความเห็น แต่ก็ไปในทางเดียวกัน ประมาณว่า...
- รถยุโรป แ_งเยอะ เช็คนู่นเช็คนี่ วัสดุย่อยสลาย “รักษ์โลก” สร้างภาพลักษณ์ตราสินค้า แต่ไม่เคยรักเจ้าของ
- บูชต่างๆ ใส่มา “หยุมหยิม” เข้าใจแหละว่า ต้องการให้มัน “Smooth As Silk” หรือให้ “ฝีที่ตูด” ไม่แตก
หรือจะให้มัน “โคตรเกาะ โคตร Firm” แต่บางทีมันเยอะจนเกินไป
- ระบบไฟฟ้าและอื่นๆ "นู่นนี่นั้น" เยอะสุดจะเยอะ บางอย่างก็มากเกิน แต่บางอย่าง "ควรจะมี" แต่ดันไม่มี เหะ

โรงสี : แล้วอย่างนี้ พวกมึงยังจะซื้อกันอีกไหม?

หมู่บ้าน : ซื้อ มันจับเด็กง่ายยยย 555
กูขับ Raptor ไป หาเด็กๆ มันว่า สูงก็สูง รถอะไร ใหญ่เทอะทะ ขึ้น-ลง เข่าอ่อน พอดี 555
มันว่า รถแฟนมัน Dmax โหลดเตี้ย ขึ้นก็ง่าย ท่อก็เพราะ ล้อยื่นมาหน่อย ส๊วยสวย
กูแม่ง แทบจะถีบลงเลยทีเดียว..  ขาย Raptor ไปซื้อ Dmax มาโหลดดีกว่า 555

แล้วมันก็หันหน้ามา หาผม "เอารถมึงไปโหลด ไปหาจับเด็กกันไหม??"

ผม : ไอ้บ้า ก็ไม่เอาด้วย อยู่แบบนี้ก็สบายตัวอยู่แล้ว
มึงหา "ซี้ซัว" ยิ่งช่วงนี้โควิดระบาด ระวังตัวให้ดี ติดมาแล้ว
เงินและหนี้มึงเยอะๆ ลูกเมียจะเดือดร้อน

หมู่บ้าน : แหม กูแค่ถามเล่นๆ มึงใส่กูซะ ชุดใหญ่เลยยยย 

ผม : รถญี่ปุ่นกับรถยุโรป มันก็อย่างว่า “ลางเนื้อ ชอบลางยา, คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า, ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้” ก็เยอะ
รถญี่ปุ่น ระยะ 5ปี หรือแสนโล มันแทบไม่มีต้องซ่อมอะไร นอกเหนือตามระยะ
รถยุโรป ในระยะเดียวกัน บางทีอาจจะซ่อมแบบไม่รู้ว่า “ยังคงเหลืออะไร ที่ไม่ต้องซ่อม” อีกบ้าง ก็มี...!!

ทั้งๆ ที่รู้ว่า ค่าดูแลมันแพง มันจุกจิก แต่ก็ยังอยากเข้าไปเล่น ไปเป็นเจ้าของกัน ก็เพราะมันมี “เสน่ห์” ในตัว
ในเส้นสายของมัน มันมี "เอกลักษณ์" ที่รถญี่ปุ่นไม่มี (ไม่เชื่อลองไปสังเกตุดู ในหลายๆรุ่น)

บ่นก็บ่น เบื่อก็เบื่อ ขี้เกียจซ่อม ขี้เกียจจ่าย ขี้เกียจเสียเวลา
แต่ก็ยังมีหลายคน อยากได้ อยากเป็น "เจ้าของ" มันอยู่..!!??

ว่าแล้ว กูก็ขอถามพวกมึงเลย ระหว่าง Mustang 2.3 10 Speed กับ E200 Coupe AMG เลือกอะไรดี?

ในกลุ่มเพื่อนซี้(ซั๊ว) กลุ่ม”กงสี” นี่ มันรู้จักนิสัย สันดานและลักษณะการขับของกันและกันเป็นอย่างดี
เรียกว่า “เชื่อมือกันได้” ว่างั้น... และโดยมาก “ความเห็น” มักจะไปในทิศทางเดียวกัน

แต่สำหรับคำถามนี้ ถึงกับแตกเป็นหลายความคิดเห็น..

ไอ้ “ที่สุดของซี้” เจ้าของหมู่บ้าน มันว่า..
อย่างมึงต้อง “มัด-แตง” ขี่ Harley แล้ว มันต้องขี่มัสแตง
“มะกัน” จ๊าไปเลย
และกูว่า 5.0 ไปเลย บิ๊กเบิ้ม จบกว่า...

ผม : อีก “ล้านสอง” เลยนะมึงงง
หมู่บ้าน : แค่ล้านสอง มันจะร่วงสักกี่เส้นว่ะ... 555

แต่อีกหลายเสียงในวง ก็บอกว่า E Coupe หล่อกว่า คุณชายกว่า หล่อยาวกว่า..

เรื่องหล่อ กินกันไม่ลง หล่อคนละแบบ
Mustang หล่อ จิ๊กโก๋ คาวบอย
E Coupe หล่อ คุณชาย

แต่เรื่องความจุกจิก ลงความเห็นเดียวกันว่า “ตราดาว” น่าจะจุกจิกกว่า...

แค่ประเด็นเดียว คุยกันเป็นชั่วโมง!!  แถม ไม่จบ!!
 
หมู่บ้าน : เอางี้ มึงซื้ออะไร เดี๋ยวกูซื้ออีกคันมา ถ้ามึงเบื่อค่อยเอามาแลกกันขับ!!
สำหรับกูอะไรก็ได้ กูว่า “สองตัว” นี้ ไม่ผิดหวัง!!
ผม : เอางั้นเลยนี เดี๋ยวกูคิดดีๆ ก่อนว่าจะยังไง  คันละ สาม-สี่ล้าน นะมึงงงงง ไม่ใช่ ห้า-หกแสน 555


ปล. เอาเรื่อง Dmax คันของผม ที่ Remap มาเล่านิด..
Remap มาได้ 4 ปีกว่า ทุกอย่างยังคง "ปกติ"
แต่ก็อย่างว่า "ใช้รถน้อยด้วย" ระยะ 4 ปีกว่าๆ นี่เพิ่งวิ่งเพิ่มไปยังไม่ถึง หกหมื่นโล เลย

ยิ่งช่วงโควิด ก็ใช้น้อยลง แต่ก็ "พยายาม" ใช้
เพื่อให้ได้ระยะ เช็คระยะ!!

รถผมตั้งเป้าไว้ "1ปี 1หมื่น กม."
เดือนหน้าน่าจะได้เข้าเช็ค ถ้าไม่ติดอะไร จะ "มาเล่า" ให้ฟังนะ


“ชีวิตมันไม่ต้องไปถึงจุดสูงสุดเร็วก็ได้  ค่อย ๆ เป็น ค่อยๆ ไป แล้วมีความสุข มันก็ไม่แย่เหมือนกัน

[mamaman]

รถผมก็ รีแมบครับ บอกช่างควันไม่ดำ นี่ผ่านมา 5 ปีละครับ แรง ดึง ใช้งานปกติ
เอาเป็นว่า รถดีเซล เทอร์โบ
ไม่ต้องไปทำไรมาก แค่ REMAP เบาๆ พละกำลังและแรงบิดก็มาแบบเยอะมาก

ไม่ต้องไป รีแมบ แบบ เอาสุด Step ผมว่านอกจากควันจะดำมากๆ แล้วยังเสี่ยงพังด้วย

[the kit]

“มอเตอร์เซลล์ๆๆ”
ปีนี้มี “ความตั้งใจมาก” ที่อยากจะไปมอเตอร์เซลล์

ประเทศไทย ไม่เคยมีงาน “มอเตอร์โชว์!!” มีแต่งาน “มอเตอร์เซลล์!!”
แต่มีงาน “พริตตี้โชว์” อยู่ในงานมอเตอร์เซลล์เสมอ..
ส่วนจะมี “พริตตี้เซลล์” รวมอยู่หรือไม่?  อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะ...

ปีนี้อยากไปมากกกก เพราะ มีเป้าหมาย??
ใช่!!  อยากไปดู อยากไปสัมผัส อยากไปลองเทียบ “ตัวเป็นๆ” แบบไม่หวงของ  E Coupe และ Mustang
ที่มอง ที่สนใจ ที่หมายปอง อยากได้มาเป็น

ถึงงาน คนเยอะเลยล่ะ.. กลัวก็กลัวโควิด แต่ก็อยากดู..
นี่ขนาดมาถึง ตอนเพิ่งเริ่มเปิดเลยนะ
ไปครั้งนี้ ไม่ได้ไปคนเดียว  ผมไปกับ “ศรีภรรยา” เธอเป็นทั้งภรรยา,เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจเสมอ

เข้างานก็ดิ่งไป หาดู “สองตัว” นี้ก่อนเลย
ผู้จัดฯ “ยังกับ” รู้ใจว่า “ผมอยากดูเปรียบเทียบสองตัวนี้!!
เลยเอามันมาจัดอยู่ใกล้ๆ กัน...

เริ่มที่ E Coupe ก่อนเลย...
ภายนอก “หล่อ เนี้ยบ คุณชาย”
ภายในก็นั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง!!
ผมเกือบ 180 นั่งด้านหลังได้ แถมยังนั่งได้สบายด้วย!!
Console สวยงานดี, พวงมาลัย “แมลงปอ” สวย
ตัวรถไม่มีอะไร “ติ” นอกจากราคา!!
แต่มี “ความกังวล” เรื่อง “ความจุกจิก” และ “ความรับผิดชอบ” ของ บ.แม่ ของมันอยู่บ้าง..
แต่โดยรวม “ถูกใจ” ทั้งผมและคุณเมีย

ไปต่อกันที่ Mustang
ตัวที่ได้ถูกนำมาโชว์ (ขาย) นี้ มีแค่ 5.0 เท่านั้น
2.3 หามีด้วยไม่

แต่ผมก็ศึกษารายละเอียดมาพอควรแล้วว่ามัน “ต่างกัน” แค่
เครื่องยนต์, เบรกหน้า, ชุดท่อไอเสีย, ลายล้อ, ขนาดล้อหลัง และยาง
ที่สำคัญ คือ ราคาที่ 5.0 แพงกว่า “ล้านสอง”
นอกนั้นเหมือนกันหมด!!!

Mustang ด้านหลังนี่ เรียกว่า “Dog Seat” ได้เต็มปาก เต็มคำ แต่ก็เป็น Dog ที่ตัวกลางๆ ไปทางใหญ่
ถ้า “ฅ” จะนั่งก็นั่งได้ แต่ถ้าจะให้ “ไม่ลำบาก” จนเกินไปนัก ควรจะสูงไม่เกิน 160
และน้ำหนักควรจะเหมาะสมกับค่าความสูง
คือ ค่า “BMI” ต้องสมส่วน อยู่ใน “เกณฑ์ดี” เท่านั้นถึงจะนั่งได้!!

ภายใน “ไม่ต้อง” ไปเทียบกับ E Coupe
“ห่างไกลกันเหลือเกิน...”

แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ซะทีเดียว!!??
ลูกเล่น เรือนไมล์ก็ยัง “แก้ลำ” ได้พอควร

ภายใน E Coupe ถ้าเปรียบเป็นนาฬิกาก็ต้อง แบรนด์ดังของเยอรมัน “A Lange & Söhne”
ในกลไกเครื่องด้านหลัง ที่หรูหราสวยงาม ไปนู่นเลยทีเดียว..

แต่ส่วนภายในของ Mustang ถ้าจะเปรียบเป็นนาฬิกา....
เออ.... ถ้าเป็นแบรนด์ของอเมริกาตรงๆ
ผมนึกไม่ออกแหะ!!!

แต่เท่าที่นึกออก และ “ใช่เลย” คือ ฝาหลังของ Rolex Submariner และอีกหลายรุ่นในยี่ห้อนี้
โล้นๆ เรียบๆ ไม่มีอะไรเลย......!!?? มีดีที่ “ยี่ห้อ” ก็แค่นั้น..

ภายนอก “ดิบ เซอร์ จิ๊กโก๋ คาวบอย”
แต่ทำไมรู้สึกมัน “ดึงดูดสายตา” มากกว่า E Coupe
ทั้งๆที่ “บ้านนอก” ที่ผมอยู่ ก็เห็นอยู่บ่อยๆ และมีอยู่หลายคัน
หรือ ผมชอบ “Bad Boy!!”

ดู “มัดแตง” แล้ว “ชำเลือง” ไปมอง “อีคูป”
เฮ้ย!! “วันทองสองใจ”

ดู “ตัวเป็นๆ” ก็ยัง คิดลำบาก..!!
มันหล่อคนละแบบ..
จะซื้อสองตัวก็ “เป็นไปไม่ได้”
รถมีแต่ “ลด” ไม่เฉกเช่นนาฬิกาดีๆ

ว่าแล้วก็ไปหาเรื่อง “ปวดหัวเพิ่ม” เข้ามาอีกหนึ่ง
เพื่อจะได้มี “Contrast” ของสองตัวที่ว่า “ชัดเจนขึ้น”

A5 Coupe
O O O O “สี่ห่วง”
ห่วงเดียว แฉกสาม หรือ ห่วงเดียว สี่แฉกใบพัด ก็ยังกังวล
นี่มาที สี่ห่วง จะเป็นไงหนอ...

ผมไปดู “ตัวถูก”
ก็สวยดีนะ ทั้งภายนอก ภายใน สำคัญราคา “น่าร้ากกกกก” 2.7ล.
ถ้า “ขับสี่” ราคารู้สึกว่าจะ เท่าๆ กับ “มัดแตง”

แต่คุยกับ “ศรีภรรเมีย” แล้ว.. เธอว่า บ้านเราไม่มีศูนย์
แถมถ้าเบื่อมา ขายต่อไป “น่าจะเจ็บเยอะ!!”
และแน่ๆ เจ็บเยอะกว่า “สองตัวนั้น” มากมายพอควรเลยทีเดียว..

อย่า!! เอาเลย.. เดี๋ยวจะเหนื่อย จะกลุ้มใจซะเปล่าๆ...
ก็จริงนะ..  ผมเชื่อเมีย!!

ดูแค่สามตัวนี้ พอแล้ว
บูธไหนๆ ก็ไม่ไปแล้ว ทั้งๆที่ใจจริง ก็อยากไปดู “มอไซค์” เพิ่มนะ
แต่ก็อย่างว่า อย่า!! เดินเสี่ยงต่อเลย คนยิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย
เอาข้อมูล เอารายละเอียดไป “ทำการบ้าน” ต่อดีกว่า..
ตอนนี้ผมเหลือ “สองตัวเลือก” เช่นเดิม

ไปมอเตอร์เซลล์ครั้งนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าทำไม
ผมถึงไม่ชวน “สุดซี้” เจ้าของหมู่บ้านมาด้วย

“ไม่กล้าชวนฮะ” ถ้ามากับมัน มี “แนวโน้ม” จะเสียตังค์แบบ งงๆ สูง
แบบ “โดนป้ายยา” กว่าจะรู้ตัวอีกที "ใบจอง" อาจจะมาอยู่ในมือแล้วก็เป็นได้..
เพราะ เรา “รู้ไส้ รู้พุง” กันดี

มันบอกว่า "มึงซื้อคันนั้น เดี๋ยวกูซื้อคันนี้ หรือ มึงจะซื้อคันนี้ เดี๋ยวกูซื้อคันนั้น...
แล้วค่อยเอามาแลกกันขับ"

ยังกับเด็กสลับ “BMX” ขี่กันเลย..!!!

ใช่ ซี้... เงินมัน หามาง่าย..
แต่เงินผม หามายาก จะใช้ จะซื้อต้อง “พิจารณาให้ถ้วนถี่”




ว่าแล้วก็ออกจากงาน “เข้าเมือง” ไปหาของกินและไปเอา “ของสั่ง” ที่สั่งไว้น๊าน..นานดีกว่า..
ในเมือง “Downtown” รถก็ยังคงติดเสมอ
“อึดอัด”

ถึงที่ห้างฯ รถก็ยังคงเยอะอยู่เสมอ..
แต่โชคดี ที่ผมมี “บัตรเบ่ง” ทำให้หาที่จอดรถ “แบบคนสำคัญ” ได้ไม่ยากนัก!!

ไปหาอะไร กินก่อน ร้านบุฟเฟ่ชื่อดัง ที่รีวิวเยอะ ถ้าไม่จองล่วงหน้า บอกเลยว่า “หมดสิทธิ์”
ก็อร่อยตาม “ราคาคุย”
อิ่มแล้ว ไปรับของดีกว่า..

มัน คือ อะไรนะ...

ช่วงโควิดทำให้ หลายอย่าง หลายเรื่อง “บิดเบี้ยว” ไปหมด
ช็อปที่ผมไปรับของก็เช่นกัน จากเคยมีของวางขาย ขายทุกชิ้น กลับกลายเป็นติดป้ายว่า...
“ไม่ขาย เพื่อโชว์เท่านั้น!!”
เฮ้ย!! แบบนี้ ก็มีด้วย..

อันนี้ เมิงควรจะขายเลย มีคนรอซื้อ “แบบแจกฟรี” อยู่เลยล่ะ!!
ไอ้มอเตอร์โชว์เมื่อกี้ ชื่อว่า “โชว์”
แต่จริงๆ มันขายแทบทั้งหมด ไม่เน้นโชว์!!

การตอนรับของ “น้องเซลล์” ที่สนิทกัน ก็เป็นไปอย่าง “คุ้นเคย”
น้องเซลล์ต้องไปหยิบของจาก “หลังร้าน” มาให้ เพราะ หน้าร้านมีแต่ “โชว์ตัว” แต่ไม่สามารถขายได้!!
“ขนาดนั้นเลย.....”

ยังกับ ซื้อของหนี, ซื้อของโจร
ขนาดตอนหยิบออกมาให้ ก็ยังบอกด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า
อย่า!! ยกสูงนะคะ.. เดี๋ยวลูกค้าท่านอื่นเห็น..  เขาจะอยากได้..!!
ขนาดนั้นเลย.......!!!

แต่มันจริงของเธอแหะ..
ลูกค้าชาวจีนเห็น ก็มาพูดกับ พนง.ท่านอื่นแล้วชี้มา..
พอจับใจความได้ว่า อยากได้ มีอีกไหม เท่าไร.. เท่าไรก็สู้..!!

พนง.ท่านนั้นก็ตอบกลับไปประมาณว่า “ผมน่ะ เป็นลูกค้า VIP สั่งไว้นานแล้ว”

ผมคิดในใจ “กรู อะนะ VIP,  มันจะ VIP ได้ยังไง?? กรูรอตั้ง สองปีเชียวนะมรึงงงงงงงง”
แถมราคาก็ไม่ใช่ตาม “Price List” แต่เป็น “Super Over List” อีกต่างหาก...

แต่ไม่ใช่ ไม่เอานะ เอาซิ...
ซื้อเลย!! ไปดูกัน...










“จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะไปไม่ถึง คุณก็ยังได้อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว” – Les Brown

“รักใคร อย่ามัวสนใจแต่ Past
แต่ให้ใส่ใจ Present
แล้วทำให้มัน Perfect!!”

ขอให้มีความสุขกันทุกท่าน
ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง
อย่าเจ็บ อย่าจน
คิดหวังสิ่งใด ขอให้สมปรารถนา "เกินครึ่ง!! "

สุขสันต์ปีใหม่ 2565 ครับ

[รถจักรไอน้ำ]

“มอเตอร์เซลล์ๆๆ”
ปีนี้มี “ความตั้งใจมาก” ที่อยากจะไปมอเตอร์เซลล์

ประเทศไทย ไม่เคยมีงาน “มอเตอร์โชว์!!” มีแต่งาน “มอเตอร์เซลล์!!”
แต่มีงาน “พริตตี้โชว์” อยู่ในงานมอเตอร์เซลล์เสมอ..
ส่วนจะมี “พริตตี้เซลล์” รวมอยู่หรือไม่?  อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะ...

ปีนี้อยากไปมากกกก เพราะ มีเป้าหมาย??
ใช่!!  อยากไปดู อยากไปสัมผัส อยากไปลองเทียบ “ตัวเป็นๆ” แบบไม่หวงของ  E Coupe และ Mustang
ที่มอง ที่สนใจ ที่หมายปอง อยากได้มาเป็น

ถึงงาน คนเยอะเลยล่ะ.. กลัวก็กลัวโควิด แต่ก็อยากดู..
นี่ขนาดมาถึง ตอนเพิ่งเริ่มเปิดเลยนะ
ไปครั้งนี้ ไม่ได้ไปคนเดียว  ผมไปกับ “ศรีภรรยา” เธอเป็นทั้งภรรยา,เป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจเสมอ

เข้างานก็ดิ่งไป หาดู “สองตัว” นี้ก่อนเลย
ผู้จัดฯ “ยังกับ” รู้ใจว่า “ผมอยากดูเปรียบเทียบสองตัวนี้!!
เลยเอามันมาจัดอยู่ใกล้ๆ กัน...

เริ่มที่ E Coupe ก่อนเลย...
ภายนอก “หล่อ เนี้ยบ คุณชาย”
ภายในก็นั่งสบายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง!!
ผมเกือบ 180 นั่งด้านหลังได้ แถมยังนั่งได้สบายด้วย!!
Console สวยงานดี, พวงมาลัย “แมลงปอ” สวย
ตัวรถไม่มีอะไร “ติ” นอกจากราคา!!
แต่มี “ความกังวล” เรื่อง “ความจุกจิก” และ “ความรับผิดชอบ” ของ บ.แม่ ของมันอยู่บ้าง..
แต่โดยรวม “ถูกใจ” ทั้งผมและคุณเมีย

ไปต่อกันที่ Mustang
ตัวที่ได้ถูกนำมาโชว์ (ขาย) นี้ มีแค่ 5.0 เท่านั้น
2.3 หามีด้วยไม่

แต่ผมก็ศึกษารายละเอียดมาพอควรแล้วว่ามัน “ต่างกัน” แค่
เครื่องยนต์, เบรกหน้า, ชุดท่อไอเสีย, ลายล้อ, ขนาดล้อหลัง และยาง
ที่สำคัญ คือ ราคาที่ 5.0 แพงกว่า “ล้านสอง”
นอกนั้นเหมือนกันหมด!!!

Mustang ด้านหลังนี่ เรียกว่า “Dog Seat” ได้เต็มปาก เต็มคำ แต่ก็เป็น Dog ที่ตัวกลางๆ ไปทางใหญ่
ถ้า “ฅ” จะนั่งก็นั่งได้ แต่ถ้าจะให้ “ไม่ลำบาก” จนเกินไปนัก ควรจะสูงไม่เกิน 160
และน้ำหนักควรจะเหมาะสมกับค่าความสูง
คือ ค่า “BMI” ต้องสมส่วน อยู่ใน “เกณฑ์ดี” เท่านั้นถึงจะนั่งได้!!

ภายใน “ไม่ต้อง” ไปเทียบกับ E Coupe
“ห่างไกลกันเหลือเกิน...”

แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ซะทีเดียว!!??
ลูกเล่น เรือนไมล์ก็ยัง “แก้ลำ” ได้พอควร

ภายใน E Coupe ถ้าเปรียบเป็นนาฬิกาก็ต้อง แบรนด์ดังของเยอรมัน “A Lange & Söhne”
ในกลไกเครื่องด้านหลัง ที่หรูหราสวยงาม ไปนู่นเลยทีเดียว..

แต่ส่วนภายในของ Mustang ถ้าจะเปรียบเป็นนาฬิกา....
เออ.... ถ้าเป็นแบรนด์ของอเมริกาตรงๆ
ผมนึกไม่ออกแหะ!!!

แต่เท่าที่นึกออก และ “ใช่เลย” คือ ฝาหลังของ Rolex Submariner และอีกหลายรุ่นในยี่ห้อนี้
โล้นๆ เรียบๆ ไม่มีอะไรเลย......!!?? มีดีที่ “ยี่ห้อ” ก็แค่นั้น..

ภายนอก “ดิบ เซอร์ จิ๊กโก๋ คาวบอย”
แต่ทำไมรู้สึกมัน “ดึงดูดสายตา” มากกว่า E Coupe
ทั้งๆที่ “บ้านนอก” ที่ผมอยู่ ก็เห็นอยู่บ่อยๆ และมีอยู่หลายคัน
หรือ ผมชอบ “Bad Boy!!”

ดู “มัดแตง” แล้ว “ชำเลือง” ไปมอง “อีคูป”
เฮ้ย!! “วันทองสองใจ”

ดู “ตัวเป็นๆ” ก็ยัง คิดลำบาก..!!
มันหล่อคนละแบบ..
จะซื้อสองตัวก็ “เป็นไปไม่ได้”
รถมีแต่ “ลด” ไม่เฉกเช่นนาฬิกาดีๆ

ว่าแล้วก็ไปหาเรื่อง “ปวดหัวเพิ่ม” เข้ามาอีกหนึ่ง
เพื่อจะได้มี “Contrast” ของสองตัวที่ว่า “ชัดเจนขึ้น”

A5 Coupe
O O O O “สี่ห่วง”
ห่วงเดียว แฉกสาม หรือ ห่วงเดียว สี่แฉกใบพัด ก็ยังกังวล
นี่มาที สี่ห่วง จะเป็นไงหนอ...

ผมไปดู “ตัวถูก”
ก็สวยดีนะ ทั้งภายนอก ภายใน สำคัญราคา “น่าร้ากกกกก” 2.7ล.
ถ้า “ขับสี่” ราคารู้สึกว่าจะ เท่าๆ กับ “มัดแตง”

แต่คุยกับ “ศรีภรรเมีย” แล้ว.. เธอว่า บ้านเราไม่มีศูนย์
แถมถ้าเบื่อมา ขายต่อไป “น่าจะเจ็บเยอะ!!”
และแน่ๆ เจ็บเยอะกว่า “สองตัวนั้น” มากมายพอควรเลยทีเดียว..

อย่า!! เอาเลย.. เดี๋ยวจะเหนื่อย จะกลุ้มใจซะเปล่าๆ...
ก็จริงนะ..  ผมเชื่อเมีย!!

ดูแค่สามตัวนี้ พอแล้ว
บูธไหนๆ ก็ไม่ไปแล้ว ทั้งๆที่ใจจริง ก็อยากไปดู “มอไซค์” เพิ่มนะ
แต่ก็อย่างว่า อย่า!! เดินเสี่ยงต่อเลย คนยิ่งเยอะๆ อยู่ด้วย
เอาข้อมูล เอารายละเอียดไป “ทำการบ้าน” ต่อดีกว่า..
ตอนนี้ผมเหลือ “สองตัวเลือก” เช่นเดิม

ไปมอเตอร์เซลล์ครั้งนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าทำไม
ผมถึงไม่ชวน “สุดซี้” เจ้าของหมู่บ้านมาด้วย

“ไม่กล้าชวนฮะ” ถ้ามากับมัน มี “แนวโน้ม” จะเสียตังค์แบบ งงๆ สูง
แบบ “โดนป้ายยา” กว่าจะรู้ตัวอีกที "ใบจอง" อาจจะมาอยู่ในมือแล้วก็เป็นได้..
เพราะ เรา “รู้ไส้ รู้พุง” กันดี

มันบอกว่า "มึงซื้อคันนั้น เดี๋ยวกูซื้อคันนี้ หรือ มึงจะซื้อคันนี้ เดี๋ยวกูซื้อคันนั้น...
แล้วค่อยเอามาแลกกันขับ"

ยังกับเด็กสลับ “BMX” ขี่กันเลย..!!!

ใช่ ซี้... เงินมัน หามาง่าย..
แต่เงินผม หามายาก จะใช้ จะซื้อต้อง “พิจารณาให้ถ้วนถี่”




ว่าแล้วก็ออกจากงาน “เข้าเมือง” ไปหาของกินและไปเอา “ของสั่ง” ที่สั่งไว้น๊าน..นานดีกว่า..
ในเมือง “Downtown” รถก็ยังคงติดเสมอ
“อึดอัด”

ถึงที่ห้างฯ รถก็ยังคงเยอะอยู่เสมอ..
แต่โชคดี ที่ผมมี “บัตรเบ่ง” ทำให้หาที่จอดรถ “แบบคนสำคัญ” ได้ไม่ยากนัก!!

ไปหาอะไร กินก่อน ร้านบุฟเฟ่ชื่อดัง ที่รีวิวเยอะ ถ้าไม่จองล่วงหน้า บอกเลยว่า “หมดสิทธิ์”
ก็อร่อยตาม “ราคาคุย”
อิ่มแล้ว ไปรับของดีกว่า..

มัน คือ อะไรนะ...

ช่วงโควิดทำให้ หลายอย่าง หลายเรื่อง “บิดเบี้ยว” ไปหมด
ช็อปที่ผมไปรับของก็เช่นกัน จากเคยมีของวางขาย ขายทุกชิ้น กลับกลายเป็นติดป้ายว่า...
“ไม่ขาย เพื่อโชว์เท่านั้น!!”
เฮ้ย!! แบบนี้ ก็มีด้วย..

อันนี้ เมิงควรจะขายเลย มีคนรอซื้อ “แบบแจกฟรี” อยู่เลยล่ะ!!
ไอ้มอเตอร์โชว์เมื่อกี้ ชื่อว่า “โชว์”
แต่จริงๆ มันขายแทบทั้งหมด ไม่เน้นโชว์!!

การตอนรับของ “น้องเซลล์” ที่สนิทกัน ก็เป็นไปอย่าง “คุ้นเคย”
น้องเซลล์ต้องไปหยิบของจาก “หลังร้าน” มาให้ เพราะ หน้าร้านมีแต่ “โชว์ตัว” แต่ไม่สามารถขายได้!!
“ขนาดนั้นเลย.....”

ยังกับ ซื้อของหนี, ซื้อของโจร
ขนาดตอนหยิบออกมาให้ ก็ยังบอกด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า
อย่า!! ยกสูงนะคะ.. เดี๋ยวลูกค้าท่านอื่นเห็น..  เขาจะอยากได้..!!
ขนาดนั้นเลย.......!!!

แต่มันจริงของเธอแหะ..
ลูกค้าชาวจีนเห็น ก็มาพูดกับ พนง.ท่านอื่นแล้วชี้มา..
พอจับใจความได้ว่า อยากได้ มีอีกไหม เท่าไร.. เท่าไรก็สู้..!!

พนง.ท่านนั้นก็ตอบกลับไปประมาณว่า “ผมน่ะ เป็นลูกค้า VIP สั่งไว้นานแล้ว”

ผมคิดในใจ “กรู อะนะ VIP,  มันจะ VIP ได้ยังไง?? กรูรอตั้ง สองปีเชียวนะมรึงงงงงงงง”
แถมราคาก็ไม่ใช่ตาม “Price List” แต่เป็น “Super Over List” อีกต่างหาก...

แต่ไม่ใช่ ไม่เอานะ เอาซิ...
ซื้อเลย!! ไปดูกัน...










“จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะไปไม่ถึง คุณก็ยังได้อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว” – Les Brown

“รักใคร อย่ามัวสนใจแต่ Past
แต่ให้ใส่ใจ Present
แล้วทำให้มัน Perfect!!”

ขอให้มีความสุขกันทุกท่าน
ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง
อย่าเจ็บ อย่าจน
คิดหวังสิ่งใด ขอให้สมปรารถนา "เกินครึ่ง!! "

สุขสันต์ปีใหม่ 2565 ครับ

Rolex Daytona ใช่รึเปล่าครับ สวยมากๆ เห็นแล้วอยากได้บ้างเลยครับ 

สุขสันต์วันปีใหม่ครับ

[the kit]

ฮ่าๆ
คนมาแซว และ “แซะ” เรื่องนาฬิกาพอสมควร..
โดยมากก็จะว่า “สวยครับ อยากได้บ้าง ทำยังไงถึงจะได้บ้าง?  เบื่อแล้ว ทักมาขายให้ผมนะครับ”
แต่มีคำถามหนึ่งที่ “ไม่สามารถบอกได้...” คือ  “ได้มาเท่าไร?”

ตามที่บอกไปเมื่อครั้งที่แล้วว่า ได้มาแพงกว่า Price List เยอะมากกกก
บอกไปก็ ไม่ดีทั้งต่อตัวผมเอง และ AD ที่ผมซื้อ
ทั้งๆ ที่จริง ราคาป้ายมันแค่ “450,000 !!” แค่นั้น..
แต่ราคานี้ เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณไม่ใช่ เจ้าของ AD แล้ว  คุณไม่มีทางซื้อมันได้!!!

ยิ่งถ้าคุณจะซื้อ “Daytona” แค่เพียงเรือนเดียว
ถ้าคุณไม่ใช่ “ลูกค้าชั้นดีเลิศ!!” ที่มีประวัติการซื้อที่ดี อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ในราคาป้าย คุณไม่มีทางซื้อมันได้
“ล้านเปอร์เซ็นต์.....!!! ”  ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่เป็นกันทั่วโลก!!!

ที่พูดมา ผมก็ไม่ใช่ลูกค้าชั้นดีเลิศ
“ก็แค่ลูกค้า...” 
ก็บอกแล้วว่า “รอมานาน และจ่ายเยอะกว่า ราคาป้ายมากกกกกกกกกกกกก”
แต่ที่ซื้อ เพราะ อยากได้มานาน และตอนนี้ พอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง
“เอาก็เอา...”

ใน AD ไม่ต้องไปจองหรอก “มั่นใจได้” ว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า คุณ "ไม่มีทาง" ได้มัน!!
ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ลองดูตามร้านหิ้วนะ
ลอง Search ดูเถอะ มันมีแน่นอน เพียงแค่ว่า “คุณเห็นราคาแล้ว คุณรับได้ไหม!!??”




กลับไปเรื่องรถดีกว่า..
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมาถึงจุดนี้...
“แสนหนึ่งหมื่น” กม.

มันไม่ใช่เรื่องแปลกของหลายคน เพราะบางคน แค่ 1 ปี ก็วิ่งเป็นแสนแล้ว..

เมื่อก่อนผมก็ใช้รถเยอะ ทั้งขับงาน และขับเล่น
ขับงาน ใช้เยอะ จน “ไม่อยากขับ”
แม้จะเป็นรถดี รถหรูก็ตาม..

ตอนนี้ “ธุรกิจ” หลายอย่างของผมปรับเปลี่ยน
บางอย่างต้อง “ยุติ”  ไม่ได้ “เจ๊ง” แต่เนื่องจากสภาพ ”สังคมภิวัฒน์” ที่ไม่เอื้อ
เหลือเพียงแค่ บางธุรกิจ ที่ง่ายต่อการบริหาร ง่ายต่อการดูแล
ซึ่งทำให้การใช้รถก็น้อยลงไป

แต่บอกตามตรงนะ “ผมชอบรถกระบะ”
ไม่ใช่แค่มัน “ถึกทน” บำรุงรักษาง่าย
แต่เป็นเพราะ มันมี “ลักษณะเฉพาะ” ของมันมาช้านาน
ตั้งแต่สมัยที่มันยังอยู่ในช่วง “ด้อยพัฒนา”
ถึงแม้ช่วงนี้ ผมจะจัดให้มันอยู่ในช่วง “กำลังพัฒนา-พัฒนาแล้ว” ก็ตาม
ลักษณะนั้น คือ
“เด้งหน้า-เด้งหลัง” ในยุคด้อย
“หน้าเด้งน้อย-หลังเด้งมาก” ในยุคปัจจุบันในหลายรุ่น รวมถึง “D-Max” ที่ผมใช้ด้วย
“หนึบๆ” สำหรับรุ่น “พัฒนาแล้ว” อย่าง “Raptor”

ผมชอบที่มัน “เด้งๆ” นี่ล่ะ!! หรือผมเป็น "โรคจิต!!"

แต่โดยรวมที่ชอบ คือ ขับแล้วมันรู้สึก "เจียมตัว ดี"
ไปไหนก็สบาย เพราะ มันเป็นรถพื้นฐาน "อรรถประโยชน์"
แม้ว่าราคาค่าตัวของ "4 ประตู" เดี๋ยวนี้ เบาๆ ก็ "หกแสน" หนักๆ ก็ใกล้ "สองล้าน"
ถ้า New Raptor ออกมา เบาๆ ก็แพงกว่าเดิมนิดหน่อย, หนักๆ สองล้านคงมีให้เห็น!!


D-Max ผมเพิ่งจะได้เอาเข้าเช็ค 110,000 กม. เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง
จริงๆ ผมตั้งใจว่า “อยาก” จะเช็คระยะให้ได้ “ปีละครั้ง” พยายามวิ่งให้ได้ ปีละ “หนึ่งหมื่นโล”
คือ เท่าที่ผมอ่านมา หรือผม “คิดเอง” ว่า “นมค.” มันคงจะเสื่อมสภาพ ในระยะเวลาประมาณนี้
แต่จาก “หนึ่งแสน มาถึง แสนหนึ่งหมื่น” ในครั้งนี้ ใช้เวลาไปถึง 13 เดือน
นี่ขนาด “พยาม'ใช้” แล้วนะ
หกหมื่นโล ที่ได้ “รีแมพ” มา
ทุกอย่างก็ยังไปไปตามปกติ ไม่มีอาการอะไรเลย
ทั้งความร้อน, การกิน นมค., การกินของน้ำมันเชื้อเพลิง
ในตอนนี้ผมรู้สึกว่า มัน คือ รถ “Standard” ไปแล้ว

ก็อย่างที่บอกในหลายครั้ง ในกระทู้นี้
การรีแมพของผมๆ เลือกสเตป เบาๆ เหนียวๆ ทนๆ 
Boost เพิ่มจาก STD ประมาณ 3 PSI คิดเป็น แค่ สิบกว่า% จาก STD
เลยใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีอะไร “น่าห่วง”

แรงมาก โอกาสพังก็มาก
แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ “Tuner” ด้วย ว่าเขา “เป็นมวย” มากแค่ไหน
คือ ลูกค้าอาจจะต้องการแรงเว่อร์ แต่ “งบจำกัด” ในการทำส่วนควบอื่น ให้มันสมดุลกับความต้องการ
“Tuner” ก็ควรเตือน หรือแนะนำ ตามเหมาะสม

ส่วนลูกค้า จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่..
ก็อย่างว่า ลูกค้าเองก็มีหลายประเภท
“มักน้อย” ต้องการความแรงไม่มาก ถ้า “Tuner ดี” ทีเดียวก็จบ ดูแลได้แบบรถปกติ ใช้ได้สบายใจ ตลอดอายุการใช้งาน
“กลางๆ” ความแรงมากขึ้น ทีเดียวอาจจะจบ แต่ชิ้นส่วนหลายอย่าง “อายุสั้น” กว่าปกติพอควร
“มักมาก งบมาก”  พวกนี้ไม่น่าห่วง เพราะ ปรับเปลี่ยนหลายอย่างตามความแรงที่เพิ่มขึ้น ก็บอกแล้ว “มีงบดูแล..”
“มักมาก แต่งบน้อย”  อันนี้ล่ะน่ากลัว “ความฉิบหาย” พร้อมมาเยือนเสมอ
เน้นแต่ “เครื่องแรง” แต่ส่วนควบอื่นๆ ทั้งไส้ในและอื่นๆ เลือกถูก เท่าที่ถูกได้
แม้แต่ส่วนที่ยึดติดกับพื้นโลก คือ ยางล้อ ก็ยังเลือกที่มันราคาถูก, ถูกแบบไม่คิดชีวิต!! ขอแค่ให้มัน "มีใส่" ก็พอ
ดีไม่ดี 4 เส้น, 4 ยี่ห้อ, ยาง% ก็มีมาแล้ว..

“แรงตามตังค์ พังตามตีน” ยังคงเป็นประโยคคลาสสิค สำหรับคนเล่นรถเสมอ

อ้อ.. เกือบลืมบอก การเช็คศูนย์ครั้งนี้ หมดตังค์ไปแค่ "พันแปดกว่าๆ" แค่นั้นเอง..



“ทำตามฝันของคุณเอง หรือจะให้บางคนจ้างคุณไปทำตามฝันของเขา” - ฟาร์ราห์ เกรย์

[tom46]

แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ “Tuner” ด้วย ว่าเขา “เป็นมวย” มากแค่ไหน
===============================

ส่วนตัว เห็นด้วยกับคำนี้เลยครับ

เจ้าของรถ ส่วนมากเขาไม่ค่อยรู้กันหรอกว่าการจูน ควรทำอะไรแบบไหนบ้าง ต้องอาศัยตัว จูนเนอร์ เป็นหลักให้เขา afr ควรเท่านี้นะ อุปกรณ์พี่มีเท่านี้ ทำได้ประมาณนี้นะ มากกว่านี้มันจะเสี่ยงฯ

ถ้า จูนเนอร์ ไม่ดี พาเจ้าของรถยุ่งพอสมควรครับ

[the kit]

มี “จดหมายน้อย” มาหา
ช่วยวิเคราะห์ “New Raptor” ให้หน่อยซิครับ
ว่าน่าสนใจน่าซื้อแค่ไหน?

เออ.. ผมก็ได้เห็น ได้รู้เท่าๆ กับพวกคุณที่รู้ล่ะครับ..
ผมไม่ใช่ “กูรู” เป็นแค่ “กูรู้” และบางที “กูก็ไม่รู้” นะ

แต่ขอ “วิแคะ” แบบเท่าที่รู้แล้วกันนะ
จาก Raptor ตัวเก่าที่ได้ลองขับ ลองใช้งานของ “เพื่อนสนิท” อยู่พอควร
และ “คิดว่า” ตัวใหม่ ไม่น่าจะมีอะไรด้อยกว่าตัวเก่านะ

คือ ถ้าเงินไม่ใช่ ปห. !!
ราคาที่เปิดตัวมาเบาๆ ก็ใกล้เคียงกับตัวเก่า
ถ้าแรงๆ ก็อาจจะมี “สองล้านขึ้น” สำหรับเครื่องตัวแรง ถ้ามีขายในไทย
ไปเลือกซื้อ เลือกจองได้เลย

ผม “มั่นใจ” ได้ว่า ของเขาดีจริงๆ ในเรื่องของสมรรถนะ
แต่ส่วนจะมี “Side Effect” อะไรมาบ้างนี่ก็ไม่รู้นะ เพราะยี่ห้อนี้ เขาชอบมี “ของแถม!! ”
ที่เป็นของแถมที่ ผู้บริโภคไม่ต้องการ!!

แต่ถ้าต้องการขับ “ที่สุดของกระบะ”
ก็ไม่น่าจะพลาดด้วยประการทั้งปวงนะ
ผมเอง ก็ยัง “หวั่นใจ” อยู่พอควรเลย!!

Nothing is impossible; the word itself says “I’m possible”
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้, ขนาดคำว่า Impossible ที่ว่า “เป็นไปไม่ได้” 
ยังสะกดว่า I’m possible = ฉันคือความเป็นไปได้ – Audrey Hepburn

[the kit]

ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา..
“เด็กนำทาง” ที่เคยใช้บริการกันในตอนเข้าป่า หรือเที่ยวป่า เพิ่งเปิดร้านอาหารป่า อาหารอีสานเล็กๆ
ชวนไปกิน ไปอุดหนุน
“เฮีย ผมเปิดร้านอาหารป่ากับเมีย ผมทำเอง ที่บ้านผมเลย
ช่วยมาอุดหนุนผมหน่อย  อย่า!! เอารถเก๋งมาเด้อครับ ที่จอดมันไม่ค่อยดี  ชวนเฮีย(เจ้าของหมู่บ้าน) มาด้วยเด้อครับ”

เออ ก็ดีเหมือนกัน ชวนไอ้หมู่บ้านเพื่อนซี้ไปด้วยดีกว่า..
ไอ้นี่ “ไม่เยอะ” ถ้ามันว่าง มัน “ไม่เคยปฎิเสธ” อยู่แล้ว
“ก็ไปซิคร้าบ..”

ไปแบบบุกเบิก ไปกันแค่ “สองคน” ก็พอ
เพราะบ้านมัน ห้องน้ำห้องท่า ไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก ไม่อยากพา “คุณศรีภรรเมีย” ไปลำบาก!!

ไปถึง ร้านที่ว่านี่ ก็บ้านจริงๆ ที่จอดรถคุณมรึง ก็ให้จอดตาม “ยถากรรม” ตามที่โล่งหน้าบ้านเลย
ที่น่ะ “โล่งจริง” แต่พื้นมันไม่เรียบ “สูงๆ ต่ำๆ” คือ ไม่คิดจะต้อนรับรถเก๋งเลย คือ ถ้าอยากจะจอดก็จอดได้
แต่คงมี “ขูด” ใต้ท้องกันมั้งล่ะ และที่ๆว่านี่ของบ้านคนอื่นน่ะ!!

ร้านที่ว่าเป็นไง.. ช่วยนึกภาพตาม..
เป็นบ้านชั้นเดียว ขนาด 8x16 ม. ตามบ้านนอกชนบททั่วไป หลังคามุงสังกะสี ผนังอิฐบล็อกไม่ฉาบ
ห้องน้ำ “เอกเทศ” สังกะสีล้อมผนัง มีไฟสี "Warm White" อยู่ 1 หลอดถ้วน
มีที่ด้านข้างเป็นสวนมะปรางและมะม่วง ลูกกำลังเต็มต้นเชียว
ด้านหลังของที่ เต็มไปด้วยนาข้าว ต้นข้าวกำลังเขียวสบายตาเลยทีเดียว
บอกแล้วว่า “บ้านๆ...”

มีซุ้มนั่ง คือ ที่ “ไอ้น้อง” ทำเองอยู่ 2 ซุ้มถ้วน
“Indy” จริงๆ
ไม่ใช่หรอก ไอ้น้องบอกว่า ค่อยๆไป ทำตามงบครับเฮีย..
แต่ที่นี่ ประปาและไฟฟ้า เข้าถึงนะ

ร้านบ้านๆ อาหารป่าก็จริง แต่ไม่สกปรกนะ
“ไอ้น้อง” ใส่หมวก(แก๊ป) ใส่มาสค์ ทำ, ใช้เครื่องปรุงต่างๆ ตามมาตรฐาน
น้ำปลาก็เป็นน้ำปลา ไม่ใช่น้ำเกลือปรุงรส หรือแค่เกลือ
ไม่ใช่แบบกินในป่า ที่เน้นง่ายและสะดวกตามเหมาะสม

รสมือ ถ้าคนชอบอาหารป่า ก็เรียกว่าใช้ได้เลยล่ะ
ส่วนเนื้อพิสดาร มีบ้าง แต่ไม่แน่นอน แล้วแต่ “พราน” จับได้แล้วเอามาขาย หรือตัวไอ้น้องว่าง ไปหาจับเอง
แต่เนื้อพิสดารผิดกฎหมาย ไม่มีแน่นอน เพราะ ที่นี่ไม่ใช่ป่าแท้ แค่นา, สวนป่า, สวนมะม่วง

แต่วันที่ไปก็โชคดี มี “เนื้อเม่น” อยู่ ที่ไอ้น้อง เก็บไว้ให้
ทำมาทั้งผัดเผ็ด, และผัดกะเพรา ทำแบบป่าๆ คงไม่เหมือนที่พวกคุณกินนะ
ทำแบบป่าๆ เขาไม่ใส่ “น้ำมันหอย”
แกงป่าหมูป่า และเนื้อวัวย่าง ก็ต้องมา
และเมนูโปรดของผม ที่ชอบ คือ “เห่าดง” ก็ต้องมี

เจ้าของหมู่บ้านบอกว่า มันต้องมีไข่เจียวสักหน่อย ถึงจะดี
เออ ก็จริงของมัน.. ไม่รู้เป็นไง อาหารป่าพวกนี้กับไข่เจียว
“โคตรเข้ากัน”

ไข่สดๆ ออกใหม่ๆ
น้ำมันหมูร้อนๆ หอมๆ กับน้ำปลาบวกผงชูรส ตามสูตรของไอ้น้องไป แค่นี้ก็ “หอมฟรุ้ง”
เจอข้าวสวยแบบบ้านๆ ที่มี “กรวด” บ้างเล็กน้อยเข้าไปก็ พอเรียกเสียงหัวเราะกันได้นะ



เครื่องดื่มก็แน่นอน  บรั่นดีไทยและโซดากับน้ำแข็งที่เย็นทุกก้อน!! เข้าไปก็..   
“เข้ากั๊น..เข้ากัน”
กินกันไป ดื่มกันไป ตั้งแต่บ่ายอ่อนๆ ยันพลบค่ำ ทั้งลูกค้าและเจ้าของร้านก็เฮฮาเลยทีเดียว..

จริงๆ ผมเตรียมจะ “เหลา” เรื่อง New Raptor ให้ฟัง
แต่คงต้องขอยกไปเดือนหน้า

เนื่องจากมี “ข่าวเศร้า” เข้ามาก่อน และเป็นข่าวเศร้าที่ผม ”ไม่พูดถึงไม่ได้”
คือ การจากไปอย่างสงบของ “อาจารย์บอย คุณวรพล สิงห์เขียวพงษ์”
ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และไตวายเฉียบพลัน เวลา 03.00 น. วันที่ 25 มีนาคม 2565

อ.บอย คือ ผู้ที่ผมเลือกให้มา “Remap” D-Max ของผมในกระทู้นี้ ตามที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้น
ผมไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เพิ่งมารู้จักจากการรีแมพในครั้งนี้
เพราะ “คุยกันถูกจริตและให้รายละเอียดตามที่ผมต้องการ”
แม้ว่าในตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะรีแมพกับ อ.บอย ก็ตาม

ในตอนที่เอารถไปทำ มีเวลาอยู่ด้วยกันเต็มๆ “ห้าชั่วโมงกว่า” เห็นจะได้
ได้คุยกันทั้งเรื่องรถและอื่นๆ พอควร โดยเฉพาะเรื่องรถ “ท่านรู้เยอะและพูดตรงไปตรงมาดี”
ยิ่งอยู่หลังสื่อแบบนี้ คุยได้มันส์กว่า อยู่ด้านหน้าเยอะมาก!!

หลังรีแมพเสร็จ ผมก็เดินทางกลับ “บ้านนอก” เลยทันที
ขณะที่เดินทางกลับ อ.บอยก็ยังโทร.มาคุย มาถามด้วยว่า เป็นไงบ้าง? ลองอัดดูได้เลยนะครับ
ขาดเหลือ อยากให้เพิ่ม-ลดหรือแก้ไขตรงไหน เอาเข้ามาจูนได้เลย ผมปรับให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

แต่ตั้งแต่วันที่เอารถเข้าไปรีแมพ ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ รวมแล้วเกือบห้าปี เห็นจะได้
ผมยังไม่เคยเอาเข้าไปอีก เพื่อแก้ไขใดๆ เลย



นาฬิกาเดินเข็มทีละนิด
บอกชีวิตจะยังอยู่ไม่ถึงไหน
บอกชีวิตว่าจะอยู่อีกไม่ไกล
บอกชีวิตให้จำไว้ให้ทำดี

นาฬิกาเดินเข็มทีละนิด
บอกชีวิตให้ทำดีให้เป็นศรี
เพื่อสะสมผลบุญบารมี
เพื่อสู่ภพที่ดีเมื่อจากไป

สู่สัมปรายภพที่ดีครับ “อาจารย์บอย คุณวรพล สิงห์เขียวพงษ์”

[the kit]

ติดค้างไว้ว่าจะมา “เหลา” เรื่อง New Raptor ตั้งแต่เดือนที่แล้ว
จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย
ที่จะเล่านี่เป็น “ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ” ผสมกับที่ผมได้อ่าน ได้รู้มา
แถมยังไม่ได้เห็น “ตัวเป็นๆ” เลยนะ

ราคาเปิดมาได้ “ว้าวๆๆๆๆ” มาก
ผิดจากที่คิด, ผิดจากที่เดาไว้พอควร แต่ “ดี” สำหรับผู้บริโภคอย่างเราๆ

ใครที่ร้องบอกว่า “แพง” และเครื่องแรงแบบนี้ “แดกเช็ด” แน่นอน
แสดงว่า “รถคันนี้ไม่เหมาะกับคุณ”

รุ่นนี้ เหมาะกับ คนที่ต้องการ “สมรรถนะ”
พูดถึงสมรรถนะ “แรงม้าและแรงบิด” จะว่าไปนี่มันก็ระดับ Supercar ในยุคก่อนเลยนะ
แรงม้าเกือบ “สี่ร้อย”, แรงบิดเกือบ “หกร้อย” !!!
ฟังมา เขาว่า 0-100 กม./ชม. “ห้าวิกว่าๆ!!!” (ไม่รู้ว่าจริงไหมนะ)

ถ้าจริง นี่ก็ต้องใช้คำว่า “เจ้าประคุณรุณช่อง!!”
“Super Truck” ชัดๆ
ครั้งแรกในไทยจริงๆ ที่มีแบบนี้

ขนาดรถกระบะยี่ห้อที่ผมใช้เอง ผมยัง “Anti” ที่คุณมรึง “โม้”เลยว่า “Master of all roads”
แปลเป็นไทยว่าอะไรดี?? ต้องการสื่อความหมายว่าอะไรดี??
“พ่อทุกสถาบัน”  ใช่ไหม!!??
หลายๆ อย่างๆ ที่ “นักเลงรถกระบะ” รู้
เออ........มันไม่ใช่นะฮะ..
ถ้าแก้นิดว่า “Master of service mind” น่าจะตรงประเด็นมากกว่า
เพราะ ไอ้ที่ขับที่ใช้อยู่ มันไม่ได้มีอะไรโดดเด่น หรือ “เหนือ” ใครเขาขนาดนั้น..
มันกลางๆ ซะมากกว่า
แต่ต้องยอมรับเรื่องเครื่อง 3.0 อยู่ว่า..
แตะนิด โมหน่อย ม้าดีดขึ้นเยอะพอควรเลยล่ะ

กลับมาที่ New Raptor
จากสเปคต่างๆ มีหลายคนถึงกับเอาไปเทียบว่า
ถ้าอัดแข่งกับ “พี่น้องร่วมค่าย” Mustang 2.3 ใครจะ “วิน” !!
ถ้าตาม “เขาว่า” 0-100 ห้าวิกว่าๆ ก็ สูสี
แต่ถ้า “วิ่งรูด” ใช้ตามทางทั่วไปตามปกติ Raptor กินเช็ดแน่นอน

แต่ถ้าใน “Track” Mustang น่าจะกินนะ
อย่างว่ารถมัน คนละประเภท..

ช่วงปลายเดือนที่แล้ว “ผมว่าง”
“เจ้าของหมู่บ้าน” เพื่อนซี้ผม ชวนผมไปร้านแต่งรถเล่นๆ ไปติดแผ่นปิดกระบะท้ายไฟฟ้า ให้ “Raptor”
เห็นบอกว่า “เบิกศูนย์” ราคาโหดใช้ได้ “เจ็ดหมื่นกว่า!!!”
แพงแท้...

ที่ร้านก็มี “คอ ฟอร์ด” โดยตรง ที่กำลังแต่งรถอยู่ 2 คน กำลังคุยกันอยู่เลย
ผมก็เขาไปคุยเรื่อง “New Raptor” ด้วย
สรุปว่า “จองกันไปแล้ว”
เสียงว่า “ของมันต้องมี..”
ไม่ต้องลองขับก็รู้ได้เลยว่ามันดี!!
เอ้า ดีก็ดี!!

สรุปราคานี้ เพื่อนซี้ผม “เจ้าของหมู่บ้าน” มันฟังแล้ว “เคลิ้ม” ไปจองไว้ด้วยเหมือนกัน
เห็นว่า กันยา-ตุลา น่าจะได้รถ

ผมเองก็ “หวั่นใจ” อยากได้อยู่เหมือนกัน
แต่คุยกับ “ที่ปรึกษาส่วนตัว” แล้ว
ถ้าจะซื้อก็ควรจะขาย “D-Max” ออก ไม่งั้นรถมันจะเยอะเกินไป
และซื้อมาก็ไม่ค่อยได้ขับ ถ้าจะได้ใช้ ก็ตอน “เห่อ” มันอยู่
ถ้าเบื่อแล้ว จะให้คนงานใช้ มันก็จะเกินไปหน่อย
ถ้าจะซื้อมาขับเล่น ขับแรง ก็มี “มัด-แตง” อยู่แล้ว

ใจลึกๆ จริงๆ ผมก็ “อยากได้”
แต่ก็จริง ที่คุณเธอให้เหตุผลมาแบบนี้

“รอดู รถเพื่อนดีกว่า..”  ผมเชื่อศรีภรรเมียครับ!!
ตอน “เพื่อนซี้” ได้มาแล้วค่อยมาว่ากันอีกที.. 


To handle yourself, use your head; to handle others, use your heart. – Eleanor Roosevelt
จงใช้สมองเมื่อรับมือกับตัวเอง แต่จงใช้หัวใจเมื่อรับมือกับผู้อื่น

The question isn’t who is going to let me; it’s who is going to stop me. – Ayn Rand
คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะอนุญาตให้ฉันทำอะไร แต่มันอยู่ที่ว่าใครจะหยุดฉันได้ต่างหาก 


สุขสันต์วันสงกรานต์ และสุขสันต์วันครอบครัว 2565 ครับ

[the kit]

เมื่อเล่าถึง Raptor มีแอบ “แซม” ด้วยมัสแตงนิดๆ
เลยมีคนทักมาว่า “ได้มาแล้วเหรอพี่ เป็นไงบ้าง มาเล่าให้ฟังหน่อย..”

ได้มาแล้ว..ได้มาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้ว
ตามที่เคย “เกริ่น” ในตอนต้นว่า ยังลังเลอยู่ว่า จะเลือกใคร?
E200 Coupe กับ Mustang2.3 ดี?

คุยไป ดูมา คุณเมียชอบ “มัด-แตง” มากกว่า
และเมื่อเทียบแล้ว ระยะยาว มัสแตง ค่าดูแลต่างๆ ถูกกว่า “อีคูป” เยอะ
ระบบต่างๆ คล้ายกับรถบ้านๆ ทั่วไป แบตลูกเดียว เรียบง่ายสไตล์ “เมกัน”

“ความเนี้ยบ” ในรายละเอียดต่างๆ สู้ “อีคูป” ไม่ได้ มันจะออกแนวดิบๆ ซะมากกว่า
แถมความสะดวกสบาย บอกเลย ยังไงก็สู้ “ขุนแผนเยอรมัน” ไม่ได้

อ้าว!! แล้วเลือกทำไม!!??
ถ้าไม่พูดถึงรูปโฉม ที่แล้วแต่คนมอง
-   ค่าดูแล
-   ความจุกจิก
-   ความคลาสสิค
และอีกเรื่อง คือ ถ้าเบื่อมา ปล่อยต่อ ไม่เจ็บเยอะเท่า อีคูป
ก็เลย เลือกที่ “Mustang”

พอเลือก Mustang แล้ว
ก็ต้องมาคิดต่อว่า เอารถ Ford Thailand หรือ Grey ดี?
Grey เหนือกว่าที่ แรงม้ามากกว่า, มีท่อปรับเสียง
แต่ Ford TH มีประกัน 5 ปี ดูแลคล้าย BSI แต่ไม่เท่า

อยากรู้ก็ต้องหาข้อมูล
ราคาใกล้เคียงกัน แต่หลังการขาย “คนละเรื่อง”
Grey ขายจบ ก็จบ หรืออาจจะมีดูแลต่ออีกนิดหน่อย เพียงแต่ถ้ามี ปห.ขึ้นมาจริงๆ
“เขาจะดูแลไหม??” หรือแค่ “แลดู”

เพราะไปหาข้อมูลแล้วเจอมา ที่น่าสนใจสุด คือ เครื่องพัง!!
เป็นรถของ Ford TH

Ford TH ก็เบิกเครื่องใหม่จาก USA ให้เลย!!
เคสนี้ ได้ใจผมมาก ขนาดรถคันนั้นมีการตกแต่งเพิ่มด้วยนะ
สรุปแล้ว Ford TH ดีกว่า “สบายใจ” ยาวกว่า

ทำไม ไม่เลือก 5.0?
เข้าใจว่า “Muscle” มันต้องเครื่องใหญ่ เครื่องโต
แต่สำหรับผมและ “คุณศรีภรรยา” แล้ว
2.3 เหลือๆ
เพราะ ไม่ได้ขับเร็ว..

ถ้าคุณอยู่ในจังหวัดที่ผมอยู่  คุณอาจจะเคยขับแซงมัสแตงผม ในความเร็วเดินทางปกติไปก็ได้
ไม่ใช่ถนนไม่ดีนะ ถนนดี เรียบดี
แต่ผมไม่เน้นขับเร็ว แต่ผมเน้นขับหล่อ ขับปกติก็อยู่ที่ 80-120 ไม่เกินนี้
โล่งๆ ดูว่าปลอดภัย ก็ลองกดดูบ้าง “ดึงดี” ดึงใช้ได้เลย
แป๊ปๆ 200 มีให้เห็น ตัวรถนิ่งมาก

ในโค้ง ไม่ใช่ “เมกัน” ในยุคก่อนแล้วนะ
“เซียนทางตรง แมวย่องทางโค้ง”

เดี๋ยวนี้ มันหนึบดี ใช้ได้เลยล่ะ
แต่เข้าใจว่า น่าจะเป็นรอง เยอรมันอยู่ (มั้ง) นะ

ลูกสูบเยอะ ส่วนประกอบก็เพิ่มมากขึ้น ก็ต้องดูแลเยอะขึ้น นี่ คือ อีกปัจจัย
เราต้องการรถหล่อๆ ที่ดูแลง่าย ค่าบำรุงไม่เยอะ
รถซื้อมาขับ “ไม่เน้นรบ” 2.3 ก็เอาอยู่..

ทำไมถึงซื้อตอนนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวใหม่ น่าจะออกไม่ปีนี้ 2022 หรือ อย่างช้า 2023
รู้ครับ แต่เรามีการ “วางแผน” ทางการเงินอย่างดีพอควร
ช่วงนี้รู้ว่าซื้อได้ “แบบสบายๆ” ก็เลยซื้อ

และเช็คมาอย่างดี เช็คมานาน จนเงื่อนไข “ลงตัว”
โปรดี ราคาดี และทุกอย่าง “โดนใจ”
แถมรายละเอียดเรื่องอะไหล่ และค่าบำรุงรักษา เช็คมาพอควรว่า “รับได้”
ไม่ได้ “รุนแรง” เกินกว่า Camry or Accord เลย ยิ่งถ้าไปเทียบกับ “เยอรมัน”
มัด-แตง “เบากว่าเยอะ...”

ถึง “ตกรุ่น” ก็ต้องทำใจ
แต่ยังไงซะ “Mustang” ก็ “Classic” อยู่ดี
ถือซะว่า “ตกรุ่นก่อน คลาสสิคก่อน”



Believe you can and you’re halfway there. – Theodore Roosevelt
เชื่อมั่นในความสามารถของคุณ ก็เหมือนกับคุณทำมันสำเร็จมาแล้วครึ่งทาง



For what is a man, what has he got?
If not himself then he has naught
To say the things he truly feels
And not the words of one who kneels
The record shows I took the blows and did it my way …
Cr : My Way – Frank Sinatra

[the kit]

โดยส่วนตัว...
เมื่อได้รถใหม่มา ไม่ว่าจะรถอะไร ประเภทไหน ก็ต้องหาทะเบียนสวย ในแบบ “ที่เป็นเรา” มาใส่
ไอ้ครั้นจะไปซื้อ “ทะเบียนประมูล” มันก็ไม่ใช่ “เรา” ไปอีก..

ในทุกๆ ครั้ง ก็จองเอง เลือกเอง ผ่านระบบ “ออนไลน์”
ทุกๆ ป้ายที่มี  ก็จองเองทั้งนั้น ไม่เคยจ้าง ไม่เคยต้องจ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
แต่ในครั้งนี้ ไม่รู้อะไรดลใจ ทำให้รู้สึก “ไม่มั่นใจ” ขึ้นมาซะงั้น..

ก็เลยไปตั้งกระทู้ ถามสมาชิก HLM
ก็ได้ “Glide Line” มาบ้าง  ก็เลยลองไล่หาดู โดยมี “Google” เป็นที่ปรึกษา

ยิ่งหา ยิ่งรู้ ก็ยิ่ง “กระจ่างสว่างเนตร”
จองออนไลน์ ได้  ก็ “ล็อคออนไลน์” ได้เช่นกัน

อย่า!! ไปคิด  อย่า!! ไปเชื่อว่า “มันจะโปร่งใส”
“ไม่มี.......................................................”

จริงๆ ก็คิด ก็รู้มาตั้งนานแล้วว่า มันล็อคออนไลน์!!
แต่!! ไม่คิดว่า มันจะทำกัน มันจะเล่นกันถึงขนาดนี้!!

มันมี “วงใน” ที่ร่วมด้วยช่วยกัน “ทำมาหากิน” อยู่
จะเป็นใคร ผู้อ่านก็ลองนึกตามไป คิดไป ใครที่คุณว่า “มันใช่”
มันก็ “น่าจะใช่นะ!!!!”

มันสามารถ “ล็อคล่วงหน้า จองล่วงหน้า” ข้ามหมวดอักษรได้เลย
ขอเพียงคุณ “ยื่นเจตจำนงและพร้อมจะจ่าย!!!”
ที่พูดมานี่ “เขารับประกันว่าได้แน่นอน 100% !!!”
ราคาก็เปิดให้ดูแบบ “ชัดเจน ไม่อ้อมค้อม”
“มีเงินจ่าย ก็มีเลขให้” ว่างั้น...

เมื่อก่อนผมคิดแค่เพียงว่า เลขความหมายดี “168”
เลขรุ่นรถ “ซุปคาร์” ราคาแพง อันนี้ถูกจัดเก็บ เพื่อ “ผลประโยชน์ต่างตอบแทน”
แค่นั้น...

แต่ “เปล่าเลย..!!”
เรื่องจริง ณ ปัจจุบัน 2565
เลขอะไร ที่คุณว่า “สวย” และสวยในสายตาคนอื่นด้วย
ยิ่งผลรวมดี ความหมายดี และยิ่งเป็นเลขยอดฮิต 8, 9
โดยมาก “ล็อค” เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งเป็น หมวดอักษร “เบิ้ล” ด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ไม่เชื่อก็ “ลองดู” ได้

“กรุงเทพมหานครฯ”
Run ตัวเลข จดทะเบียนใหม่ เฉลี่ยสัปดาห์ละ “เกือบหมื่น” คัน!!
คิดเป็นเงินเท่าไรฮะ.......?!!!!

เงินเดือน เขาเอาไว้ใส่ซองช่วยงาน
แต่ไอ้ “เงินไม่มีใบเสร็จ” ถึงจะเป็นรายรับที่แท้ทรู
ผมว่า “รายได้ดีกว่า ค้ายาเสพติดเยอะมากกกกกกกกกกกก”
ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องซ่อน แถมยังมีคน “อยากหยิบยื่น ประเคนถวาย!!!”

อย่า!! บรรยายต่อเลย ผมเชื่อว่า “คุณอ่านแล้ว ก็ร้อน, อ่านแล้วก็คัน!!”
ผมเอง นึกไป พิมพ์ไป คุยไป ยัง “ร้อนนนนนนนนนนนนนน”

กลับมาที่ผม
เลขที่ต้องการ เลขที่อยากได้ ทักไป ถามไป
เพจเล็กๆ ที่รับจอง
เขาก็บอกเลยนะ ว่า “เลขนี้ไม่ได้รับจอง, เลขนี้ถูกล็อคจากภายในแล้ว”
นู่นนี่นั้น แต่มีความหมายเดียวกัน คือ “วงใน หรือผู้หญ่ายยย เขาล็อคไว้แล้ว...”

มันต้อง “เพจหญ่ายยยยย  เพจดังที่คลุกอยู่วงใน”
ถึงจะมีสิทธิ์ตอบว่า...
“ได้ค่ะ เลขนี้ยังว่าง สนใจจองและมัดจำเลยไหมค่ะ”

เจอราคากลับมา
ทำให้ “ความไม่มั่นใจ” ที่เคยมี
กลายเป็น “ความมั่นใจ” ขึ้นมาในทันที!!

ราคาที่ “คุณมึง” เปิดมา...
กูเอาไปซื้อ “กระเป๋า Super Brandname” หรือ พา “คุณเมียและคุณลูก” ไปทาน “อาหารชั้นเลิศ วัตถุดิบชั้นดี” ดีกว่า
หรือ ถ้าอยากได้เลข ก็ไป “ป้ายประมูล” เลยดีกว่า
เวลาขาย อยากเปลี่ยนรถ ไม่ต้อง “ยุ่งยาก” ในการสลับรถ สลับป้ายอีก
“ฮ่วย!!”


จองเองเป็นทางออกที่ดี..
จองเองดีกว่า แม้เลขจะไม่สวยเท่าที่ใจต้องการ ผลรวมไม่เลิศเท่า
แต่ “เงินยังอยู่ครบ!!”

จากข้อมูลที่หามา..
หมวดเบิ้ล ตัดไป..  ต้อง “ถอดใจ” เพราะ เจอ “เส้นหญ่ายยยย” เขาล็อคไปเกือบหมดแล้ว
ถ้าเป็นทาง ก็เหลือทางให้เดินได้ นิดหน่อย แค่พอให้ “หมาหรือแมว ตัวเล็กๆ ผ่านได้!!”

“ไม่เบิ้ล” ก็ได้วะ!!
หาเลย เลขแบบที่เราชอบ เลขแบบที่ใช่ ผลรวมที่ดี(พอควร)
ได้เยอะมาพอควร  แต่ เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน..

ลองดูก่อน ว่า “สมมุติฐาน” ในใจ มันเป็นจริงไหม?
เลือกเลขที่เราอยากได้มากที่สุดมา ซัก 2-3 เลข
เช็คมันเลย “เวบหญ่ายยย” ว่าเลขนี้ “คุณมึง ล็อคหรือยัง...??”
....
....
....
“ไม่เหลือฮะ...”

ไอ้ที่จดไว้ “ขีดฆ่า” ไปได้เลย
แข่งอะไร ก็แข่งได้  แต่จะแข่งกับ “วงใน” ไม่ได้หรอก และเสียเวลาเปล่า
แต่ก็ อย่า!! เชื่อ “จนกว่าจะได้ลอง.......”

และแล้ววันจอง ช่วงเลขที่อยากได้ก็มาถึง.....
ไอ้เวลา 10.00 น. ที่เปิดรับจองนี่  มี “ความหมาย ความสำคัญมาก”
เสียไปเพียงแค่ “เสี้ยววินาที” ก็เสร็จโจร..

“ขออภัย ท่านไม่สามารถจองเลขทะเบียน “3XYabcd” ได้
เนื่องจากมีผู้จองเลขดังกล่าวแล้ว หรือ หมายเลขที่ระบุไม่ถูกต้อง”

เลขบางตัว อาจจะถูกจองไปโดย “มือปืนรับจ้าง”
เลขบางตัว อาจจะถูกจองไปโดย “คนธรรมดา” แบบเราๆ ก็เป็นได้
แล้วแต่จังหวะและช่วงเวลา

ไม่แปลกใจ สวยของเรา มันก็สวยของคนอื่นด้วย
และถ้ามันเลือกได้ง่ายๆ จองได้ง่ายๆ มันจะซื้อ-ขายกันได้อย่างไร..

แต่จริงๆ ระบบมันน่าจะขึ้นว่า
“ขออภัย ท่านไม่สามารถจองเลขทะเบียน “3XYabcd” ได้
เนื่องจากมีผู้จองเลขดังกล่าวแล้ว แต่ถ้าท่านมีความประสงค์อยากได้จริง Click Here”

แล้วก็ไปยัง “เวบหญ่ายยยยย” เชิญชี้ เชิญเลือกตาม “อัฐ” ยาศัย..

แต่ก็อย่างว่า ระบบนี้ ทุกอย่าง “โป่ง-ไส”
นอก-ใน ไม่มีทั้งนั้น
บอกแล้วว่า “โป่ง-ไส”

ทำไงได้ เรามันแค่ “คนธรรมดา”
เลขสวยก็อยากได้ แต่ตังค์ก็ไม่อยากจ่าย ยังจะ “....” บ่นทำไม

Go on..
เลขที่จดมาประมาณเกือบสิบเลข เห็นจะได้
กดไปกี่ครั้ง มันก็ขึ้น ข้อความแบบข้างบน
“ไม่ว่าง ไม่มี ถึงมีก็ไม่ได้ (ถ้าไม่จ่ายตังค์)”
จน “เกือบจะ” ถอดใจแล้ว

เหลือเลขสุดท้ายนี่แหละวะ..

“กำลังนำท่านไปสู่หน้าพิมพ์ผลการจอง” อะไรประมาณนี้
ข้อความที่ระบุ จำได้แบบไม่แน่นอน เพราะตอนนี้ “ชักเบลอ” ทั้งๆ ที่มันแค่ “ไม่กี่นาที ไม่กี่วินาที” นะ!!


จองสำเร็จ!! แบบ “งงๆ”

อ้าว......ไหน “บ่น” ซะเยอะ ว่า “เขาล็อค”!!
แล้วทำไม ถึงจองได้ล่ะ..??

ล็อคจริง!! ไม่อิงนิยาย..

เพียงแต่ เลขที่ผมได้มานั้น “ไม่ได้” สวยมาก
สวยบ้านๆ ผลรวมแค่พอใช้
ไม่ใช่เลขมังกร หัวมังกือ อะไรทำนองนั้น

ก็บอกแล้ว มันต้องเหลือทางไว้ให้ “คนธรรมดา” ได้เดินบ้าง
เพราะ ถ้ามันล็อคหมดเลย..

แล้ว “โป๊ะแตก” มา
ไอ้ที่ “เสวยสุข” อยู่นี่ มันจะมลายหายไปแถมมีคดีติดตัวมาอีก

โดยรวม ผมก็ “พอใจ” เพราะ ไม่ได้เสียตังค์

ถ้า วันไหน “เงินเหลือๆ”
จะไปเอา “Double Alphabet and Five Of The Kind” มาใส่สักใบ!!
ที่สำคัญที่สุด กว่าเรื่องเงิน ก็คือ ”คุณเมีย ต้องอนุมัติ !!”

สรุปจากการเลือกป้ายทะเบียนครั้งนี้ได้ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน เงินก็ยัง (คง) อยู่ที่นั้น”  555




ปกติของคมๆ มักจะต้องบาง   
“ยิ่งบาง ก็ยิ่งคม”
แต่เงินนี่แปลก ยิ่งหนา ก็ยิ่งคม!!!
ตัดได้แทบทุกอย่าง ถ้ามันมีปริมาณที่มากพอ!!


“เงินนี่แปลก ยิ่งหนา ก็ยิ่งคม!!!”

[the kit]

ตอนได้ “ม้าป่า” มาใหม่ๆ ก็ “เห่อมาก”
ใช้มันเกือบทุกครั้ง เท่าที่มีโอกาสให้ใช้มันได้ 

ได้ม้ามา ก็เอาไปอวดปู่

วันที่เอาไปอวด ท่านเห็นผมขับไป กับคุณศรีภรรยาและลูกๆ
ท่านก็ยิ้มกว้างเลยทีเดียว...

เดินออกมาดู ด้วย “ตาเป็นประกาย” เหมือนนี่คือ “Wish List” อันหนึ่ง
ท่านขอลองนั่ง ขอลองขับ ดูนู่นนี่นั้นไปเรื่อย เหมือน “เด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่”

เราออกไปขี่ม้าเล่นกัน “สองปู่หลาน”
“อือ มันขับดี ขับมันกว่า Cayenne อีกนะ!!
แตะเป็นมา พุ่งดีเหลือเกิน
แต่มันไม่นิ่ม เหมือนมัสแตงยุคเก่านะ  มันจะกระโดดๆ หน่อย
ภายในสวย ทันสมัยมาก แต่ยังคงมี “กลิ่นอาย” ของรุ่นเก่าอยู่
เส้นสาย ดูปุ๊ป แม้ไม่เห็นยี่ห้อ ก็รู้ว่านี่คือ มัสแตง
มันสวย มันเฉี่ยวมาก ทรวดทรงองค์เอว สวยจริงๆ

ขับรถสวยๆ ขับรถดีๆ ก็ต้องขับให้มันดี
ถ้าขับรถไม่ดี ขับแย่ เขาก็จะด่าเราได้

ยิ่งป้ายสวย เลขสวย ยิ่งต้องขับให้มันดี
ถ้าเราขับไม่ดี คนมันก็จำเราง่าย”
นี่คือ ที่ท่านว่า...



ลืมบอกไป...
เมื่อก่อน  สมัยปู่ผมในช่วงวัยกลางคน ตอนนั้นผมยังเด็ก
ท่านก็มี ม้าป่า มัสแตง เช่นกัน
สีเหลืองสดใสเลยทีเดียว
ผมเคยนั่ง ไปไหนด้วยกันกับท่านบ่อยเลยทีเดียว..

รถสปอร์ต ก็ยังคงเป็นรถสปอร์ต
“นั่งก็ยาก ลุกก็ยาก”
แม้มัสแตง จะมีประตูที่ยาว ที่สามารถเปิดกว้างได้มาก รวมถึงมีเบาะนั่งที่ค่อนข้างใหญ่
เมื่อเทียบกับรถสปอร์ตในคลาสเดียวกัน แต่เนื่องจากเบาะที่นั่ง ค่อนข้างต่ำ แถมช่วงล่างที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง

รถประเภทนี้  จึง “ไม่เหมาะ” กับ สว. สักเท่าไรนัก
คือ ถ้าคิดจะขับ คิดจะขี่ คิดที่จะมีรถประเภทนี้ครอบครอง
ถ้าไหว รีบซื้อซะตั้งแต่ ตอนที่พอจะขับมันได้  ถ้าเวลา “เลยล่วง” ไปแล้ว
“แค่ดู” น่าจะเป็นคำตอบที่เหมาะสม..



ปู่ผม อายุท่านมากแล้ว เก้าสิบกว่าปี แต่ยังคงสุขภาพดี แข็งแรง ความจำยังดีเป็นเลิศ
ยังเดินได้ตามปกติ ไม่ต้องใช้ไม้เท้า หลังยังค่อนข้างตรง ยังสามารถขับรถเองได้
ท่านชอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มาก รวมถึงเครื่องเสียงและนาฬิกาด้วย ชอบมาตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่ม
ทั้งเคยเป็นเจ้าของ และยังคงเป็นเจ้าของ สิ่งของที่ว่า ยี่ห้อดัง รุ่นยอดนิยมมาหลายรุ่น
รุ่นเท่ๆ รุ่น “มะๆ” โดยมาก จะเคยผ่านมือท่านมาเยอะพอสมควร
ขนาด Caddilac เปิดประทุน Big Block ที่ว่า “ซดน้ำมัน” 3 โลลิตร, BMW R60, เครื่องเสียง McIntosh, นาฬิกา Rolex หลากรุ่น หลายเรือน ก็เคยผ่านมือมาแล้ว


ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ท่านคุยกับผมว่า
อยากได้รถใหม่มาแทน Cayenne ที่ใช้มาหลายปี แต่วิ่งไปแค่ “สามหมื่นกว่า กม.” เห็นจะได้
ชวนผม “เข้ากรุงฯ” ไปหาดูรถกัน
โดยท่านให้ “การบ้าน” มาล่วงหน้าก่อน 2-3 วันว่า อยากได้ SUV แบบเดิม ไม่เอาเก๋งและไม่เอารถที่สูงมาก
ดูที่มันง่ายต่อการขึ้น-ลง
ยี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนเหมาะ ช่วยหามาให้หน่อยนะ จะได้ไปดูกัน
ถ้ามันมีรถ ถ้าถูกใจ ถ้าเป็นไปได้ ก็จะเอากลับมาในวันนั้นเลย!!

ถึงวันก็ไปดูกัน คำตอบของการบ้านผมมีแค่ 2 ยี่ห้อในใจ ที่ราคาและทุกอย่างเหมาะสม
แต่ไม่ใช่ 2  ยี่ห้อดัง ยอดนิยมของคนไทย ที่จะนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ นะ

มีอะไรบ้างไปดูกัน..
...
...
...
เริ่มที่ Porsche Cayenne ท่านก็ว่า มันเหมือนเดิม มันคล้ายเดิม “ไม่ว้าว”
ซื้อมาได้ก็ใกล้เคียงเดิม!! เมื่อ “มอเตอร์เซลล์” ครั้งที่ผ่านมาไปดู ก็ “งั้นๆ”

ไปต่อที่ยี่ห้อไหนดี...
...
...

Bentley Bentayga เป็นคำตอบที่ดี  อันนี้ “ว้าว” โดนใจท่านมาก
แต่ต้องรอรถ “ขั้นต่ำ” 7-8 เดือนขึ้นไป
ในกรณีที่ “ไม่เลือก” สีและ Option
และถ้ามีผู้จองท่านใดไม่พร้อม ทางศูนย์จะติดต่อไป ถ้าเรา “พร้อม” สามารถรับรถได้ทันที
แต่ทั้งนี้ ยังไงก็ต้องรอรถ 7-8 เดือนขึ้นไปเท่านั้น!!
แต่ถ้าเรา “สั่งตัดเฉพาะ” คุยกันเป็นปีขึ้นไป ไม่เร็วกว่านั้น!!

ไปดูแค่นี้ก็ “หมดวัน”
กลับมาในรถก็คุยกัน
ผมว่า : ถ้าผมเป็นปู่ ผมไม่รอ.. รถศูนย์ รถ AD มันอาจจะสำคัญ ในเรื่องการดูแลและเซอร์วิส 
แต่ “ค่า” ของมันไม่สูงพอ ที่จะเสียเวลา ในการ “รอ”  เพราะ “เวลา” ของปู่กับเวลาของผม “มันไม่เท่ากัน”!!??


ท่านเป็นคนชอบฟัง ชอบคิด ดังนั้นท่านจึงเข้าใจความหมาย ในทุกๆคำที่ผมพูดอยู่แล้ว 
เวลาของผม มันอาจจะอยู่ แค่ช่วง “บ่ายสอง”
แต่ของปู่นี่ มันเลย “หนึ่งทุ่ม” มาพอสมควร

ปู่ว่า  : ใช่ เรานอนไปคืนนี้ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่า เราจะตื่นขึ้นมาหรือเปล่า...
ตื่นมาที ก็ดีใจ มีใจไปอีกวัน
งั้นช่วยหา ที่ขาย ที่มันดีๆ มีที่ซ่อม มีรถพร้อมขายให้หน่อยนะ แพงกว่าหน่อยก็ช่างมัน แล้วอีก 2 อาทิตย์ เข้าไปซื้อเลย



โจทย์ไม่ยาก แต่ ไอ้รถรุ่นนี้ มันจะมี “พร้อมรับ” ได้กี่ที่?
ไล่หาตามเน็ท ถามเพื่อนฝูง ก็ได้มา แค่ 2-3 ที่
เพราะรถพวกนี้ มันมีในตลาดที่พร้อมขายไม่เยอะนักหรอก..

เมื่อเจอแล้ว ก็โทรเช็คราคาและ option
Print รูป เอาไปให้ปู่ดู
ราคาได้ สีได้ option ok! แพงกว่า AD พอควร แต่อยู่ในช่วงที่ “รับได้” แถมยังสามารถรับรถได้ทันที
“เอาสิครับ  ซื้อสิครับ”  อีก 4-5 วัน จะเข้าไปดู
ไม่โอนจอง หรืออะไรทั้งนั้น  วันที่เข้าไปดู ถ้าถูกใจคันไหน ก็รับกลับมาเลย

ที่ต้องอีก 4-5 วันไปรับ เพราะ มีธุระที่ต้องเคลียร์ และอีกส่วนหนึ่ง “เงินจำนวนมาก” ถ้าจะเบิก จะถอน ต้องแจ้งธนาคารก่อน เขาถึงจะมีให้  “พร้อมจ่าย”

ปู่ผมชอบจ่ายแบบนี้!!



แต่หลังจากที่ผมเข้าไปคุย เข้าไปหาปู่ เข้าไปร่วมตัดสินใจ ผ่านไปแค่ 2 วัน!!
ก็มีเสียงตามสายจากคุณย่าผมมาว่า... “ปู่ล้ม ท่านลื่นล้ม หัวฟาดพื้น ตอนนี้รถโรงบาลมารับไปแล้ว”
ผมนี่ ทิ้งทุกอย่าง กระโดดขึ้นรถ “รีบบึ่ง” ทันที รถวิ่งเร็วแค่ไหนไม่รู้
แต่รู้ว่า ใจผมไปอยู่ที่ “โรงบาล” แล้ว

ICU ผ่านไป “ชั่วโมงกว่า” แต่ทำไมรู้สึก “นานเหลือเกิน”
เข้าใจว่า ไม่ช้าก็เร็ว  เพราะทุกคนหลีกหนีสิ่งนี้ ไม่พ้น
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ ผมกับปู่ หรือคนในครอบครัว สามารถพูดกันได้ เป็น “เรื่องปกติ”
แต่ไม่คิดว่า มันจะเร็ว เร็วมากขนาดนี้
ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง..



ปู่ของหลาน  ใจดี  เป็นที่หนึ่ง   
เป็นที่พึ่ง  ยิ่งใหญ่  หาใดเหมือน

คอยชี้แนะ  ชี้นำ  คอยพร่ำเตือน
อยู่เป็นเพื่อน  ให้อาศัย  เมื่อภัยมา

มาบัดนี้  ปู่ล่วงลับ  ดับขันธ์แล้ว
ไร้วี่แวว  ถามไถ่  ไม่สนอง

ทั้งลูกหลาน ร้องเรียกหา  น้ำตานอง
ปู่ฉันนอน  ล่วงลับ  ไม่กลับมา

จึงกราบก้ม  ประนมนึก  อธิษฐาน
ให้ปู่ฉัน  สู่สุคติ  ที่หรรษา

สุขสดชื่น  รื่นรมย์  สมอุรา
เสวยสุข  บนชั้นฟ้า  นานเท่านาน

ลูกหลานปู่  อยู่ข้างหลัง  ขอตั้งจิต         
น้อมอุทิศ  กุศลไป  ให้ไพศาล

ส่งถึงปู่   ผู้ดับขันธ์  เมื่อวันวาน
จงเบิกบาน  ให้เปี่ยมสุข  ทุกคืนวัน

ถ้าตกทุกข์  ขอให้พ้น  ไปจากทุกข์   
ได้ถึงสุข  ปรีดิ์เปรม  เกษมสันต์

มีสุขแล้ว   ขอยิ่งสุข  ทุกคืนวัน         
ตราบนิรันดร์ นิรันดร ตลอดกาล..

ด้วยความรักและความเคารพยิ่ง
ลูก หลาน และเหลน

[the kit]

เคยไหม?
แค่อยากขับ แต่ไม่อยากเป็นเจ้าของ..

“รถดี รถหรู”  ใครก็อยากได้ อยากเป็นเจ้าของ??
ยิ่งถ้าได้มาแบบ “ฟรีๆ” มีไหมใครไม่อยากได้!!??

ที่อื่น คนอื่น “ไม่รู้เป็นไง”
แต่กับครอบครัวของผม “ใช่ มันเกิดขึ้นแล้ว..”

รถของปู่ 2 คัน 1.Vellfire 2.5 กับ 2.Cayenne
Vellfire ได้ไปต่อ เอาไว้รับส่ง “คุณย่า”

แต่
“Cayenne” ของปู่ สภาพดีๆ วิ่งน้อย ใหม่กริ๊บ กลับไม่มีใคร อยากได้!!??

พ่อแม่ผมก็ไม่เอา บรรดาน้องก็ไม่รับ
ตัวผมเองก็ ไม่เอา

ที่ทุกคนไม่อยากได้  ไม่ใช่ กลัวคุณปู่หรืออะไร แต่อย่างใด
แต่เพราะกลัวค่าซ่อม, ขี้เกียจดูแล และเสียดายเวลากันซะมากกว่า..
ทั้งๆ ที่น้องๆ ผม อยู่ที่กรุงเทพ มีบ้านที่กรุงเทพ กันทั้งนั้น
อยู่ใกล้ที่ซ่อม มีที่ดูแล แต่ไม่มีใคร อยากเสียเวลาไปกับมัน

ผิดกันกับ ตอนที่ “คาเยน” คันนี้ เข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ๆ
“เห่อ” ถ่ายรูปคันนี้ มากกว่าคันไหน
ผลัดกัน ขยับกันคนละนิด คนละหน่อย
“ปอร์เช๊ ปอร์เช่”

แต่ตอนนี้ ให้ฟรีๆ กลับไม่มีใครเอา..!!

ยังจำวันที่ไปซื้อมันได้
เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ปู่ชวนผม ไปนั่งรถเล่น ดูรถและหาของกินที่กรุงเทพ!!
เรามากันสองคน ไม่ชวนย่า!!
เพราะย่า ไม่ชอบรถแพง
รถอะไร ที่แอร์เย็น วิ่งได้ แม้สะเทือนมากหน่อย
ย่าผม ถือว่า “ใช้ได้”

บนรถ ท่านหยิบ นสพ.มาให้ดู ที่นี่ เขาลดราคาอยู่ ไปดูกันไหม??
นี้ไม่ใช่ ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคคำสั่งและบอกเล่าปนกันอยู่!!
เมื่อไปถึงโชว์รูม

มันก็มีรถอยู่จริงๆ ราคาก็ตามโฆษณา นั้นแหละ

ท่านก็ดูด้วยความเพลิดเพลิน
ผมก็ดูด้วย ความแปลกตาของตัวรถ เพราะตั้งแต่เกิดมา ก็เพิ่งได้ “ลูบคลำ” แบบเป็นเรื่องเป็นราวก็คราวนี้
เซลล์ก็มา “พะเน้าพะนอ” บรรยายสรรพคุณ

ท่านก็ให้ผม “คุยราคา” ให้หน่อย
ผมก็บอกท่านว่า “อย่า เพิ่งต่อรองเลย ถ้าเรายังไม่ซื้อเขา เดี๋ยวจะเสียเวลากันเปล่าๆ”
ท่านว่า “ใครบอกว่า ไม่เอาล่ะ  ถ้าได้ราคาเหมาะสม ก็เอากลับบ้านเลย!!”
ผม “.................เร็วไปไหม ยังไม่ได้เช็คข้อมูลเลยนะ”
ท่านว่า “เราเช็คดูแล้ว ที่นี่ถูกสุด เพียงแต่บาง option ขาดหายไป  ต่อรองเลยนะ ถ้าได้ก็เอาเลย!!”


ใจร้อนจังแหะ ปู่ผม..
เงินตั้งหลายล้าน ตัดสินใจเร็วยังกับของไม่กี่ร้อย!!

ต่อรองเสร็จ ไม่ต้องลองขับ มีช่างมาติดฟิลม์ให้ที่ศูนย์เลย!!
อีก 4 ชม. มารับ หรือจะให้ “สไลด์” ไปส่งก็ได้

แต่ปู่บอกว่า “เดี๋ยวเราขับกลับกันเองนะ ไม่ต้องขึ้น “รถยก” ให้ยาก!!”
ผมนึกในใจ ที่ไม่มีทางเลือก “เอาก็เอา..”

ขับกลับบ้านนอกแบบ “เกร็งๆ”
แต่รู้เลย “บารมี” ปอร์เช่  นี่มันพอควรเลยทีเดียว..

รถคันนี้ปู่รักมันพอควรเลยทีเดียว อยู่กับท่านมาหลายปี แต่วิ่งไปแค่สามหมื่นกว่าโล
และโดยมากท่านจะขับเองตลอด ขับเล่น ขับออกไปหาของกิน
ท่านขับรถไม่เร็ว ตามสภาพอายุของท่าน โดยมากจะขับแค่เพียงไม่เกิน 100

ตัวรถไม่ถึงกับจุกจิก แต่ถ้าซ่อมทีก็มีแบบจุกๆ
เพราะค่าดูแลไม่เบา!!
แถมตาม “บ้านนอก” ที่ผมอยู่
“ไม่มีศูนย์” ก็ต้องดูแลตามอู่ทั่วไป
ซึ่งก็พอมีอยู่ แต่ราคา “แล้วแต่จะสับ แล้วแต่จะโขลก!!”
และไม่ต้องกังวลว่า อู่ที่ว่าจะไม่สับโขลก
“ไม่มีพลาด” รถหรูพิเศษ“ เหยื่อ” อันโอชะ

ผิดกับใน กทม. อันนี้มีตัวเลือกเยอะ ถ้าขยัน “เข้ากรุง” ก็ทำได้

ทำไมพูดแบบนี้??
ไหนว่า ก่อนปู่ท่านเสีย ยังจะไปเอา Bentayga อยู่เลย

ใช่ครับ เพราะ ปู่ผมท่านชอบเล่นรถมาก

ท่านบอกเสมอว่า “เกิดมาทั้งที ถ้าเราหาเอง ถ้าเราไหว ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เดือดร้อนใคร
ทั้งตัวเองและครอบครัว อยากได้อะไรก็ซื้อนะ

หาเงินมาได้ ถ้าไม่ใช้ มันก็ไม่มีค่าอะไร มันเป็นแค่ตัวเลข
ถ้าเราใช้มันซื้อความสุขให้เรา  เราก็เหมือนต้นไม้ ที่ได้น้ำ ที่ได้ปุ๋ย มันก็จะสดชื่น และมีกำลังที่จะไปต่อ...”

ดังนั้น ถ้าท่านอยากได้ ที่ว่าเหมาะสม ท่านก็ซื้อ
ท่านพูดเสมอว่า “เรานอนไปคืนนี้ พรุ่งนี้ไม่รู้ว่า เราจะตื่นขึ้นมาหรือเปล่า...
ตื่นมาที ก็ดีใจ มีใจไปอีกวัน”

ตอนที่เขียน ตอนที่พิมพ์นี่ก็ นึกถึงปู่
นึกถึงรถ เสียดายก็เสียดาย..
แต่เมื่อ “คิดย้อน ย้อนคิด” เลยนึกได้ว่า..

ท่านแนะ ท่านสอน ว่า
บางอย่าง ขายไปเพื่อ “ไปต่อ”
บางอย่าง ซื้อเข้ามาเพื่อ “ต่อยอด”
บางอย่าง ต้องตัดใจเพื่อ “ตัดรำคาญ”
บางอย่าง ต้องยอมเพื่อ “ความก้าวหน้า”
และอีกมาก..

คุยกันแล้ว ปรึกษากันแล้ว
“ต้องปล่อย..”

เก็บไว้ก็ไม่ค่อยได้ใช้ จะให้คนในครอบครัว ก็ไม่มีใครรับ เก็บเอาไว้ก็ต้องหมั่นดูแล
รถดี ใช้น้อย รู้ประวัติ ขายเต็นท์ก็เสียดาย
จะขาย ขายใครดี?
เครือญาติดีกว่า

ให้คนกันเองไปใช้ ให้คนที่อยากได้เอาไปขับ มันคงจะดีกว่า
ก็จบไปด้วยดี “Happy Together”

 


"สิ่งต่างต่างจะเปลี่ยนแปลงไป เธอเองจะอยู่ที่ไหน
อยากจะบอกให้เธอรู้ไว้ นานเท่าไร ฉันยังอยู่" - ฉันยังอยู่ อิงค์ อชิตะ



"It’s not the years in your life that count. It’s the life in your years." – Abraham Lincoln



Make it count!!